วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Hails the dog

เมื่อคืนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ท่านนึงซึ่งนับถือกันเป็นการส่วนตัวก็ได้คุยกันหลายๆ เรื่องแต่เรื่องนึงซึ่งสะดุดใจมากๆ ก็คือเรื่องของสุนัข

ท่านเปรยๆ ว่าสุนัขที่ดีต้องรู้จัก
๑. เห่า คอยเตือน
๒. หอน ต้อนรับเวลานายกลับ
๓. เฝ้า เวลาไม่อยู่ก็ช่วยดูแลทรัพย์สิน หรือคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างกายตอนนายอยู่
๔. ปรึกษาหารือ เห็นดีไปกับนายทุกเรื่อง

เลยมานั่งนึกๆ ตรองตามเอาตาประสาคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ว่า อืม.. จะว่าไปคุณสมบัตินี้ก็คล้ายๆ กับคนที่ทำหน้าที่ติดตามอยู่ใกล้ผู้ใหญ่เช่นกันคือ

๑. เห่า เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นต้องรู้จักให้สัญญาณ และต้องรู้เวลาไหนควรพูดเวลาไหนควรเงียบ
๒. หอน นายมีคุณงามความดีอะไรสมควรจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้บ้าง เป็นการยกย่องเชิดชูผู้มีพระคุณ
๓. เฝ้า คอยดูแลรักษาสมบัติให้นายหรือว่าองค์กร ไม่ดูเบาปล่อยผ่านเรื่องที่อาจจะเกิดปัญหาที่บางทีได้ยินผ่านหูมา
๔. ปรึกษาหารือ เป็นที่ไว้ใจรับฟังทุกเรื่องแต่ก็ต้องมีเหตุผลกำกับด้วย และเสนอความคิดเห็นบ้างตามโอกาสที่เหมาะสม หรือไม่ก็ตอนที่นายถาม

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

[Review] WEISS DAC202






สืบเนื่องมาจากความสงสัยส่วนตัวแท้ๆ ที่ว่า DAC รุ่นใหม่ล่าสุดของ weiss ซึ่งรุ่นพี่(ออกมาก่อน)คือ wiess Minerva ได้ไปสร้างชื่อที่เวป computeraudiophile ให้ได้กล่าวขานว่าเป็น DAC ที่ดีที่สุดในโลกมาแล้วว่าเสียงจะดีขนาดไหนเชียว เมื่อเกิดความสงสัยก็ไม่คิดว่าจะรอให้ใครมาบอกเพราะ"สิบปากว่าไม่เท่าตาดู สิบตาดูไม่เท่าสองหูฟังเองในเรื่องของเครื่องเสียง" ก็เลยต้องรบกวนท่านผู้ที่คุณก็รู้ว่าใครอีกครั้งนึงเพื่อขอหยิบยืม DAC ตัวเล็กๆ ขนาดพอดีมือนี้มาลองฟังดู ท่านผู้ใจดีท่านเดิมก็ดีใจหายเช่นเคยส่งมาให้ได้ลองฟังเพื่อเป็นประสบการณ์ทางด้านเสียงเพิ่มให้กับคลังเก็บส่วนตัวอีกหนึ่งรายการก็ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้อีกครั้งครับ

ส่วนตัวเองเชื่อว่าสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้แปลงสัญญาณดิจิตอลมาเป็นอนาล็อคหรือที่เรียกกันว่า DAC(Digital to Analog Converter) นั้นในระดับราคาสูงๆ คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่มากนักยกเว้นเรื่องของรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นตามค่า sampling rate ที่หลังๆ มาอัพกันขึ้นไปน่ากลัวมากๆ โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบเสียงของไฟล์ความละเอียดสูงๆ มากเท่าไหร่เนื่องจากค่อนข้างจะติดใจในเสียงสไตล์เก่าๆ แบบอนาล็อคที่ฟังแล้วมันอินกับเพลงได้ง่ายกว่าเสียงในสไตล์รุ่นใหม่ที่ฟังแล้วคมชัดไม่มีตกหล่นเหมือนดู TV LED Hidef เทียบกับดูหนังที่ฉายออกมาโดยตรงผ่านแผ่นฟิล์มอย่างไรอย่างนั้น แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปถ้าไม่เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาก็คงจะไม่ใช่ยิ่งมาทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าการฟังเพลงในรูปแบบของ music server ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างเต็มตัวแล้ว ผมเชื่ออย่่างนั้นนะ(เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน)



อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
Source: iMac 27" รุ่นโบราณแต่ก็ถือว่าทำงานได้เยี่ยมอยู่ ต่อผ่าน port firewire 800 อย่างเดียวเท่านั้น เล่นกับ Amarra+iTunes
Audio interface: Metric Halo ULN-2 รุ่นเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากคนๆ นึงที่ชื่อว่า Kent poon
สาย Firewire: Audioquest รุ่นกลางๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าทำหน้าที่ได้ไม่บกพร่องเลย
สาย DIGITAL : AES/EBU ของ ซิ่งแหลก( Xindak ) รุ่น บ่อมิไก๊(เจ้าของสอบถามว่าจะเอาจริงหรือตอนที่สั่งซื้อเพราะว่ามันแพงคนไม่ซื้อกัน เค้าว่างั้นนะ) โมหัวท้ายเป็น furutech rhodium, Oyaide จากร้านบอมบอม (ประกอบได้เยี่ยมมากว่ากันว่าเสียงกินสายราคาแพงกว่าหลายเท่าได้)
amp&cans: Woo Audio Maxxest, STAX O2 MkI, L3K, HD800, ED8
DAC: weiss DAC202, Berkeley Audio Design Alpha DAC (BADA)



ความประทับใจแรก: เสียงของ weiss DAC202 นั้นสดชัดเจนแล้วก็สะอาดมากๆ เท่าที่จำได้คิดว่าสะอาดมากกว่า DAC ทุกตัวที่เคยได้ลองฟังมาก็ว่าได้ครับ บุคลิคเสียงออกสดเร็วไดนามิคดีเช่นเดียวกับ DAC รุ่นใหม่ๆ ทั่วไป ที่สำคัญที่สุด wow factor ของ DAC ตัวนี้อยู่ที่ความเป็นสามมิติของเวทีเสียง



การเชื่อมต่อ: DAC202 เป็น DAC ที่ให้ช่องทางเชื่อมต่อมาทางด้านหลังเครื่องได้ครบครันมากๆ ตัวนึงในท้องตลาดเช่นเดียวกับรุ่นพี่ที่เคยสร้างชื่อไว้คือ ในส่วนของทาง DIGITAL ให้มาทั้ง Firewire, AES/EBU in/out(ใช้เป็น audio interface ได้ทันที), SPDIF Coax, แล้วก็ขั้วเชื่อมต่อสัญญาณนาฬิกาจากภายนอก ส่วนทางฝั่ง Analog ก็ให้ขั้วต่อ out แบบ XLR และก็ RCA มาให้ได้เลือกใช้ตามอุปกรณ์ที่เรามีอยู่แล้ว

ข้อด้อยในส่วนของการเชื่อมต่อคือตำแหน่งของขั้ว firewire กับขั้ว IEC ไฟขาเข้านั้นอยู่ชิดกันมากๆ ถ้าใครใช้สาย firewire กับสายไฟอย่างดีๆ ที่มีหัวค่อนข้างใหญ่จะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน อาจจะติดคงจะต้องเลือกตัวใดตัวนึงเอาไว้หรือไม่ก็เอาหัว IEC มาโมดิฟายซึ่งก็สามารถทำได้ถ้าต้องการ





ความเป็นดนตรี รายละเอียด บรรยากาศ มิติและเวทีเสียง: ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของ DAC ตัวนี้ก็ว่าได้เพราะเนื่องจากว่าส่วนตัวใช้ BADA อยู่ซึ่งก็นับได้ว่าเป็น DAC ตัวนึงที่ให้ตำแหน่งของเวทีเสียงค่อนข้างจะดีมากๆ อยู่แล้วแต่เนื่องจากว่าการทดสอบในครั้งนี้นั้นเน้นตรงที่ต่อกับ computer เป็นหลักดังนั้นส่วนหนึ่งซึ่งมีผลมากแบบสุดๆ ก็คือ audio interface ในที่นี้ก็คือ ULN-2 ซึ่งส่งผลเป็นอย่างมากในเรื่องของเสียงโดยรวมๆ ของระบบ

เมื่อลองเปิดเพลง classical เท่าที่มีอยู่กับสกอร์ประกอบภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่เด่นมากๆ คือ Gladiator ของ Erich Kunzel: Cincinnati Pops Orchestra ที่เอาไว้ทดสอบเรื่องของเวทีเสียง มิติและรายละเอียดได้ค่อนข้างดี เมื่อค่อ DAC202 เข้าไปในระบบแล้วเปิดเพลงนี้ขึ้นมาครั้งแรกเสียงที่ได้นี่ทำเอาแปลกใจไปเลยเพราะเรื่องจากว่าจาก BADA ที่เคยคิดว่าจำลองเวทีมาดีมากๆ พอมาเจอ DAC202 แล้วต้องบอกว่าแพ้ไปเลยก็ว่าได้ คหสต. คิดว่าเนื่องจากว่า DAC202 ไม่ต้องต่อผ่าน interface สามารถจะต่อตรงเข้ากับ iMac ได้เลยทันที ถ้าไม่นับเรื่องของความสะดวกแล้วขั้นตอนการเชื่อมต่อที่สั้นทำให้ได้เปรียบตัวอื่นที่ต้องต่อผ่านตัวกลางอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ตรงนั้นเป็นจุดเด่นมากๆ ของ DAC202 ซึ่งก็คิดว่า DAC ตัวนี้ทำออกมาเพื่อสาวกลุงจ็อบแท้ๆ เลยทีเดียวเนื่องจากว่าใช้ firewire ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ Mac มาเป็นตัวเชื่อมต่อหลัก(จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มีเหมือนกันแต่เนื่องจากว่าผู้เขียนใช้แต่ Mac ก็เลยขอแอบโฆษณาหน่อย)

เวทีเสียงของ DAC202 ให้ตำแหน่งที่แม่นยำไม่คลุมเครือคือเรียกได้ว่าไม่ต้องเพ่งฟังก็สามารถบอกได้เลยว่าเครื่องดนตรีชิ้นไหนอยู่ตรงไหน ทำให้สามารถดื่มด่ำไปกับบทเพลงไปได้ในขณะเดียวกันก็นำเสนอความถูกต้องของตำแหน่งเครื่องดนตรีได้ไม่มีคลาดเคลื่อน เนื่องจากว่าฟังจากหูฟังทำให้ตำแหน่งเวที(Head stage)ไม่เป็นไปในแนบระนาบตรงอยู่ด้านหน้าเหมือนฟังจากลำโพงซึ่งสามารถจะนำเสนอเรื่องของเวทีได้ชัดเจนมากกว่าที่เรียกว่า Sound Stage แต่ออกจะโค้งคล้ายๆ กับวงกลมไปรอบหัวทำให้หูฟังบอกเรื่องของเวทีได้ค่อนข้างยากแต่จากประสบการณ์ที่มีอยู่นิดหน่อยไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเอาไปใช้กับชุดลำโพงเวทีเสียงจะออกมาสมจริงได้เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับลำโพงตั้งพื้น

DAC202 ให้เสียงค่อนข้างจะ laid back ถอยไปข้างหลังนิดๆ ทำให้ฟังแล้วค่อนข้างผ่อนคลายไม่ดุดันเหมือนรุ่นพี่คือ weiss minerva แม้จะฟังจากหูฟัง DAC ตัวนี้ก็นำเสนอเรื่องของเวทีได้ดีมาก มิติหน้าหลังเป็นสามมิติเป็นชั้นๆ ไม่มีบังกันแม้แต่น้อยเพราะความสะอาดของเสียงที่ให้มา ยิ่งมาฟังกับเพลงที่อัดมาแบบสดๆ หรือว่าเพลงในรูปแบบของการแสดงสดด้วยแล้วทำให้บรรยากาศที่นำเสนอออกมานั้นสมจริง เสียงของเครื่องเป่าทองเหลืองชนิดต่างๆ ที่แผดขึ้นมาพร้อมๆ กันนั้้นจะให้บรรยายออกมาคงลำบาก แต่บอกได้เพียงแต่ว่าความเป็นดนตรีมีสูงมากทำให้เสียงที่ออกมามีลีลาเหมือนผ้าแพรพริ้วเมื่อโดนลมคือมีหนักเบาสูงตำ่อยู่ในที แต่ยังไงก็ตามไม่ใช่บุคลิกของเสียงแบบอนาล็อคแน่นอนเป็นความเป็นดนตรีในรูปแบบของอุปกรณ์ดิจิตอลแต่ก็ถือว่าดีกว่ารุ่นพี่เยอะมากเพราะเสียงของ Minerva ค่อนข้างแข็งไปนิดแต่ตัวนี้ไม่รู้สึกว่าเสียงแข็งเลย แต่ยังไงก็ตามเสียงไม่เหมือนฟังจากแหล่งโปรแกรมที่เป็นอนาล็อคคือแผ่นเสียงเมื่อฟังเพลงเดียวกัน

อีกอย่างที่ค่อนข้างเยี่ยมก็คือเรื่องของรายละเอียดเมื่อฟังเพลงที่อัดมาแบบความละเอียดสูงๆ HRx นั้นมันสุดยอดจริงๆ ต้องลองฟังเลยละครับ(ถ้ามีโอกาส) เพราะถือว่าเป็นการเปิดหูรับฟังไฟล์เพลงรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเป็นมาตรฐานในอนาคต





ความถี่ต่ำ: เรื่องนี้สำหรับวัยรุ่นแล้วปริมาณมาเป็นอันดับแรกส่วนผู้สูงอายุนั้นแม้วาปริมาณจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมากนักแต่ว่าก็ต้องมีอยู่อีกเช่นกันเพียงแต่ความรู้ว่าความต้องการคุณภาพมีมากกว่าแค่นั้นเอง แล้วความถี่ต่ำแบบไหนที่มีคุณภาพล่ะหลายๆ ท่านอาจจะถามซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วผมเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน หุหุ

จากประสบการณ์ส่วนตัวเบสที่มีคุณภาพมากๆ คือเสียงฟ้าร้องกับฟ้าผ่า เสียงฟ้าร้องให้ความถี่ต่ำช่วงกลางๆ ได้ดีให้น้ำหนักมีแรงปะทะที่เยี่ยม เสียงฟ้าร้องเป็นคอนเซ็ปของความถี่ต่ำไล่จากต่ำมากๆ ไปต่ำช่วงกลางจนถึงปลายเสียงในช่วงบนๆ ในตอนที่กำลังคำรามเบาๆ เสียงความถี่ต่ำของฟ้าร้องจะไม่นิ่งเพราะจะมีแรงสั่นสะเทือนตามมาเป็นระลอกหนักเบา ส่วนฟ้าผ่าเป็นเรื่องของไดนามิคและความฉับไวบวกกับแรงปะทะที่หนักแน่นมากๆ ที่เกิดในช่วงเวลาสั้นๆ คหสต. เสียงเบสคุณภาพคือแบบนี้แหละ

อาจจะดูเป็นอุดมคติมากไปหน่อยแต่ว่าเป็นข้อสรุปเท่าที่ผมเองพยายามหาคำตอบออกมาเท่าที่จะคิดได้(เอาไว้บอกตัวเองเท่านั้นครับเพราะไม่อย่างนั้นจะไม่มีมาตรฐานอ้างอิง เพราะเชื่อว่าทุกเรื่องต้องมีเหตุผลรองรับ) เลยตั้งเป็นหลักการส่วนตัวเอาไว้บอกตัวเองว่า เบสคุณภาพต้อง

1. หนัก: แรงปะทะดี(impact) หนัก
2. แน่น: ไดนามิค ความเร็วต้องได้ไม่ช้าหรือเร็วเกิน
3. มีรายละเอียด: มีหนักเบาพร้อมแรงสั่นสะเทือนหรือหางเสียงของเบส(bass resonant)
4. ลึก: ลงได้ลึกให้ความรู้สึกได้

สำหรับ DAC202 นั้นให้สิ่งที่เรียกว่าเบสที่มีคุณภาพ(ตาม คหสต. ผม)ได้ค่อนข้างดี จากการฟังเพลงและแผ่นทดสอบหลายๆ แทร็คพบว่า DAC202 ให้รายละเอียดของเบสได้ดีมาก เสียงจากแหล่งกำเนิดต่างๆ กันเช่นเครื่องเคาะคนละชนิดหรือว่าเสียงจากเครื่องดนตรีที่ให้ความถี่ต่ำออกมานั้นมีรายละเอียดให้ได้รับรู้ถึงแรงกระเพื่อมของแผ่นหนังหรือว่าจากลมที่ผ่านอุปกรณ์ออกมาได้เลย แม้ว่าจะประโคมขึ้นมาพร้อมกันเราก็สามารถแยกแยะได้ว่าชิ้นไหนเป็นชิ้นไหน (gladiator OST: Erich Kunzel: Cincinnati Pops Orchestra, Way down deep: jennifer warnes, Why so seriuos?: Hans zimmer, Holiday: greenday, In my life: TAS The Absolute Sound 2008, Mint interluse: Etc., กับไฟล์ HRx อีกหลายๆ แทร็ค) หลายๆ แทร็คได้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ในจังหวะที่ต้องการเน้นอารมณ์ก็ให้ความเร็วและแรงปะทะของเบสได้เยี่ยมอีกเช่นกัน





เสียงกลาง: โดยส่วนใหญ่แล้วเพลงที่ฟังๆ กันไม่ว่าจะเป็นเพลงในแนวไหนเสียงที่เป็นพระเอก(อาจจะเป็นนางเอกด้วยสำหรับบางแนว)ก็คือเสียงในย่านกลางๆ นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เครื่องสาย หรือเสียงเครื่องเคาะประเภทต่างๆ ชุดเครื่องเสียงชุดใดที่นำเสนอเสียงในย่านนี้ออกมาได้ดีก็แทบจะเรียกได้ว่าจะสามารถซืื้อใจนักเลงเครื่องเสียงได้ตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่ได้ฟังเลยก็คงจะไม่ผิดนัก

ในกรณีของ DAC202 ตัวนี้ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยก็ว่าได้ คหสต. เมื่อได้ฟัง weiss minerva ครั้งแรกที่ไม่ค่อยจะประทับใจมากนักแม้ว่าเสียงจะออกมาดีมากๆ ก็ตามก็คือความถี่ย่านกลางๆ ค่อนขึ้นไปสูงของ minerva ที่ออก digital แท้มากไปนิดนึงทำให้เสียงมีติดกร้าวอยู่บ้าง แต่ว่าก็คงจะได้ปรับการพัฒนามาแล้วในตัวของ DAC202 ทำให้พอฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามีความกร้าวอยู่ในน้ำเสียงแต่ตรงข้ามฟังแล้วค่อนข้างจะผ่อนคลายดีใช้ได้เลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความ laid back ของเวทีด้วยแต่ว่าฟังแล้วได้อารมณ์สดชื่นมากกว่าผ่อนคลาย

แม้ว่าบุคลิกโดยรวมๆ แล้ว DAC202 จะให้เสียงที่ค่อนข้าง flat ตามแบบของอุปกรณ์ในสตูดิโอแต่ก็เป็น flat ที่ไม่แห้งกร้านมีความสดชัดน่าฟังอยู่ ทำให้ฟังเพลงร้องได้ค่อนข้างดี(เด่นไปทางนักร้องหญิงมากกว่านักร้องชาย) หลายๆ ท่านที่หลงเสียงนางครวญอยู่ถ้าได้ฟัง DAC ตัวนี้น่าจะชอบได้ไม่ยากยิ่งถ้าได้จับคู่กับแอมป์หลอดเพื่อเพิ่มความเนียนและต่อเนืองให้เนื้อเสียงด้วยแล้วละก็รับรองได้่ว่าได้เข้าไปอยู่ในห้องฟังบ้านใดก็เปลี่ยนบ้านนั้นให้เป็น auditorium เล็กๆ ได้ในทันใด แม้จะเปิด stand up comedy(Dane Cook: Retaliation) ฟังก็รู้สึกอินไปกับบรรยากาศได้ดีมากๆ เช่นกันกับการฟังเพลงทั่วไป

ธรรมดาถ้าฟัง DAC หรือว่า audio interface ที่ให้เสียงได้ค่อนข้าง flat ส่วนตัวจะรู้สึกว่าเสียงร้องจะออกกรอบๆ (crispy) เพราะความชัดของเนื้อเสียง แต่กับ DAC ตัวนี้ไม่รู้สึกแบบนั้นซึ่งก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เสียงร้องชัดเจนดีแม้จะไม่ได้อารมณ์เนียนมากๆ แบบแผ่นเสียงแต่ก็ถือว่าให้ความเนียนได้ระดับนึง อาจจะเรียกว่าเป็น"ความเนียนแบบดิจิตอล"ก็คงจะได้ครับ



ความถี่สูง: การตอบสนองความถี่สูงของอุปกรณ์ดิจิตอลนี่เป็นจุดที่สามารถทำให้ตกม้ากันตายมาหลายๆ ต่อหลายรุ่นแล้ว โดยส่วนมากถ้าได้ฟังเครื่องเสียงซักชุดนึงเสียงที่จะสะดุดหูได้ง่ายกว่าเสียงอื่นๆ คือเสียงสูงเนื่องจากฟังแล้วจะเด่นนำความถี่อื่นออกมาค่อนข้างมากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสะดุดหูแล้วจะดีเสมอไป

มีเครื่องเล่นบางยี่ห้อที่เคยได้ลองฟังมาให้เสียงสูงที่ค่อนข้างสดชัดมากๆ หลายๆ ท่านฟังทีแรกตามงานแสดงหรือว่าในห้องโชว์เครื่องตามร้านต่างๆ แล้วจะรู้สึกชอบขึ้นมาทันที แต่ว่าจริงๆ แล้วเสียงที่สดชัดสะดุดหูนั้นอาจจะมากไปนิดถ้าฟังไปในระยะเวลาช่วงนึงแล้วอาจจะรู้สึกล้าหูได้ ซึ่งถ้าล้าแล้วยังฟังติดต่อไปอีกก็จะทำให้เครียดมากกว่าผ่อนคลายตรงนี้เป็นข้อความระวังอย่างนึงในการเลือกซื้อ ไม่ต้องรีบร้อนยิ่งถ้าฟังแล้วโดนมากๆ ให้ฟังไปอีกซักพักนึงดูว่ายังรู้สึกโอเคอยู่หรือเปล่า ถ้ายังโอเคอยู่ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารู้สึกล้าหูแล้วละก็ขอให้รู้ว่าอุปกรณ์ตัวนั้นหรือชิ้นนั้นอาจจะไม่ใช่ตัวที่เรากำลังมองหาอยู่

ความถี่สูงของ DAC เป็นจุดที่ทำให้ออกมาดีได้ค่อนข้างยากถึงแม้ว่าจะมีการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ดีๆ มาประกอบเข้าไปก็ตามเพราะข้อมูลที่มีแต่ 0 กับ 1 จะทำให้ออกมาเป็นกราฟที่เป็นเส้นแหลมๆ ขึ้นลงๆ ในช่วงความกว้าง(ความยาวคลื่น)ถี่ๆ จะให้ออกมาฟังแล้วพริ้วเหมือนร่องของแผ่นไวนีลก็คงจะไม่ง่ายนัก ดังนั้นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะฟังเพลงจาก DAC ตัวไหนก็ตามความถี่สูงจะติดแข็งอยู่บ้างมากน้อยอยู่ที่การออกแบบ เมื่อได้ลองเอา DAC202 มาฟังก็คิดว่าก็คงจะคล้ายๆ DAC ตัวอื่นๆ ซึ่งก็คิดไม่ผิดนักแต่ว่าในความเหมือนก็มีความต่างอยู่

ที่ว่าต่างกันคือลีลาในการนำเสนอความถี่สูงออกมาให้มีความหนักเบาอยู่ในเนื้อเสียงอย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นในส่วนของความถี่ต่ำ จริงๆ แล้วจุดเด่นอีกอย่างของ DAC ตัวนี้คือลีลาในการนำเสนอนั่นเอง ทำให้เวลาฟังเพลงแล้วได้อารมณ์เสียงไม่ตายรู้สึกว่าเพลงแต่ละเพลงที่เปิดมันมีวิญญาณอยู่แม้จะไม่เท่าฟังจากแผ่นไวนีลก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่เคยได้ยิน DAC ตัวไหนให้ลีลาในเพลงได้แบบตัวนี้ ยกตัวอย่างเสียงกระดิ่งในช่วงท้ายๆ ของเพลง Gladiator เหมือนกับว่าได้ฟังเสียงกระดิ่งจริงๆ มีความกังวานอยู่หลายระดับตั้งแต่เสียงหลักและโน๊ตที่เกิดจากเรโซแนนท์ของเสียง อีกทั้งระยะใกล้ไกลและน้ำหนักหนักเบาในการเคาะซึ่งตรงนี้แม้พยายามจะเปลี่ยนสายหรือสลับอุปกรณ์ใดๆ (เท่าที่พอมี)ให้กับ DAC ที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่ก็ให้ได้ไม่เท่าแม้ว่าเสียงจะไม่ห่างกันมากแต่ยังไงก็ให้ได้ไม่เท่า ยิ่งฟังแทร็ค Canon in D จากแผ่น The Bose Special Edition Lifestyle Music System CD แล้วจะชัดเจนมากๆ ถือว่าแทร็คนี้เอาไว้ทดสอบรายละเอียดของความถี่สูงได้ดีมากๆ แทร็คนึง เพราะว่าตอนที่เครื่องเคาะชิ้นใหม่ดังขึ้นถ้าเรายังสามารถได้ยินเรโซแนนท์ของเสียงโน๊ตเดิมอยู่ได้ไม่มีบังกันแล้วค่อยๆ เบาลงไปแต่เสียงโน๊ตหลังก็ยังชัดเจนพูดง่ายๆ ก็คือให้"เสียงแหลมออกมาพริ้ว"นั่นเองจึงจะถือว่าใช้ได้





เทียบกับ BADA: ตรงนี้ค่อนข้างลำบากนิดนึงในการที่จะเขียนบรรยายความรู้สึกออกมาเพราะถ้าจะว่าไปข้อมูลทางเทคนิคของทั้งคู่นั้้นแทบจะไม่ต่างกันดังนั้นตรงนี้คงจะอยู่ที่ความชอบส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ตรงนี้เองที่คุยกันค่อนข้างยากในวงการเครื่องเสียงเพราะมีเรื่องของความชอบส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ยังไงก็ตามของดีไม่ว่าใครฟังแล้วถ้ามันดีจริงก็ต้องออกมาดีถูกใจทุกคนที่ได้ฟัง ในกรณีของ DAC ทั้งสองตัวนี้ก็เช่นกันต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่ในระดับราคาของตัวมัน BADA นั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของ DAC ในระดับราคาของมัน DAC202 ก็ถือว่ายืนอยู่ในแถวหน้าในระดับของมัอีกเช่นกัน แต่ว่าพอนำมาเทียบกับแล้ว(โอกาสที่จะได้เอามาฟังเทียบกันได้นี่แทบจะเรียกว่ายากมากๆ เพราะของในระดับนี้การที่เจ้าของจะเอามาให้คนอื่นได้ลองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ต้องขอขอบคุณท่านเจ้าของมาอีกครั้งหนึ่ง)ทำให้พอรู้สึกความแตกต่างได้พอสมควรเลยทีเดียว

โดยสรุปแล้วถ้าใช้ Mac เป็นต้นทางโดยต่อผ่าน firewire แล้วละก็ DAC202 ใช้งานได้สะดวกแล้วก็ให้เสียงที่ดีมากๆ ในตัวของมันเองตรงนี้ BADA ซึ่งต้องมี interface คั่นอยู่สู้ไม่ได้เลยในทุกด้าน แต่ถ้ามี transport แยกต่างหากแล้วเทียบกับโดยผ่านขั้วต่อ digital แบบ AES/EBU หรือว่า SPDIF ก็ตาม คหสต. เสียงแทบไม่ต่างกันเลยแม้ว่า DAC202 จะได้เปรียบเรื่องของความสะอาดในเนื้อเสียงอยู่บ้างแต่ว่าถ้าฟังแบบพิเคราะห์แล้วไม่ต่างกัน ดังนั้นถ้าจะเลือกซื้อ DAC ซักตัวการเชื่อมต่อเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาคิดให้ดีว่าเราใช้งานแบบไหนมากกว่ากัน ถ้าตอบโจทย์ตรงนี้ได้แล้วจะเลือก DAC มาใช้เพิ่มในระบบอีกตัวนึงก็จะช่วยทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นและตอบสนองสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ได้

คหสต. ถ้ามี transport ดีๆ ใช้อยู่แล้ว BADA ก็ตอบสนองความต้องการได้ดีมากพอๆ กับ DAC202 แต่ถ้าเน้นใช้ computer ไม่ว่าจะเป็น OS ไหนก็ตามเป็นต้นทางแล้วละก็ขอให้มี firewire เป็นตัวจ่ายสัญญาณ DAC202 เหนือกว่า BADA ค่อนข้างมากในเรื่องของลีลาการนำเสนอเสียงเพลงออกมา ทำให้ความเป็นดนตรีมีมากกว่า(ในบางแนวเพลง สำหรับบางแนวเพลงอาจจะคมชัดมากไปนิดนึง ตรงนี้ไฟล์ต้นทางมีผลเยอะ) เนื่องจากขั้นตอนในการเชื่อมต่อน้อยกว่าสั้นกว่าดังที่กล่าวไว้แล้วตอนต้น





ภาค headphone amp: ส่วนตัวเคยมีอคติกับภาคเฮดโฟนแอมป์ของ BM DAC1 มาเนื่องจาก คหสต. รู้สึกว่าเหมือนกับใส่มาเป็นของแถมเท่านั้นเพราะว่าคุณภาพเสียงถือว่าไม่น่าประทับใจนัก จากนั้นมาพอมาเห็น DAC ที่ให้ภาคเฮดโฟนติดมาด้วยก็เลยไม่ค่อยอยากจะลองเสียบฟังดูเท่าไหร่เพราะความรู้สึกว่าเป็นของแถมมาให้ก็ยังมีอยู่ แต่พอมานึกถึง audio interface ตัวนึงที่เคยได้ใช้คือ TC Konnnekt 8 ซึ่งภาคเฮดโฟนทำออกมาได้ไม่เลวเลยจึงลองเอาหูฟังมาลองต่อดูเผื่อว่ามีอะไรน่าสนใจเพราะเห็นว่าก็มีคนชมภาคหูฟังของ DAC202 อยู่บ้างเหมือนกัน

หูฟังที่ได้ลองต่อฟังดูก็ได้แต่ Audio-technica L3000, Sennheiser HD800 และก็ Ultrasone ED8 ซึ่งแต่ละตัวก็ขับง่ายยากต่างกันไปตัวที่ขับยากสุดในชุดนี้ก็คงจะเป็น HD800 นั่นเองซึ่งตั้งแต่เคยได้ลองมามีแอมป์แค่ตัวสองตัวเท่านั้นที่คุมอยู่ พอมาทดลองต่อดูก็เป็นไปตามคาดก็คือภาคเฮดโฟนของ DAC202 ยังคุม HD800 ได้ไม่ค่อยดีนัก(สายสต็อค)แต่พอเปลี่ยนเอาสาย APS V3 มาเปลี่ยนแล้วต่อฟังดูอีกทีเหมือนกับว่าคุมได้นิ่งขึ้นแต่ก็ยังถือว่าขับ HD800 ได้ไม่สุดนัก

ไม่ใช่ว่าขับไม่ไหวนะครับตรงนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนที่ว่าไม่สุดก็คือผมเองเคยฟัง HD800 จากแอมป์ที่มีกำลังพอสมควรเช่น RPX300 และก็ WA22 ซึ่งนำมาขับ HD800 ได้ค่อนข้างดีพอเจอแอมป์หูฟังตัวอื่นๆ เลยมีมาตรฐานส่วนตัวที่สูงไปหน่อยเท่านั้นเอง ที่ว่าไม่สุดก็คือผมเองเคยเอาแอมป์หลายๆ ตัวขับ HD800 แล้วถือเอาความถี่ต่ำในบางเพลงเปิดทดลองแล้วเหมือนกับแป่กเป็นเกณฑ์คือไปไม่ค่อยไหว DAC202 ก็เจอกรณีคล้ายๆ แบบนี้เช่นกันเพียงแต่ว่าก็พอไปได้เพียงแต่ว่ามีแกว่งนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าขับออกมาได้ดีเลยทีเดียว

แต่ที่น่าประทับใจก็คือหูฟังที่ขับได้แบบไม่ยากนักเช่น ED8 หรือแม้แต่ L3000 ที่ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ภาคเฮดโฟนแอมป์ของ DAC202 ขับหูฟังเหล่านี้ได้ค่อนข้างโอเคเลย เสียงออก flat มากๆ ฟังๆ ไปก็นึกในใจว่า weiss ที่คุ้นกับการทำเสียงที่ใช้ในสตูดิโอจริงๆ เอาหูตัวไหนฟังก็รู้สึกว่ามันกลางๆ ไปหมดแต่ก็ฟังได้สนุกดี



ใช้เป็น interface: เนื่องจากว่าที่บ้านใช้ ULN-2 เป็น interface ต่อกับ BADA อยู่ก็เลยอยากลองภาค interface ของ DAC202 ดูเนื่องจากไม่มีโอกาสได้ลอง INT202 ที่ว่ากันว่าเป็น interface อีกตัวที่ดีแต่ราคาก็ค่อนข้างสูงเหมือนกัน พอได้เอา DAC202 มาต่อกับ BADA โดยผ่านสายสัญญาณ AES/EBU สองเส้นก็คือ ซิ่งแหลก รุ่นบ่อมิไก๊ กับ Oyaide FTVS-910 ผลออกมาเป็นที่น่าประทับใจเหมือนกัน มีข้อดีขอด้อยต่างกับ ULN-2 เล็กน้อยที่ต่างกันก็คือ DAC202 ให้เสียงสะอาดกว่ารายละเอียดจะดีซึ่งก็เป็นข้อด้อยตรงจุดนี้อยู่ด้วยว่าถ้าสายสัญญาณเป็นเงินก็จะทำให้เสียงสดมากไปหน่อย

ส่วนตัวคิดว่าน่าจะใช้สายทองแดงหรือไม่ก็ผสมถึงจะเข้ากับบุคลิกเสียงของ DAC202 เมื่อเทียบกับ ULN-2 ความอบอุ่นของ ULN-2 มีมากกว่าแต่ว่าฟังๆ ไปเหมือนจะมีม่านหมอกจางๆ คลุมเสียงอยู่ตรงนี้ก็เป็นข้อด้อยของ ULN-2 อีกเช่นกัน แต่ยังไงก็ตามก็ถือว่าทั้งคู่ใช้เป็น audio interface ได้ดีเพราะต่างก็เหมาะสำหรับนำไปใช้ในสตูดิโอเช่นเดียวกัน ความแตกต่างทางด้านเสียงนอกจากจุดที่บอกไปแล้วในเรื่องของมิติหรืออะไรอย่างอื่นไม่รู้สึกว่าแตกต่างกันเลย(เทียบ ULN-2 กับ DAC202 ฟังผ่าน BADA)



สรุป: สำหรับผู้ที่ใช้ Computer เป็นหลักในการฟังเพลงแล้วละก็โดยขนาดแล้วการติดตั้งทำให้ DAC202 ตอบโจทย์ได้ดีมากๆ อีกทั้งเสียงที่ออกมาก็ไม่ธรรมดาอีกด้วยถ้างบถึงตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับ computer audiophile เลยก็ว่าได้

บุคลิกเสียงของ DAC202 แนวเสียงคล้ายกับรุ่นพี่คือ weiss minerva แต่ว่า upgrade มาแล้วคือสด ชัด รายละเอียดเยี่ยมและก็ flat มากๆ ตามแบบของอุปกรณ์ที่เหมาะกับการนำไปใช้ในสตูดิโอซึ่งต้องการความเที่ยงตรงสูง แต่ก็ให้เสียงที่ไม่แข็งหรือหยาบกร้านเลย

ข้อเด่นมากๆ อีกอย่างคือความเป็นสามมิติของเวที ส่วนตัวของผมแล้วตรงนี้ประทับใจผมมากที่สุดทำให้ฟังเพลงออเครสตร้าวงใหญ่ได้อารมณ์ดีจริงๆ อีกทั้งลีลาความพริ้วในทีและไดนามิคที่ดีทำให้เสียงเพลงที่บรรเลงออกมาสมจริงดีทีเดียวแต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นเสียงแบบ digital แท้ๆ อยู่ดีแม้จะไม่มีกลิ่นอายของ analog เจออยู่แต่ก็ถือว่าเสียงออกมาน่าฟังมากๆ เพราะยังไงก็ต้องยอมรับว่าเสียงจากแหล่งโปรแกรม digital ยังไงก็คือ digital อยู่ดีแม้ว่าจะมีการพัฒนาไฟล์เสียงที่ให้ความละเอียดสูงๆ แต่ยังไงก็ตามความรู้สึกอบอุ่นแล้วก็เข้าถึงอารมณ์เพลงก็ยังสู้แผ่นเสียงไม่ได้(คหสต. ทั้งสิ้น)

การเล่นไฟล์เพลงความละเอียดสูงที่เรียกว่า HRx นั้น DAC202 แปลงสัญญาณออกมาได้ดี ตรงนี้เมื่อฟังเทียบกับ BADA ซึ่งผู้ผลิตเป็นคนคิด HDCD ขึ้นมาส่วนตัวฟังแล้วเสียงไม่ต่างกันมากนัก แต่ยังไงก็ตาม option ความละเอียดสูงที่มีมาให้นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ออกแบบได้เตรียมไว้เผื่ออนาคตเอาไว้จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยๆ เพราะซื้อหามาใช้แล้วอย่างน้อยก็คงจะใช้ติดต่อกันไปได้หลายปีโดยที่สามารถรองรับไฟล์เพลงรุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างลงตัว


ส่งท้าย:

"ทุกๆ วันคือวันแม่ อย่าลืมข้าวแต่ละคำ น้ำแต่ละอึก นมแต่ละอิ่มที่คุณแม่ป้อนให้เรามานะครับ"


ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงนะครับทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

inception "จิต""หลง""ติด"

วันนี้ได้ดูหนังเรื่องนึงชื่อว่า inception แปลไทยว่ายังไงไม่รู้แต่ว่าแปลอังกฤษมาไทยแบบกระเหรี่ยงได้ว่า beginning หรือการเริ่มต้น ส่วนจะเริ่มต้นอะไรก็ว่ากันอีกทีนึงส่วนในหนังเค้าหมายถึงจุดเริ่มต้นทางความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่ออะไรบางอย่างในจิตของคน

จะว่าไปแล้วหนังดูเหมือนว่าจะซับซ้อนมีประเด็นซ้อนประเด็นเยอะแยะมากมายแต่เท่าที่ผมนั่งดูแล้วถ้ามีพื้นในเรื่องของจิตมาบ้างหรือได้ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมตามวัดสายปฏิบัติต่างๆ ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะว่าในแกนของเรื่องแล้วความเห็นส่วนตัวเป็นเรื่องของแนวคิดทางฝั่งตะวันออกหรือแถวๆ บ้านเรานี่เองแต่แนวคิดในเรื่องนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ของโลกตะวันตกรวมไปถึงคนรุ่นใหม่ๆ ด้วยเพราะจะหาใครว่างไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่วัดป่าเพื่อรับรู้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า"จิต"ของตนนี่ก็ไม่ง่ายนักแต่ก็มีอยู่เยอะพอสมควรเหมือนกันซึ่งต้องอนุโมทนากับคนที่ไปด้วย

จะว่าไปเรื่องของจิตหรือว่าใจนั้นก็เห็นมีทฤษฎีอะไรเยอะแยะมากมายมาอธิบายว่าจิตของคนนั้นเป็นยังไงมีการสรุปออกมาเป็นงานวิจัยกันในมหาวิทยาลัยดังๆ กันเยอะเลยแต่เท่าที่ไปอ่านมาบ้างก็รู้สึกงงเหมือนกันยกเว้นไปนั่งคุยกับหลวงปู่หลวงตาที่ไม่ได้จบอะไรแต่ว่านั่งมาเยอะธุดงค์มามากจะได้ภาพของจิตชัดมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วจิตเป็นของละเอียดสามารถรับรู้ได้จากการสังเกตุอาการของจิตเช่นว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า เครียด ด้วยตัวเราเอง ถ้ารู้จักสังเกตุอาการของจิตออกแล้วว่ากันว่าจะเห็นตัวจิตได้ตามความละเอียดของสภาวะที่เข้าถึงพระท่านว่าอย่างนั้น

ในเรื่องนี้ก็เช่นกันซึ่งแทนที่จะเอาภวังค์ทางจิตที่เกิดจากสมาธิมาว่ากันก็เอาเรื่องของการฝันเข้ามาเกี่ยวเพราะ(เดา)ว่านำเสนอไปในวงกว้างได้ง่ายกว่าจะบอกว่าต้องมานั่งสมาธิกันเน้อแล้วถึงจะเข้าไปในจิตของตัวได้ อีกอย่างถ้าใช้ฝันนี่จะเล่นแง่มุมอะไรได้เยอะมากกว่าเพื่อเพิ่มสีสันให้กับหนังได้ดีไม่ใช่เป็นแบบเรื่อง"จรเข้กบดาน"ที่ตลกรุ่นเก่าๆ มักจะเอามาเล่นกันว่าหนังเริ่มเรื่องโดยมีจรเข้ตัวนึงเดินลงไปในบึงแล้วก็หายต๋อมนิ่งไปกบดานอยู่ใต้นำ้เห็นฟองผุดอยู่พักนึงแล้วก็จบ ถ้าเล่าเรื่องแบบนี้ก็เบื่อแย่เนอะว่ามั้ย แต่ว่าถ้าเอาเรื่องของฝันมาเล่นแล้วละก็เล่นได้เยอะเพราะเรื่องนี้จะว่าไปคนก็ยังไม่เข้าใจกันอย่างแท้จริงว่าทำไมคนต้องฝันด้วย

ศาสตร์ทางตะวันตกก็พยายามหาเหตุผลทางเคมีรวมไปถึงปฏิกิริยาไฟฟ้าในสมองระหว่างที่นอนหลับเอามาอธิบายแต่ก็ไม่เห็นใครบอกได้ชัดเจนมากได้แต่ก็ได้แนวทางเพื่อที่จะเข้าใจฝันได้บ้าง ในที่นี้ในหนังเค้าว่าถึงเรื่องของจิตใต้สำนึกของคนเป็นหลักแต่ที่หนังเขียนบทออกมาได้มันส์ดีก็คือว่าแทนที่จะต่างคนต่างฝันก็เลือกที่จะให้ตัวละครฝันกันเป็นกลุ่ม เออ เอาเข้าไปแต่ก็มันส์ดี หุหุ จะว่าไปแนวคิดก็มาคล้ายๆ กับเรื่อง the metrix นั่นแหละแถมเลือกคัดนักแสดงคนนึงที่หน้าคล้ายๆ คีอานูแถมแสดงอารมณ์ได้อารมณ์เดียวคืออารมณ์นิ่งๆเหมือนกับคีอานูมาเล่นด้วยคงเผื่อว่าจะได้เกิดจากเรื่องนี้กับเค้ามั่งเพราะประกบกับลีโอและสาวน้อยเพจที่กำลังพุ่งเป็นดอกไม้ไฟอยู่ในขณะนี้

พระท่านว่าสภาวะจิตนั้นยิ่งละเอียดมากขึ้นไปเท่าไหร่เหมือนว่าเวลาจะหยุดนิ่งหรือว่าสามารถจะยืดเวลาได้ตามที่จิตต้องการพูดง่ายๆ ถ้าควบคุมจิตได้เรื่องของเวลานั้นเป็นเรื่องหนมๆ จะย้อนไปดูอดีตหรือว่าจะไปดูอนาคตก็ได้ อืม.. ตรงนี้เข้าท่าแต่จะย้อนเวลาได้ไงหนอ เหอะๆ พอหาอ่านไปอ่านมาตามประสาคนฟุ้งซ่านก็ไปเจอที่ไอสไตน์ได้เคยบอกไว้ประมาณว่า"ถ้าเราสามารถจะสร้างยานพาหนะที่เดินทางไปได้เท่าหรือว่ามากกว่าความเร็วแสงเราสามารถจะย้อนไปในอดีตหรือว่าจะเร่งเวลาไปในอนาคตก็ได้" ซึ่งตรงนี้เป็นแนวคิดของการทำไทม์แมชชีนนั่นเอง แสงนี่ถ้าจำไม่ผิด(เพราะท่องสมัยรุ่นตอนเรียนชั้นประถม)ว่ากันว่าเดินทางไปในความเร็วประมาณสองแสนแปดหมื่นหกพันไมล์ต่อวินาที(ถ้าจำไม่ผิด) และวัตถุยิ่งเดินทางไปได้เร็วเท่าไหร่ขนาดจะเล็กลงแต่มวลเพิ่มขึ้นจนเท่าความเร็วแสงวัตถุนั้นจะมีขนาดเป็นศูนย์แต่มวลเป็นอนันต์ เหอะๆ แต่จะมีอะไรวิ่งไปได้เร็วกว่าแสงล่ะ จำได้ว่ามีเพลงพี่หนุ่ยไมโครร้องว่า "ใจไปไวกว่าแสง" มาคิดๆ ดูก็เป็นไปได้นะเพราะว่านึกถึงอะไรก็ไปถึงปุ๊บเลยก็คงจะไวกว่าแสงจริงๆ นั่นแหละ งั้นที่พระท่านว่าจิตหรือว่าใจนั้นสามารถจะย้อนไปดูอดีตหรืออนาคตได้ก็น่าจะจริงอย่างที่ท่านบอกแหละถ้ามีสภาวะจิตที่ละเอียดมากๆ และสภาวะจิตก็จะมีเป็นลำดับๆ อีก(ตามที่ท่านบอก)ถ้าละเอียดมากๆ ก็ไปอยู่ตามสวรรค์หรือว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าสวรรค์อีกแต่ที่น่าแปลกก็คือพระท่านบอกว่าเวลาไม่เท่ากันในแต่ละชั้นยิ่งชั้นสูงๆ เวลาจะยิ่งนานขึ้นไปเรื่อยๆ เออ แปลกดีเพราะถ้าคิดเทียบเป็นตรรกแล้วก็ตรงกันที่ว่าถ้าจิตละเอียด(ซึ่งก็หมายถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น) ถ้าความเร็วเพิ่มขึ้นเวลาก็น่าจะช้าลงแต่ก็เอาเถอะคิดไปคิดมาปวดหัวกลับเข้าเรื่องกันดีกว่า

ด้วยหลักการเกี่ยวกับจิตที่เป็นคำสอนทางตะวันออกนี้แล้วก็เอามาใส่ไข่ใส่สีให้ดูดีแล้วก็สนุกใน plot ซ้อน plot เข้าไปเป็นชั้นให้ดูสับสนแต่จริงๆ จะว่าไปไม่ได้สับสนอะไรหนังก็เดินทื่อๆ ไปอย่างนั้นแหละ plot สั้นๆ ก็ดีไปอย่างคือว่าเขียนออกมาให้สนุกได้ง่ายกว่า plot ยาว แต่เนื่องจากว่ามี plot ซ้อนกันอยู่เลยดูเหมือนว่าซับซ้อนตรงนี้เป็นความฉลาดมากๆ ของคนเขียนบทซึ่งต้องถือว่าทำการบ้านได้ดีมาก

ถ้าตัดรายละเอียดหยุมหยิมปลีกย่อยออกไปทั้งหมดแล้วเหลือแต่แกนหลักของเรื่องก็คงจะเหลือแค่คำว่า "หลง"และ"ติด" เท่านั้นเองไม่มีอะไรมากมาย ยกตัวอย่าง(ถ้ายังไม่ได้ดูอย่าอ่านเน้อแต่ถ้าจะอ่านก็คงไม่เป็นไรเพราะว่าหนังก็เดินมาทื่อๆ อยู่แล้ว) คือตอนที่พระเอกไปเจอภรรยาแล้วภรรยาบอกให้ดูหน้าลูกสิแล้วพระเอกก็ยกแขนขึ้นปิดตาคงกลัวว่าจะ"หลง"แล้ว"ติด"อยู่ตรงนั้นคือแยกความจริงออกจากความฝันไม่ออกนั่นเอง ตรงนี้จะว่าไปก็ถือว่าเป็นคำสอนแถวๆ บ้านเราอีกแหละว่าไม่ให้ยึดไม่ให้ติดกับอะไรเพราะทุกสิ่งล้วนไม่จีรังเป็นภาพลวงตาที่ได้ยินคนแก่ๆ เค้าว่าให้ฟังตั้งแต่ยังเด็กๆ ถ้าไม่"หลง"ก็ไม่"ติด" พระเอกให้สาวน้อยจูโนเขียนผังให้อีกคน"หลง"เพื่อที่จะได้"ติด"กับความคิดที่เค้าจะเอาไปฝังไว้ให้ จากนั้นก็จะได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ตามที่จิตที่ถูก"ปลูก""ฝัง"ความคิดเข้าไปจน"หลง"และ"ติด"กับความคิดนั้นจนมาทำตามที่ฝ่ายพระเอกต้องการ แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ถ้ายังไม่ได้ไปดูก็ควรจะไปดูซะแล้วก็ดูว่าพระเอกและทีมงานจะทำสำเร็จหรือไม่..

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Chicago The Windy City

ออกจาก WA มาที่หมายต่อไปก็คือเมืองใหญ่ที่อยู่ติดทะเลสาบมิชิแกนที่ชื่อว่า Chicago อันเป็นถิ่นของ ปธน. คนปัจจุบันที่ชื่อว่า Barack Obama เมืองนี้จะดูเด่นมากในตอนกลางคืนเพราะว่าแต่ละตึกจะเปิดไฟกันสว่างไสวโดยเฉพาะริมคลองที่ตัดผ่านในเมืองจะดูเด่นมากๆ ในเรื่องของสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะการวางผังตึกระฟ้าที่ไล่ลำดับความสูงต่ำและโชว์การออกแบบกันอย่างมีสไตล์สมกับเป็นเมืองที่เด่นในด้านนี้เมืองหนึ่งของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้มาต้องไปชมเมืองจากหอดูดาวริมทะเลสาบแล้วมองกลับเข้ามานั้นสวยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนโพล้เพล้หรือไม่ก็ตอนเช้าๆ แต่ถ้าเป็นช่วงที่อุณหภูมิต่ำๆ แล้วละก็ไม่ขอแนะนำให้ไปบริเวณนั้นเพราะเคยเจอพิษของลมที่่นั่นมาครั้งนึงยังจำไม่ลืมแม้ว่าจะใส่เสื้อกันหนาวไปแล้วสามสี่ชั้นแต่พอกระแสลมริมทะเลสาบโหมเข้ามาเหมือนกับใครเอามีดมากรีดเข้าไปในเนื้อ นึกแล้วก็ยังรู้สึกแหยงๆ อยู่เลย

ช่วงหัวค่ำบริเวณ Millennium park ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าออกมาเดินเล่นเหมือนกับชาวเมืองและนักท่องเที่่ยวที่นิยมจะไปถ่ายรูปกันโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลูกสเตนเลสมันวาวขนาดใหญ่มากที่มีชื่อว่า The Cloud Gate และก็เวทีคอนเสิร์ตกลางแจ้ง Jay Pritzker Pavillion แล้วก็น้ำพุที่ชื่อว่า Crown Foundtain ซึ่งมีจอแสดงผลใบหน้าเด็กแสดงสีหน้าต่างๆ ให้ได้มานั่งเล่นกัน

สำหรับเมืองนี้ถือว่าจำนวนประชากรที่เป็นคนดำมีอยู่เยอะพอสมควรเลยทีเดียวแต่ที่แปลกไปจากเมื่อสามปีก่อนที่มาก็คือว่าจำนวนประชากรเกาหลีที่ย้ายเข้ามาที่นี่และอีกหลายๆ เมืองในอเมริกามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนน่าแปลกใจเหมือนกัน โดยเฉพาะที่นี่มีมากกว่าคนจีนซะอีกซึ่งก็ถือว่าแปลกอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

การให้บริการเกี่ยวกับการให้ความรู้ของที่นี่ค่อนข้างดีถ้าเรามีบัตรประจำตัวก็สามารถจะเข้าไปยืมหนังสือจากห้องสมุดซึ่งมีอยู่หลายๆ แห่งในเมืองได้ทันทีหรือแม้แต่รอบๆ ชานเมืองก็จะเห็นห้องสมุดประชาชนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหลายๆ แห่งอยู่ในเมืองนี้ด้วยดังนั้นคุณภาพชีวิตของคนใน downtown ถือว่าโอเคแต่ว่ารอบๆ ชานเมืองนั้นไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ อีกอย่างภาษีที่เก็บถ้าออกมาจากตัวเมืองอัตรภาษีก็จะลดลงไป ใน downtown นั้นมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแม้ว่าทางรัฐจะจัดให้มีระบบการให้บริการคมนาคมที่ค่อนข้างสะดวกแต่คนก็นิยมจะอยู่ในเมืองมากกว่าออกไปข้างนอกส่วนหนึ่งเพราะว่าอัตราภาษีที่อยู่อาศัยสูงดังนั้นคนจึงเลือกจะอยู่อพาตเมนท์ดีกว่าไปหาซื้อบ้านเดี่ยวที่มีบริเวณอยู่

ตอนนี้สำหรับ Chicago เน้นโปรโมทว่าจะเป็นเมืองแห่งธุรกิจแข่งกับเมืองใหญ่ๆ ทางฝั่งตะวันออกซึ่งพอได้เข้าไปในตัวเมืองตอนกลางคืนก็ยังเห็นคนทำงานกันอยู่ในตึกซึ่งถ้าองค์กรใหญ่ซึ่งทำธุรกิจข้ามชาติถ้าทำแบบนี้ถือว่าได้เปรียบคนอื่นๆ มากเพราะสามารถจะวางแผนและปรับท่าทีในการทำงานได้ต่อเนื่องและฉับไว

ถ้าใครรักพิพิธภัณฑ์ถ้ามาที่นี่ก็คงจะถูกใจไม่น้อยเพราะว่ามีพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ อยู่ประมาณ 15 แห่งให้ไปเดินชมกันแต่ที่ได้ประโยชน์มากสุดๆ ก็คือเด็กๆ ในเมืองที่หมุนเวียนไปทำรายงานกันตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเปิดวิสัยทัศน์ให้เด็กๆ ได้มากเลยทีเดียว อีกอย่างก็ปูพื้นฐานให้ได้ทราบว่าสิ่งรอบๆ ตัวนั้นมีที่มาอย่างไรซึ่งก็ส่งผลให้เด็กเข้าใจเมืองและสภาพสังคมของตนเองได้ลึกมากขึ้นถ้าพื้นฐานความเข้าใจที่มาที่ไปจุดเด่นจุดด้อยของตัวเองแล้วจะต่อยอดไปภายหน้าก็สามารถจะทำได้ไม่ยากนัก..

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Goodbye Seattle

อีกเดี๋ยวก็คงต้องออกไปขึ้นเครื่องที่ Sea-Tac หรือ Seattle Tacoma Int. Airport สนามบินนานาชาติของมลรัฐวอชิงตันแห่งนี้ สำหรับที่นี่บรรยากาศก็คล้ายๆ เดิมอย่างที่เคยมาเมื่อสามสี่ปีก่อนก็คือฟ้าครึ้มอากาศเย็นสบายสภาพภูมิประเทศที่เขียวไปด้วยต้นสนซึ่งจะเขียวไปตลอดไปจนที่นี่ได้รับฉายาว่า Evergreen State อีกอย่างด้วยความชุ่มชื้นที่มีเยอะทำให้ฝนฟ้าค่อนข้างจะตกชุกอยู่พอสมควรเรียกได้ว่ามาที่นี่แล้วไม่เจอฝนเหมือนจะขาดอะไรไปอย่าง

สภาพในดาวน์ทาวน์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตึกรามบ้านช่องก็ดูเรียบร้อยเพราะว่ามีตึกไม่เยอะมากส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวเมืองสร้างอยู่บนตัวเมืองเก่าที่ถูกแผ่นดินไหวถล่มราบลงไป คล้ายๆ กับอยู่บนชั้นสองดังนั้นตึกสูงก็มีไม่เยอะมาก ซึ่งสำหรับตัวเมืองเก่านี้ใครจะเข้าไปเดินเล่นชมดูก็ได้โดยสามารถเข้าไปชมได้ตรงทางลงใกล้ๆ กับตลาด Pike ที่คนจะนิยมไปเดินดูตลาดเก่าๆ กันและที่เด่นมากๆ ที่นั่นก็คือการขายปลาโดยลีลาของคนขายที่จับปลาโยนไปมาเท่ไม่หยอกใครเลย

เมืองนี้เหมาะสำหรับทำกิจกรรมในร่มมากกว่าจะออกไปข้างนอก การศึกษาของผู้คนถือว่าจบกันค่อนข้างสูงโดยที่เกือบๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนในเมืองจบการศึกษาขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี สำหรับรัฐวอชิงตันนี้บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกถือกำเนิดขึ้นทีนี่เช่น Micorsoft, Amazon, Boeing และก็กาแฟ Starbuck เป็นต้น

ในด้านดนตรีก็ต้องยอมรับว่า Seattle Sound ถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์เพลงร็อคที่รุนแรงและกราดเกรี้ยวพอสมควรโดยมีหัวหอกของแนวเช่น Nirvana ที่เป็นต้นแบบของความแรงแบบ grunge เพราะจากบรรยากาศแล้วเด็กๆ หรือว่าวัยรุ่นคงอยากจะหาทางระบายอารมณ์บ้างเหมือนกันเพราะอยู่แต่ในบ้านก็คงจะรู้สึกอึดอัดดังนั้นถ้าได้เล่นดนตรีแรงๆ ในโรงรถก็เป็นทางหนึ่งที่ได้ปลดปล่อยพลังของวัยรุ่นออกมาพอมาอยู่ที่นี่แล้วเลยไม่แปลกใจเลยที่ Seatel Sound มีสำเนียงดนตรีออกมารุนแรงและค่อนข้างกราดเกรี้ยวแบบนั้น

ถ้าใครรักดนตรีที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ดนตรีที่ทำได้ค่อนข้างเจ๋งมากๆ สร้างโดยผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ท่านหนึ่งอยู่ตรง Seattle Center ตรงหน้า Space needle สัญญลักษณ์ของเมืองที่สร้างในงาน World fair ปี 1960 ที่เรียกว่า EMP หรือ Experience Music Project ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2000 โดยการออกแบบของตัวอาคารก็ดูบิดๆ เบี้ยวๆ ดูแล้วแนวไปอีกอย่างถ้าใครมาที่นี่แนะนำให้เข้าไปเข้าชมแล้วจะไม่ผิดหวังเลยครับ ที่นี่ก็มีอีกหลายพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจเช่น Museum of Flight และก็ Children Museum ที่ในบริเวณ Seattle Center ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของหลายๆ อย่างเป็นจุดศูนย์กลางของ Tourist Attraction ของเมืองเช่น EMP พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แล้วก็พิพิธภัณฑ์เด็ก(ไม่อนุญาตให้เข้าถ้าไม่มีเด็กมาด้วย ถือว่าเป็นมาตรการทางด้านความปลอดภัยที่ดีมาก)

ส่วนตัวบริษัท Boeing ที่เมือง everett ก็เป็นอีกที่ถ้ามีโอกาสก็น่าจะไปดูอาคารปิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีพื้นที่ประมาณหนึ่งตารางกิโลเมตรเอาไว้ผลิตเครื่องบินจัมโบ้เจ็ท 747 แต่ตอนนี้ได้ย้ายฐานการผลิตไปที่อิลลินอยเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังมีการผลิตอยู่สำหรับเครื่องรุ่นใหม่ๆ เช่น 777 หรือว่า the upcming Dreamliner 787 เครื่องขนาดกลางรุ่นใหม่ที่ว่ากันว่าประสิทธิภาพเจ๋งสุดๆ โดยเฉพาะระบบปรับความกดอากาศภายในเครื่องที่ทำให้ใกล้เคียงกับอากาศบนระดับน้ำทะเลทำให้ถ้าเดินทางในระยะไกลแล้วผู้โดยสารจะไม่รู้สึกเพลียหรือขาดน้ำเหมือนเครื่องบินรุ่นเก่าๆ ทุุกรุ่น(เค้าว่างั้นนะ)

มา WA แล้วถ้าไม่พูดถึง Microsoft ก็คงจะไม่ใช้เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ซื้อเมืองเป็นเมืองๆ เอาไว้ทำเป็นออฟฟิศพร้อมทั้งซื้ออีกเมืองเป็นที่พักพนักงานของบริษัทซึ่งมีพร้อมสรรพทุกอย่างในเรื่องของความอำนวยความสะดวกไว้ให้ จะว่าไปบรรยากาศที่นี่เหมาะสำหรับให้โปรแกรมเมอร์มาอยู่จริงๆ เพราะว่าทั้งวันนี่แทบไม่อยากจะออกไปไหนด้วยบรรยากาศแบบอึมครึมๆ ฝนจะตกแหล่มิตกแหล่จนเอามาทำเป็นฉากหลังให้กับหนังสือและหนังเรื่อง Twilight ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Fork นั่นเอง

ตอนนี้ก็คงได้เวลาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมเดินทางต่อไปยังเมือง Chicago ที่มลรัฐ IL หรือ Illinoi ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ไปดีกว่า..

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Another day in CA

วันนี้ไปวิ่งรถดูตามเมืองต่างๆ รอบๆ แอลเอเผื่อดูว่าจะทำอะไรได้มั่งไล่จาก Fullerton ซึ่งมีมหาวิทยาลัยและคอลเลจเข้าท่าๆ อยู่เช่น Cal State Fullerton เมืองนี้คนมีเงินเยอะพอสมควรดูจากหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณ อีกอย่าง Cal State ที่นี่เด่นมากเรื่องคณะบริหารธุรกิจตรงนี้คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศิษย์เก่าซึ่งมีความภูมิใจในตัวมหาวิทยาลัยย้ายมาอยู่ใกล้ๆ เพราะรู้ว่าคุณภาพเมืองและคนที่อยู่ในเมืองถือว่ามีคุณภาพ ส่วนหนึ่งบอกได้จากสภาพตึกรามบ้านช่องถนนหนทางที่ดูสะอาดสะอ้านและก็ดูที่ยี่ห้อและรุ่นของรถที่ขับๆ กันอยู่

จากนั้นก็วิ่งไปเมืองของดิสนี่ยและทีมเบสบอล LA Angel คือ Anahiem จากที่ไม่ได้มาหลายปีเมืองนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นเมืองที่เข้าท่าอีกเมือง คนเอเซียที่อยู่ในเมืองนี้ส่วนมากเป็นชาวเวียดนาม แต่ข้ามไปไม่ไกลจากนี้เป็นชาวเกาหลีส่วนชาวจีนและไต้หวันออกไปอีกเมืองซึ่งไม่ไกลกันมากนักห่างกันถ้าวิ่งบนฟรีเวย์ก็ประมาณยี่สิบนาทีซึ่งก็ถือว่าไม่ไกล

ส่วน Irvine เมืองที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยที่ตั้งของบริษัทหูฟังชั้นนำที่ก่อตั้งโดย Jerry Harvey คือ Ultimate ears ซึ่งถูก Logitech เทคโอเวอร์ไปในช่วงสองปีมานี้จากที่เคยฟู่ฟ่าในสมัยที่ UE เข้าไปตอนนี้อัตราการขยายตัวยังพอมีแต่ว่าค่อนข้างจะเติบโตไม่มากนัก จุดเด่นของที่นี่ก็คงจะไม่หนีเรื่องมหาวิทยาลัยเช่นกัน แถวๆ นี้ถ้าที่ไหนมีมหาวิทยาลัยเยี่ยมๆ อยู่การเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะค่อนข้างดี ยิ่งช่วงนี้แต่ละมหาวิทยาลัยพยายามจะดึงเอานักศึกษาจากประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียเข้าไปเพื่อจะดึงกระแสเงินเข้ามหาวิทยาลัยให้มากขึ้นเพราะถูกพี่คนเหล็กตัดงบประมาณไปเยอะพอดูเหมือนกัน เลยต้องเปลี่ยนเป้าหาเงินกระเป๋านอกประเทศเข้ามาเสริมเพราะว่าบ้านเมืองแถวๆ บ้านเราถ้าส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ก็แสดงว่ามีฐานะค่อนข้างดีทีเดียว

บางเมืองใน CA นี้มีชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่มาซื้อบ้านไว้เป็นจำนวนมาก บางเมืองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกคนจีนซื้อไปเรียบร้อยเพื่อว่าจะได้เอาลูกมาเรียนที่นี่ได้ง่ายแถมมีโอกาสที่จะทำเรื่องให้ลูกเป็นชาวอเมริกันได้ด้วย อีกอย่างคนที่นี่สนใจที่จะเรียนภาษาจีนกันมากขึ้นแล้วจากงานการวิจัยพบว่าเด็กนักศึกษาส่วนใหญ่อยากจะเข้าไปทำธุรกิจกับจีนแผ่นดินใหญ่กันหรือไม่อย่างน้อยก็อยากจะเข้าไปศึกษาในภาคฤดูร้อนที่โน่นกันไม่ใช่น้อยๆ เลย จะว่าไปเดินๆ แถว CA รู้สึกไม่ค่อยแปลกถิ่นเท่าไหร่เพราะคนหน้าตาคล้ายๆ กับเรามีเยอะมากๆ ถ้าใครส่งลูกมาเรียนแถวๆ นี้เด็กๆ คงไม่ค่อยรู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรมากเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นไปได้ส่งลูกข้ามไปฝั่งตะวันออกได้จะเจ๋งมากเพราะแค่สำเนียงภาษาก็กินกันขาดแล้ว แต่ว่าก็คงปรับตัวกันมากนิดนึงซึ่งจะว่าไปสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งดีเพราะการปรับตัวเป็นขั้นตอนหนึ่งของวิวัฒนาการ...

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

California Dreamin'

หลังจากเจอพี่ศุลตรวจไปเมื่อวันที่มาถึงเลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาเปลี่ยนกระเป๋าเดินทางซักทีเพราะสภาพดูเหมือนผ่านศึกมาหลายสมรภูมิอันเป็นที่เตะตาของเจ้าหน้าที่ พอจัดข้าวของความเป็นอยู่(ชั่วคราว)ลงตัวเลยคิดว่าน่าจะไปหาซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ซักใบก็ออกไปตะเวนหาอยู่สามสี่มอลล์สุดท้ายก็ไปได้ที่ใกล้ๆ คนละฝั่งฟรีเวย์กับสนามบิน Ontario

เท่าที่สังเกตุดูคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่พอสมควรเพียงแต่ว่าขยาดกับการลงทุนในระยะยาว เหมือนๆ กันว่ามีเงินเก็บไว้กับตัวหรือไม่ก็มีฝากในแบงค์ไว้บ้างเนื่องจากไม่แน่ใจในอะไรบางอย่างน่าจะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลกลาง มานั่งนึกๆ ในใจว่าถ้าพี่โอบาม่าท่านโฟกัสเจาะเข้าไปในกลุ่มคนชั้นกลางต่ำ หาวิธีการกระตุ้นให้ไม่เลือกงานอะไรมากนักหรือไม่ก็ส่งเสริม SME ภายในประเทศ(จะว่าตอนนี้ก็ถือว่ามีจำนวนมากอยู่แล้ว)ให้มาเกาะกลุ่มกันสร้างแบรนด์กลุ่มหรืองานแสดงกลุ่มสินค้าเพื่อสู้กับเชนบริษัทใหญ่ๆ เปิดงานแสดงสินค้ากลุ่มย่อยให้ถี่กระตุ้นให้คนเอาเงินลงมาหมุนแล้วก็ผลักดันให้เกิดกระแสการลงทุนหลังจากนั้นเป็นตัวสอดรับจากนั้นก็ผลักดันสินค้าเหล่านี้เข้าไปตีตลาดต่างประเทศเน้นที่คุณภาพกับราคาที่ไม่สูงมากนักเพื่อสู้กับสินค้าราคาถูกกว่าจากประเทศใหญ่ทางเอเซียแต่ว่าคุณภาพไม่ถึงคิดว่าน่าจะพอฟื้นตัวได้

การเล่นเป็นทีมเพลย์ของที่นี่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว ถ้าพี่ม่าสร้างภาพตรงนี้ให้ออกมาชัดเจนมากขึ้นเพื่อสอดรับนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงแล้วละก็ ทีมเพลย์ในระดับใหญ่ลดขนาดมาเป็นทีมเพลย์ขนาดกลางและเล็กแต่ว่ามีการเกาะเครือข่ายแบบหลวมๆ ระหว่างผู้ที่ธุรกิจอย่างเดียวกันในแต่ละรัฐ ยังไงก็คิดว่าประเทศคงจะไปได้(ทางเศรษฐกิจ)

แต่ที่น่าห่วงกว่านั้นคือระบบการศึกษาที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของพี่ม่าเช่นเดียวกัน ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่กว่าของประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายกึ๋นพี่ม่าเป็นอย่างยิ่ง หลายๆ รัฐพบปัญหาการเลย์ออฟครูเป็นจำนวนมากไปจนถึงปัญหาการปิดโรงเรียนยุบมารวมกันเป็นเขตๆ กับอีกหลายๆ ปัญหารวมไปถึงการที่โรงเรียนเอกชนถือโอกาสขึ้นค่าเล่าเรียนเพราะรู้ว่าพ่อแม่ที่มีฐานะดีๆ พร้อมจะลงทุนกับการศึกษาของลูกเพราะเห็นจุดอ่อนจากนโยบายของรัฐ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าพี่ม่าแกจะแก้เกมส์ยังไง...

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เวลคั่มทูลอสแองเจลลิส

ไม่ได้มีเหตุให้ต้องมาที่นี่หลายปีครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาอเมริกาอีกครั้ง ก็เช่นเคยที่เคยปฏิบัติมาถ้าเป็นไปได้ก็จะใช้บริการเอื้องหลวงการบินไทยบนตรงลัดมหาสมุทรแปซิฟิคข้ามตรงมาขึ้นฝั่งที่แอลเอเลยซึ่งเที่ยวบินตรงนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ปรับเวลาได้เร็วกว่าเที่ยวบินที่ต้องแวะพักที่กลางทางอีกทั้งยังเหนื่อยน้อยกว่าด้วยเพราะสามารถพักได้ยาวกว่าปกติบนเครื่อง เท่าที่สังเกตุดูระหว่างอยู่บนเครื่องพบว่าจำนวนที่นั่งของชั้นธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อเทียบกับสัดส่วนของชั้นพรีเมี่ยมและอีโคโนมิคก็มานั่งนึกๆ ว่าคนมีฐานะคงจะนิยมไฟลท์ตรงนี้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม อีกอย่างจากที่เที่ยวบินตรงนี้มีลดจำนวนวันในสัปดาห์ลงไปช่วงหนึ่งแต่ตอนนี้กลับมาให้บริการทุกวันเช่นเคยเลยเดาเหตุผลว่าส่วนหนึ่งมาจากจำนวนที่นั่งของชั้นธุรกิจเพิ่มขึ้นนี้เองทำให้เที่ยวบินตรงแบบนี้พอจะคุ้มทุนมากขึ้น

เครื่องบินใช้เวลาเดินทางสิบสามชั่วโมงสี่สิบกว่านาทีมาถึงก่อนเวลาที่กำหนดไว้เล็กน้อยตามปกติของการบินตามกระแสลมมาเมื่อเครื่องลงแตะพื้นที่ LAX สิ่งหนึ่งที่แปลกไปก็คือว่าตามปกติสมัยที่คุณบุชเป็น ปธน. Homeland Security ค่อนข้างจะเข้มงวดมากๆ เมื่อเครื่องบินลงแล้วก่อนที่จะเขาเทียบเกทก็จะให้ดับเครื่องแล้วมีรถมาลากเข้าไปไม่ให้เครื่องบินเคลื่อนเข้าไปเทียบเกทตามปกติเพราะเกรงว่าอาจะมีการก่อวินาศกรรม(สงสัยแหยงจากเหตุการ 9 11) นี่แหละน้าไปทำเค้าไว้ก่อนไปก่อสงครามซะทั่วนอกบ้านตัวเอง แบบนี้ละมั๊งที่เค้าเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

พอเข้าไปที่ ตม. ตรวจเอกสารเข้าเมืองที่พึ่งปรับปรุงใหม่เมื่อสามปีที่แล้วก็มีอะไรหลายๆ อย่างแปลกตาไป เช่นบูทที่เข้าไปปั๊มเข้าเมืองก็เปลี่ยนเป็นบูทสเตนเลสแบบสากดูไฮเทคดีใช้ได้ มีแท่นแสกนนิ้วมือครบห้านิ้วรุ่นใหม่แทนแป้นสีแดงแบบเดิมก็เปลี่ยนมาเป็นใช้ไฟสีเขียวแบบใหม่พร้อมกล้องถ่ายรูปขนาดจิ๋วที่ดูมีราคากว่าเวปแคม logitech ที่เคยใช้ แต่ที่พัฒนามากขึ้นก็คือ จนท. ที่ทำงานได้รวดเร็วมากกว่าเดิมเยอะเลยส่วนหนึ่งอาจจะเป็นจำนวนบูทที่เพิ่มมากกว่าที่เคยเห็นนั่นเองทำให้แถวที่รอไม่ยาวมากพร้อมทั้งมีระบบจัดการเคลียร์ไปทีละสายการบินเพื่อความรวดเร็ว เช่นเคยสำหรับเพื่อนๆ ที่มายืนรอตรวจคงเข้าเมืองก็เป็นพี่น้องจาก China Airline EVA และ Thai Airways Int. รวมไปถึงสายการบินของประเทศในแถบเอเชียอีกสองสามสายการบิน

ผ่าน ตม. ไปถึงพี่ศุลตรวจส่งของต้องห้ามเข้าประเทศเช่นพวกพืช ผัก เมล็ดพันธุ์ และสินค้าต้องสำแดงหลายๆ รายการที่พี่ศุลจะเข้ามาเลือกสุ่มตรวจดูซึ่งรอบนี้ก็ได้รับความเมตตาจากพี่ศุลฯ ชาวฮิสแปนิคท่าหนึ่งเลือกสุ่มเราออกจากแถวไปตรวจพิเศษก่อนใครจะว่าโชคดีก็ได้ก็เพราะว่าเข้าแถวอยู่ท้ายๆ พอพี่เค้าลากออกจากแถวไปก็ได้แซงคิวพวกไปก่อนเพื่อน เมื่อก่อนตอนผ่านพี่ศุลจะเร็วกว่านี้มาก ตอนนี้พี่ศุลฯ ของพี่กันเริ่มเขี้ยวมากขึ้นคงเป็นเพราะมีการลักลอบเอาสินค้าและอื่นๆ เข้าไปมากขึ้นตรงนี้ก็สะท้อนนโยบายของประเทศได้เหมือนกันคือว่าหากประเทศมีนโยบายทางการทหารแบบเข้ม ตม. ก็ต้องทำงานหนักหน่อยเพราะเกรงว่าจะมีพวกที่ไม่ค่อยชอบที่พี่กันไปทำแบบนั้นเช้าประเทศมาโจมตีตัวเอง พอนโยบายเป็นไปเป็นเน้นไปทางเศรษฐกิจก็จะมีพวกทีคอยเสาะแสวงหาผลประโยชน์จากส่วนนี้ถือโอกาสเอาของเข้าไปขายในประเทศมากขึ้นเพื่อหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง พอได้รับการแกะกระเป๋าออกมาตรวจแล้วไม่พบสิ่งของต้องสำแดงใดๆ ก็ผ่านด่านพี่ศุลฯ ไปอย่างเรียบร้อยไม่เสียอารมณ์คนอื่นๆ จำนวนเกือบร้อยที่ถูกเราแซงคิวไปเพราะว่าเราเป็นผู้ได้รับเลือก(ขอขอบคุณพี่ศุลฯ เม็กมา ณ. ที่นี้ด้วยที่ช่วยย่นระยะเวลาให้)

พอออกมาจากพี่ศุลก็พบบรรยากาศที่คุ้นเคยคือมีคนมารับพี่ๆ น้องๆ และหมู่ญาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศกันเยอะแยะจนแน่นขนัดส่วนหนึ่งที่ยืนรอก็มีของเราด้วยที่มารับ พอออกมาจากเทอร์มิน่อลมาขึ้นรถได้ก็รู้สึกสบายใจเพราะอีกไม่นานก็จะได้พักแล้ว อากาศที่ออกมาให้สูดตอนลงจากรถเมื่อถึงที่พักก็สดชื่นดีถือว่าอากาศเย็นกำลังดีคือสิบสองสิบสามองศาก็คงต้องรอดูต่อไปว่าทริปนี้จะได้อะไรมั่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเที่ยวอื่นๆ ...

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

[1st impression] Woo WES Maxxest

ห้าหกวันมานี้ไม่ได้เอาอะไรเสียบหูเลยเพราะอยากจะเก็บหูไว้ทดลองฟังแอมป์ตัวนึงซึ่งสั่งไปเมื่อเดือนก่อนโน้นด้วยหวังว่าแก้วหูจะได้ไม่มีอะไรมาทำให้ล้าไปซะก่อนโชคดีที่จำเป็นต้องไปประชุมที่ไต้หวันก็สบจังหวะที่วุ่นๆ เลยไม่คิดจะอยากฟังอะไร ก็ขอขอบคุณอาเสี่ยใจดีคนที่คุณก็รู้ว่าใครอีกครั้งที่ติดต่อประสานงานให้การสั่งของจากต่างประเทศสะดวกราบรื่นมากๆ ไม่ติดไม่ขัดแถมมีช่วยชาติจนหน้ามืดกันไป

จะว่าไปไม่ได้มีความคิดจะสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้เลยเพราะเล็งแอมป์อีกตัวไว้ก็คือ BHSE ที่หลักการออกแบบดีกว่าแอมป์ตัวนี้และความยุ่งยากในการติดตั้งก็น้อยกว่า ส่วนตัวคิดว่าแอมป์ตัวนี้นั้นมีดีที่รูปร่างดูแน่นหนาและก็ออกแบบได้เท่ห์มากแค่นั้นเองที่ได้เห็นรูปตามเวปต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนใจก็คือรีวิวจากเกจิทางอิเล็กโทรสติแตกหลายๆ ท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความโปร่งใสกิ๊งและไดนามิคของ BHSE ดีกว่า WES ที่ฟังแล้วค่อนข้างจะเรียบร้อยมากไปหน่อยพละกำลังก็ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าด้วย ก็สรุปง่ายๆ จากที่ได้อ่าน(เพราะคงไม่มีโอกาสไป Canjam เพื่อลองฟังกับเค้า) ว่าแอมป์ตัวนี้ค่อนข้างจะฟังได้สบายกว่าอีกตัวพอสมควรแต่ก็คงจะไม่ถูกใจเกจิที่มักจะเป็นนักฟังแบบจริงจังตรงนี้แหละที่ทำให้ตัดสินใจสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้ในที่สุด

วัสดุหีบห่อและการขนส่ง: อยากจะบอกว่าส่งมาเร็วมากทาง USPS แต่มีผิดหวังเล็กๆ แต่ก็มีแอบดีใจด้วยหน่อยๆ เพราะว่าแจ็ควูเค้าส่งเป็นกล่องกระดาษมาให้แทนที่จะเป็นลังไม้เช่นเดียวกับที่รายอื่นๆ เค้าได้กันอาจจะต้องสอบถามเหตุผลกลับไปว่าทำไมถึงไม่ส่งเป็นลังไม้อย่างที่คุยไว้เพราะขนาดอีเมลแนะวิธีติดตั้งยังเป็นกล่องไม้อยู่เลย ที่บอกว่าแอบดีใจก็เพราะทีแรกเกรงจะโดนภาษีช่วยชาติเยอะเพราะเป็นกล่องไม้แต่พอส่งมาเป็นกล่องกระดาษนึกว่าจะโดนภาษีน้อยลงกลับเป็นว่าครั้งนี้เจอภาษีหนักที่สุดเพราะพวกคิดเป็นแอมป์สองตัวเนื่องจากแยกมาสองกล่อง คิดในแง่ดีถือว่าเอาเงินไปช่วยชาติที่กำลังบอบช้ำก็แล้วกันเนอะ



การประกอบ รูปร่างหน้าตา: ไม่ยุ่งยากเพราะว่ามีคู่มือออนไลน์ส่งมาทางอีเมลพร้อมรูปภาพประกอบอย่างชัดเจนทุกขั้นตอนไล่ตั้งแต่เปิดกล่องไปจนถึงเปิดทำงานแบบเต็มระบบ เป็นแอมป์หูฟังตัวที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เคยครอบครองมาครับ วัสดุที่ใช้ก็ดีมีน้ำหนักงานค่อนข้างเรียบร้อยพอสมควรถือว่าผ่านเกณฑ์

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
iMac
Cans]: STAX Omega2 MkI&II
firewire interface: METRICHALO ULN-2
DAC: Berkeley Audio Design Alpha DAC
AMP: Woo Audio WES Maxxest
สายนำสัญญาณต่างๆ: PAD Venustas XLR, Oyaide AES/EBU, Firewire cable Audioquest Mod, Power Cord furutech alpha3
ไฟล์ที่ใช้ทดสอบ: AIFF 44.1k-96k, Apple lossless, MP3 192k up เล่นผ่าน iTunes และโปรแกรม Amarra โปรแกรมเล่นเพลงบน Mac ที่ว่ากันว่าเป็นโปรแกรมเล่นเพลงที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้


ความประทับใจแรก: เสียงเป็นธรรมชาติดีมากไม่มีหวือหวาออกชืดๆ ตามแบบของแอมป์ที่ออกมาดี

บรรยากาศ อิมเมจ ความเป็นดนตรี มิติและเวทีเสียง: เริ่มจากเพลง 21Guns(AIFF Bit Rate 1411kbps) ของนักแสดง Broadway ของโชว์ชุด American Idiot แค่เสียงกีตาร์เปิดเพลงก็ทำให้รู้สึกดีแล้ว พอนักร้องนำเริ่มออกเสียงก็นึกในใจว่านี่สิเสียงกลางที่ดีคือไม่มากไม่น้อยไม่แห้ง การแต่งเสียงที่ใส่มาเล็กน้อยทำให้ฟังแล้วรื่นหูขึ้นอีกพอสมควร ช่วงกลางเพลงที่มีเสียงไวโอลินขึ้นมาเป็นฉากหลังรับรู้ได้ถึงความฝืดของสายได้ดี เสียงก้องสะท้อนของห้องอัดในไลน์ประสานได้ยินแยกออกมาจากเสียงดนตรีในช่วงโหมไม่มีเบลอ เสียง reverb ที่ใส่เข้าไปตอนจบเพลงฟังออกได้เป็นชั้นๆ

เพลง Share & Share Alike[AIFF Bit Rate 4608kbps Sample Rate 96k] จากอัลบั้ม Audiophile Jazz Prologue III ที่คุณ Kent Poon บรรจงอัดมาด้วยเป็นไฟล์ความละเอียดสูง เพื่อทดสอบความเป็นธรรมชาติของเครื่องดนตรีที่อัดมาแจ๋วๆ โดยเฉพาะเสียงดับเบิ้ลเบสนี่ได้อารมณ์สุดๆ จริงๆ

อัลบั้ม Beautiful Voices , Clair Marlo, Charice , Metallica, Wonder Girl, Blackmore's Night, Jason Derülo, Greenday, Owl City, Ke$ha, บอยป๊อด, มภ พรชำนิ ฯลฯ เพื่อหาแนวเพลงที่เข้ากับแอมป์ตัวนี้พบว่าฟังได้หลายๆ แนวโดยไม่ได้รู้สึกว่าขาดเพียงแต่ว่าเสียงติดแข็งๆ อยู่พอสมควรเพราะว่ายังไม่ผ่านการเบิร์นคิดว่าในวันมีตติ้งใหญ่ของเวปน่าจะเข้าที่แล้วพอสมควร

เรื่องของอิมเมจ มิติและเวทีเสียงนั้นส่วนหนึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ DAC ที่ใช้ในการทดสอบก็ว่าได้เพราะ DAC ตัวนี้ท่านเกจิ(อีกแล้ว)ยกให้ว่าเด่นในเรื่องของบรรยากาศและความเป็นสามมิติของเวที เมื่อฟังผ่าน WES ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใดเพียงแต่ว่าความสะอาดใสกิ๊งยังไม่ถึงจุดที่ว่า crystal clear เท่าที่ได้ลองมานี่เป็นจุดหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของแอมป์วูหลายๆ รุ่นเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น Woo GES, WA22 และตัวนี้ ข้อดีคือฟังสบายแต่ข้อเสียคือเสียงจะออกขุ่นนิดๆ ดังนั้นรายละเอียดอาจจะถือว่าไม่ดีนักแต่ก็ถือว่าดีกว่าแอมป์ตัวเล็กที่ผมเคยใช้คือ RudiStor Egmont Classic ตั้งแต่ยังไม่ผ่านเบิร์น

เรื่องของบรรยากาศรายรอบนั้นถ้าเสียงไม่สะอาดแล้วจะไม่เด่นเลยแต่ว่า WES ก็ทำหน้าที่ได้ดีเพราะเมื่อเทียบกับการฟังเสียงในการแสดงสดจริงๆ แล้วละก็เสียงก็ออกมาประมาณๆ นี้แหละไม่ได้คมกริ๊บเหมือนภาพ Hi Def เหมือนเราเสียบฟังจาก mixer เมื่อฟังเพลงจากหลายๆ อัลบั้มแสดงสดเช่น The Best of MTV Unplugged, Blackmore's night, Dashboard Confessional, The Weavers ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงที่ฟังได้ดีแถมตำแหน่งชิ้นดนตรีแม่นยำไม่มีแกว่งเลยแม้จะเปิดในระดับความดังต่างๆ ตรงนี้ทึ่งครับเพราะปกติมักจะแกว่งถ้ายังไม่ผ่านเบิร์น(ยกความดีให้กับโวลลุ่มที่คุณคิมสั่งให้ด้วย)

WES แยก Leyer ตำแหน่งหน้าหลังค่อนข้างดี Headstage ไม่กว้างเท่าไหร่แต่ก็เป็นรูปไข่ตามการออกแบบของหูฟังตระกูล Omega ทำให้ฟัง Big Band ได้สนุก ฟัง Classic ก็รับรู้ภาพได้ชัดเจน เรื่องความเป็นธรรมชาติก็เป็นอีกจุดที่แจ๋ว ฟัง track ทดสอบของ Ultrasone ในแทร็คที่ 11 (พลุ)นี่แจ๋วมากไดนามิคสมจริงเหมือนอยู่เหตุการณ์

บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในส่วนนี้ถึงเอ่ยถึงซะยืดยาว เหตุผลส่วนตัวก็มีแค่เพียงว่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาอุปกรณ์ทางด้านเสียงนี้ถ้าผ่านการเบิร์นไปส่วนที่มีผลกระทบไม่มากเท่าไหร่คือส่วนของอิมเมจ มิติและเวทีเสียง ส่วนบรรยากาศก็เปลี่ยนไปได้ค่อนข้างมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไปในทางทีดีขึ้นดังนั้นถ้าฟังอุปกรณ์ชุดไหนแล้วถ้าเรื่องพวกนี้ดีก็พอจะบอกได้เลยว่าผ่านเบิร์นไปจะดีขึ้นไปมากกว่านี้อีก ไม่เหมือนเรื่องเกี่ยวกับความถี่ในย่านต่างๆ เช่นต่ำ กลาง สูงที่ผ่านเบิร์นไปแล้วโอกาสที่จะเปลี่ยนไปได้มากๆ ทั้งดีขึ้นและแย่ลงนั้นมีอยู่





เสียงกลาง: หลังจากที่เปิดมาได้พักนึกเสียงกลางยังไม่ค่อยเข้าที่มากนัก ไม่สากแต่ก็ไม่ถึงกับรื่น หลังจากเอาเพลงประเภทหลงเสียงนางหลายหลากอัลบั้มมาเปิดฟัง เสียงนักร้องชาย นักร้องหญิงผิวดำหรือว่าเสียงนักร้องที่ค่อนข้างต่ำเช่น Noon หรือว่าแม้แต่น้อง Charice จะฟังแล้วได้อารมณ์ดีกว่าเสียงนักร้องหญิงที่ออกแหลมๆ เช่น Clair Marlo

เสียงต่ำ: เท่าที่ฟังมาตอนนี้รายละเอียดของเสียงต่ำค่อนข้างดีแต่ก็ขึ้นอยู่กับหูฟังที่ใช้ด้วยเพราะว่าเท่าที่ลองสลับดูระหว่าง STAX O2MkI กับ MkII นั้นที่ต่างกันมากๆ ก็อยู่ตรงที่เสียงต่ำ เสียงต่ำของ MkI ลงได้ลึกอิมแพ็คดีกว่า MkII แต่เนื้อเสียงต่ำย่านที่หูเราได้ยินได้ง่าน MkII ดีกว่าแต่ว่ามีติดบวมอยู่บ้างตรงนี้ทำให้เกจินักฟังหูฟังสติแตกไม่ค่อยชอบ O2MkII มากนักแต่ว่าถ้าเอามาฟังเพลงร้องแล้วละก็ คหสต. เสียงของ MkII ติดหวานน่าฟังดีแต่ MkI ก็ฟังแล้วธรรมชาติซึ่งก็ดีกันไปคนละด้าน เท่าที่หาข้อมูลมา WES เข้ากับ O2 MkI มากกว่า MkII พอเอามาลองฟังดูก็เห็นด้วยกับที่เค้าบอกมาเพราะฟัง MkI ผ่าน WES แล้วเสียงมันพอดีแต่ถ้าใช้ MkII แล้วเบสเหมือนจะล้นไปบ้าง(ในตอนนี้) ก็ต้องรอให้ผ่านการเผาไปอีกระยะน่าจะพอบอกอะไรได้มากกว่านี้

เสียงสูง: เสียงสูงที่ฟังผ่าน WES ไม่เสียดหู เป็นเสียงสูงที่น่าฟังดีถือว่าดีตั้งแต่ออกจากกล่องเลยก็ว่าได้แต่ก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่พึ่งใช้งานคือมีเกรนหยาบในเนื้อเสียงอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่มากนักคงต้องรอไปอีกระยะถึงจะสรุปได้แน่นอน


สรุปในเบื้องต้น: ผมมักจะพิมพ์ blog รีวิวหรือความประทับใจอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ ที่มีโอกาสได้ฟังทันทีที่ฟังเสร็จและพิมพ์รวดเดียวไปเลย ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้ตรวจทานคำผิดหรือความสละสลวยของสำนวนมากนักเพราะต้องการความสดของอารมณ์และความรู้สึกที่มีแต่อุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งก็บอกตามตรงว่าหูตัวเองก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนคนอื่นเค้าเท่าไหร่แถมมีอคติส่วนตัวเจืออยู่พอสมควรเพราะว่าหลายรายการเป็นของๆ เราเองส่วนตัวซึ่งยังไงก็ต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนอยู่บ้างแต่ก็พยายามจะถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่ความรู้สึกและประสบการณ์มี หลายๆ ท่านถ้าได้ฟังอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันก็อาจจะเห็นไม่ตรงกับที่ผมพิมพ์ไว้ก็ได้ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติซึ่งอยากจะบอกว่าเชื่อหูท่านไว้เถอะครับไม่มีใครจะบอกเราได้ชัดเจนไปกว่าตัวเราเองดังนั้นถ้าเลือกจะลองอุปกรณ์ก่อนจะซื้อหามาใช้ได้เป็นสิ่งที่"ต้อง"ทำ

ก็อยากจะแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะผมถือว่าการแบ่งปันความรู้(อันน้อยนิด)ที่มีจะช่วยต่อเสริมและทำให้เรามีความเข้าใจในแง่มุมนั้นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพอจะยกอุปกรณ์ไปให้ได้ลองกันในงามมีตติ้งก็พยายามจะเอาไปให้ได้ลองกัน เช่นเดียวกับแอมป์ตัวนี้และ DAC ที่เข้าชุดกันที่ผมใช้อยู่จะยกไปให้ลองกันในงานมีตติ้งใหญ่ที่พี่ๆ ผู้ใหญ่ในเวปช่วยกันออกความเห็นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาถ้าใครอยากจะลองก็ไปลองกันได้ครับ ฟังแล้วก็อยากจะขออย่างว่าลองมาแชร์ประสบการณ์กันในกระทู้นี้ได้เลย จะได้รวบรวมไว้ดูว่าเห็นเหมือนหรือว่าต่างกันอย่างไรเพื่อเก็บเป็นความรู้ แต่ที่แน่ๆ เสียงที่ได้ลองฟังในงานมีตติ้งจะดีกว่าเสียงที่ผมได้ยินตอนพิมพ์ impression นี้อย่างแน่นอน

สำหรับ WES 1st Impression นี้ก็อยากจะสรุปเพียงแค่ว่าผมเลือกแอมป์มาไม่ผิดเพราะไม่ต้องการแอมป์ที่"ไม่ขี้ฟ้องมากนัก ฟังได้หลากหลายแนว เสียงเป็นธรรมชาติ"และที่สำคัญอยู่ในงบที่พอจะกัดฟันหามาใช้ได้(แม้จะต้องขายของที่เคยมีไปเกือบทั้งหมด) ถือว่าคุ้มมากๆ ครับกับเสียงที่ได้ฟังมาประมาณห้าชั่วโมงนี้

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ Rolling Eyes

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สามวันที่ไทเป

วันนี้เป็นวันที่สามที่นี่แต่เป็นคืนที่สี่พรุ่งนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้วดีใจจัง สำหรับวันนี้ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลเป็นปกติคนรู้จักกันบอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตกก็ต้องรอดูกันต่อไปเพราะว่ากรมอุตุของแอปเปิ้ลผ่าน Widgets Weather บอกว่าจะตกแต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าคงจะตกอีกวันนึงแน่ๆ จะว่าไปอีกหลายๆ วันต่อจากนี้ไปก็คงจะยังตกอยู่ ที่นี่พออยู่ๆ ไปก็ดูเหมือนว่าจะเดาอากาศได้เหมือนกันว่าฝนจะตกตอนเช้า เย็นๆ เมฆมาก ส่วนตอนค่ำฝนจะหยุดแถมหมอกและเมฆลอยเต็มฟ้าไปหมดตามสภาพความชื้นสูงของเกาะฟอร์โมซานี้

วันนี้บรรยากาศตอนสายๆ วันอาทิตย์ก็มีคุณแม่พาลูกๆ ออกมาเดินกันอยู่ทั่วไปโดยรอบกรุงไทเปคิดว่าอาจจะพาไปเที่ยวตามห้างหรือว่าพาไปร้านอาหารดูแล้วคงไม่ใช่พาลูกๆ ไปโรงเรียนกวดวิชาเนื่องจากเด็กไม่เห็นแบกกระเป๋าอะไรออกมาอย่างมาก็มีกระเป๋าสะพายเล็กๆ ดูน่ารักดี อีกอย่างเพราะระหว่างทางตอนที่มองเข้าไปในร้านอาหารเจอพ่อแม่ลูกมาทานข้าวกันเป็นครอบครัวดูอบอุ่นดีจังถือว่าที่นี้วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ

นั่งรถวนอยู่พักนึงคนขับก็พามาจอดที่ตึกๆ หนึ่งซึ่งเป็นออฟฟิศบิวดิ้งริมทางด่วนที่จะข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำจากนั้นคนนำทางก็พาลงลิฟต์ลงไปหนึ่งชั้นปรากฎว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตกแต่งร้านได้ค่อนข้างคลาสสิคดีโดยเน้นสีดำเป็นหลักมีหลอดไฟโคมสีเหลืองยิงลงมาเพื่อตัดกับโทนสีหลักเป็นระยะ ตรงบริเวณส่วนต้อนรับของร้านพื้นเป็นพลาสติดสีขาวขุ่นมีหลอดไฟนีออนอยู่ข้างใต้ดูเหมือนๆ ผับยังไงชอบกลแต่ก็ถือว่าเก๋ดี ระว่างทางเดินมีต้นไผ่ปลูก(หรือปักหนอ)เป็นแนวกันระหว่างโซนบาร์บีคิวญี่ปุ่นกับส่วนที่เป็นกั้นห้องแยกที่ต่างระดับตรงนี้ค่อนข้างอันตรายหน่อยน่าจะมีแถบสะท้อนแสงบอกให้ทราบหน่อยเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

อาหารที่ร้่านนี้ทำถือว่าประณีตมากๆ เต็มไปด้วยศิลปะแถมรสชาติอร่อยด้วย ทานหมดชุดแล้วนี่พอดีอิ่มเลยแบบนี้หมดไปหนึ่งมื้อออกไปเข้าที่ทำงานก็สบายเลยรับรองว่าไม่ง่วงพอตกเย็นก็หิวพอดีถือว่าคนที่จัดเมนูรู้จริงว่าควรจะใส่อะไรมากแค่ไหน ถือได้ว่าอาหารในร้านญี่ปุ่นนี้ "กินพอดีอิ่ม" ไม่เหมือนอาหารตามร้านที่เคยๆ ไปทานแถวบ้านที่สั่งกันมาแบบ"กินพอดีอ้วก" เดี๋ยวรอกลับไปเอารูปออกจากมือถือน่าจะเอามาแปะไว้หน่อยว่าหน้าตาออกมาประมาณไหน บอกตามตรงว่าไม่ค่อยชอบอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่แต่ว่าพอมาเจอร้านนี้เข้าไปเปลี่ยนใจเลยทันที ของเค้าดีไม่มีคาวติดเลยแถมเครื่องก็ถึงรสชาติกลมกล่อมมากๆ แต่ราคาก็นะกินเข้าไปอิ่มแต่เดินออกร้านมาตัวเบาก็แล้วกัน เห็นคนนำทางบอกว่านี่ลดราคามาแล้วเพราะว่าไม่มีลูกค้าเข้าไปทานเนื่องจากราคาไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกระเป๋านัก แต่ก็สมราคาจริงๆ สำหรับรสชาติของอาหารมื้อนี้...

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผ่านไปอีกวันที่ไทเป

บรรยากาศที่นี่ก็ดำเนินไปตามที่เค้ามอบหมายให้มาซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกวัน เสร็จจากงานแล้วก็คิดว่าน่าจะไปแวะร้านหนังสืออีกซักร้านก่อนที่จะเข้าที่พักเลยให้รถไปส่งที่หน้าตึก 101 ซึ่งเป็นอดีตตึกที่สูงที่สุดในโลกพอเข้าไปก็ค่อนข้างจะแปลกใจนิดๆ ไม่ถึงกับมากมายนักที่นักท่องเที่ยวและลูกค้าที่เดินเข้าไปในห้างมีจำนวนไม่มากนักเพราะว่าฝนตกก่อนหน้านี้ไม่นานนั่นเอง ร้านค้าเสื้อผ้าและเครื่องหนังแบรนด์เนมต่างๆ มีลูกค้าเดินอยู่บ้างประปรายแต่ที่ลูกค้าค่อนข้างเยอะก็คือร้านขายเพชรเดอเบียร์ซึ่งพึ่งทราบข่าวว่าถูกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเชิดแหวนเพชรไปสองวงสาเหตุก็อาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะเจอพวกมิจฉาชีพแบบนี้หรือไม่ก็ประสบการณ์น้อยอาจจะส่งมาฝึกงานกับอาเฮียแถวเยาวราชรับรองว่าไม่ถูกเชิดแน่นอนเพราะว่าอาเฮียบ้านเรานี่โชกโชนมากกับพวกมิจฉาชีพเหล่านี้ แต่สาเหตุที่อนุมานหรือว่าเดาก็คือว่าฮวงจุ้ยไม่ดีตั้งร้านติดกับทางออกห้่างพอดีแถมสะพานลอยที่ต่อเชื่อมกับอาคารตรงนั้นสามารถวิ่งข้ามฟากไปได้โดยง่ายแถมฝั่งที่ข้ามมาก็เป็นเขตต่อกับเขตที่มีคนหนาแน่นอีกต่างหากก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน

ร้านค้า PAGEONE บนชั้นสี่ของตึก 101 ก็ดูหนาตาเช่นเคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไต้หวันเอง หนังสือภาษาอังกฤษในร้านนี้มีจำนวนมากกว่าร้านอื่นๆ ที่ไปมาพร้อมกับมีแผนกเครื่องเขียนอยู่ด้วย หนังจากเดินเลือกดูหนังสือผ่านไปได้ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ สรุปว่าไม่เจอหนังสือที่ถูกใจเลย แต่ร้านนี้คงเป็นสวรรค์สำหรับคนที่บ้า fiction มากๆ เพราะว่ามีชั้นวางหนังสือประเภทนี้ยาวครึ่งร้านก็ว่่าได้ ไปเดินมองๆ อยู่พักนึ่งได้ไอเดียทำปกหนังสือมาพอสมควรเลยทีเดียว

พอออกจากร้านหนังสือมาก็มานั่งกินไอติมฮาเก้นดาซอยู่ที่ลานหน้าร้านอีกระยะนึง ดูคนเดินผ่านไปมาแล้วนักท่องเที่ยวชาวแผ่นดินใหญ่มาเดินเยอะเหมือนกันสอบถามแล้วทราบว่าเป็นอับดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวที่มาไต้หวันเลยทีเดียวน่าจะมากเป็นอันดับหนึ่งซะด้วยซ้ำพี่ที่ทำธุรกิจโรงแรมที่นี่บอกมาแถมนักท่องเที่ยวชาวแผ่นดินใหญ่เหล่านี้จ่ายเงินกันเติบมากด้วยทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถูกใจร้านค้าแบรนด์เนมมากๆ นึกในใจไม่ว่ากันเงินมันไหลไปมาได้ถ้ารู้จักหาถุงหาอะไรมาดักก็จะได้มาไม่ยาก แต่บางประเทศมีอะไรดึงดูดน่าสนใจในประเทศมากมายกับเอามีดไปกรีดถุงดักเงินของตัวเองซะนี่ก็ไม่ว่ากันเดี๋ยววันหนึ่งเงินก็คงจะไหลกลับมาถ้าเจอคนที่ทำอวนดักเงินเป็น..

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาไทเป(อีกรอบ)

ไม่ได้มาที่เกาะของ ดร.ซุนมาสี่ปีเต็มๆ สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องมาที่นี่อีกจนได้ บรรยากาศโดยรวมก็คึกคักดีทั้งนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและจีนที่มากันตรึมจนคาเฟ่ของโรงแรมที่พักอยู่ดูแออัดไปเลยตอนที่ไปรับประทานอาหารเช้าซึ่งจะเป็นด้วยอานิสงส์อะไรก็ไม่อาจทราบได้เพราะขี้เกียจไปค้นหาข้อมูล และอีกเช่นเคยถ้ามาไทเปแล้วไม่เจอฝนนี่จะรู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปอย่างรอบนี้ก็ตกพอให้หายคิดถึงกันไปเลยแต่ก็ยังดีที่ยังพอเปิดโอกาสให้ได้เดินบ้างตอนพักกลางวัน สภาพของคนในกรุงไทเปก็คล้ายๆ เดิมยกเว้นที่แปลกตาอยู่หน่อยก็คือเหมือนว่าคนที่ไม่ค่อยจะผอมมีมากขึ้นไม่เหมือนกับเกาหลีที่หาคนไม่ค่อยจะผอมน้อย ส่วนนึงคิดว่ามาจากอาหารการกินที่ต่างกันที่เกาหลีเน้นผักกันเยอะแถวนี้จะว่าไปก็เน้นผักอยู่บ้างแต่ว่าอาหารค่อนข้างมันทำให้เกิดสภาวะคนไม่ค่อยผอมเพิ่มจำนวน

สภาพของเกาะไต้หวันถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติที่ความชื้นมีสูงนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝนตกชุก จริงๆ มารอบนี้แม้ว่าจะพกกล้องมาด้วยแต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าอยากจะถ่ายอะไรเพราะรู้สึกเบื่อๆ ยังไงชอบกลคงเป็นเพราะอากาศที่อึมครึมก็มีส่วนทำให้ไม่ค่อยอยากจะถ่ายรูปซักเท่าไหร่

ส่วนในห้่างแต่ละห้างในเขตเศรษฐกิจถือว่าคนมาช้อปกันค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในร้านหนังสือที่คนเดินกันขวักไขว่เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่มีนักอ่านเยอะไม่เหมือนบางประเทศที่ไปเดิมแล้วคนบางตาแม้จะเดินเลือกอ่านได้สะดวกแต่ว่าก็เป็นดัชนีตัวนึงที่บอกว่าคนในประเทศนั้นๆ คิดอ่านอะไรกันอยู่ ถ้าร้านหนังสือมีคนเดินไม่มากเท่าที่พบมาเวลาพูดคุยกันคนในประเทศนั้นๆ ไม่ค่อยจะมีไอเดียอะไรมากนักในเวลาที่ต้องมาถกเอาไอเดียกัน แต่ถ้าประเทศไหนที่มีนักอ่านเยอะๆ อันนี้นี่คุยกันสนุกเพราะจะแตกไอเดียกันสนุกสนานแถมเวลาคุยกันมักจะมีแง่มุมแปลกๆ มาให้ได้ทราบอยู่มากพอสมควรโดยเฉพาะคนขับแท็กซี่ก็เป็นดัชนีอย่างนึงที่จะบอกอะไรได้หลายๆ อย่างในบ้านนั้นเมืองนั้นซึ่งจะมองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว

เฉพาะวันนี้ไปเดินร้านหนังสือสองร้าน ร้านนึงเป็นของไต้หวันอีกร้านเป็นของญี่ปุ่นซึ่งอยู่กันคนละห้างอาศัยเดินเร็วหน่อยเพื่อไปให้ทันกับเวลาที่พอว่างอยู่ จำนวนลูกค้าในร้านทั้งสองมีพอๆ กันที่แตกต่างกันก็คือการตกแต่งร้านที่ร้านของฝั่งไต้หวันดูโมเดิร์นหน่อยอาจเป็นเพราะเป็นร้านใหม่ ส่วนร้านญี่ปุ่นก็ดูเรียบๆ จัดหมวดหนังสือและชั้นวางที่เลือกหาหนังสือได้ง่ายตรงนี้เป็นข้อเด่น อีกอย่างมีหนังสือนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะซึ่งเท่าที่เห็นหนังสือที่มาจากญี่ปุ่นขนาดรูปเล่มเท่ากันเป๊ะๆ ดูเป็นมาตรฐานดีไม่เหมือนในร้านของไต้หวันที่ขนาดของหนังสือค่อนข้างมีหลากหลายขนาดเวลาวางบนชั้นก็ดูเป็นคลื่นๆ สูงๆ ต่ำๆ เหมือนบางประเทศที่คุ้นเคย

section ที่มีจำนวนหนังสือมากๆ ของร้านสายพันธุ์ไต้หวันก็ไม่มีอะไรเกินส่วนของแฟชั่นซึ่งก็มีปะปนกันไปทั้งของประเทศไต้หวันเองเกาหลีและจากฝั่งประเทศตะวันตก อีกส่วนนึงที่มีหนังสือค่อนข้างมากคือส่วนของภาษาต่างประเทศและการท่องเที่ยว ส่วนของ best seller ก็มีนิยายหลายๆ เล่มที่ขายดีที่น่าแปลกก็คือหนังสือชีวะประวัติของท่านประธานเหมาที่ดูเด่นเป็นสง่าบนชั้นวางร่วมกับหนังสือเกี่ยวกับการเมืองอีกหลายๆ เล่มซึ่งก็บอกให้รู้ถึงความสนใจและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างแรงของบ้านนี้เมืองนี้ที่หลายๆ ครั้งเรามักจะทราบข่าวว่ามีการลงไม้ลงมือกันในสภาเหตุก็น่าจะเกิดเนื่องด้วยความจริงจังในเรื่องเหล่านี้นั่นเอง จะว่าไปประเทศนี้สร้างบ้างแปงเมืองขึ้นมาได้จากความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองก็คงไม่ผิดนัก และเช่นเดียวกับร้านหนังสือดังๆ ในหลายๆ ประเทศก็มีหนังสือเล่มนึงที่ขายดีติดตลาดก็คือ The Secret นั่นเองว่างๆ คงจะต้องเขียนถึงบ้างแล้วว่าคิดยังไงกับหนังสือเล่มนี้

ส่วนร้านหนังสือของญี่ปุ่นที่มีจำนวนหนังสือเยอะๆ ก็คือส่วนของอาหารและการฝีมือต่างๆ รวมไปถึงการก่อสร้างและกีฬา ส่วนแฟชั่นก็มีหนังสือค่อนข้างเยอะแต่ว่าสู้ร้านหนังสือของไต้หวันไม่ได้ แต่ก็น่าแปลกได้หนังสือที่ร้านนี้มามากกว่าที่ซื้อจากร้านฝั่งไต้หวัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าหนังสือประเภทที่ได้มาร้านในฝั่งไต้หวันหาคนจีนเขียนค่อนข้างยากเพราะว่าเป็นเส้นทางในการทำมาหากินของเค้า ถ้าเขียนหนังสือออกมาแล้วความเป็นปรมาจารย์อาจจะสูญเสียไปได้ก็ไม่ว่ากัน..

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผ้าขี้ริ้ว

เมื่อคืนวานเดินตรวจ site ก่อสร้างอยู่ขากลับฝนกระหน่ำซะชุ่มฉ่ำหัวใจแต่อย่างน้อยก็พอช่วยทำให้ความร้อนอบอ้าวระหว่างวันเย็นลงได้ทันใจแล้วก็มีแถมสายฟ้าฟาดมาเป็นระยะๆ นึกแล้วก็อยากได้กล้องติดมือมาจริงๆ เพราะภาพสายฟ้าที่ฟาดลงมานั้นก็ดูสวยไปอีกแบบ พอเดินกลับมาถึงที่พักเห็นผ้าเช็ดเท้าเปียกฝนอยู่ก็นึกถึงเรื่องที่ผู้ใหญ่ท่านนึงได้เล่าให้ฟังว่ายายของท่านสอนไว้ว่าอย่างไรในตอนยังเด็ก ฟังแล้วก็นึกถึงภูมิปัญญาและปรัชญาในการมองโลกของผู้เฒ่าผู้ผ่านโลกมาเกือบศตวรรษว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อยังเด็กหลังเลิกเรียนถ้าไม่ได้ไปเล่นน้ำในแม่น้ำนครชัยศรีหรือไม่ได้ไปเล่นซนที่ไหนก็จะเข้าบ้านไปช่วยงานคุณยาย วันหนึ่งท่านขึ้นไปบนเรือนเจอคุณยายกำลังตำหมากอยู่ท่านก็เข้าไปนั่งรอรับคำสั่งว่าเย็นนี้จะให้ทำอะไรพอเห็นคุณนายหยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวแล้วน้ำหมากเลอะตรงมุมปากท่านก็บอกคุณยายให้ได้ทราบว่าน้ำหมากเลอะ คุณยายก็หยิบเอาผ้าขี้ริ้วขึ้นมาเช็ดปากท่านก็บอกว่า "เช็ดได้ยังไงยาย นั่นผ้าขี้ริ้วนะ" ยายก็ตอบว่า"ผ้าขี้ริ้วข้าสะอาดกว่าชุดนักเรียนเอ็งซะอีก" ท่านก็บอกว่าตอนนั้นนึกในใจว่า "เออ จริงแฮะ ผ้าขี้ริ้วยายสะอาดกว่าเสื้อผ้าท่านจริงๆ นั่นแหละ" เพราะว่าคุณยายของท่านซักผ้าขี้ริ้วอยู่เป็นประจำทุกวันแถมซักบ่อยและต้องพิถีพิถันกว่าเสื้อผ้าซะอีกเพราะว่าผ้าขี้ริ้วเอาไว้เช็ดสิ่งสกปรกต่างๆ ดังนั้นถ้าไม่ซักให้สะอาดแล้วคราบต่างๆ ก็จะไปติดกับสิ่งที่เอามันไปเช็ด ท่านก็เลยสอนว่าบางทีคนเราถ้าจะช่วยทำให้คนอื่นสะอาดบางทีอาจจะต้องช่วยรับความสกปรกของเค้าไว้ด้วยพูดง่ายๆ ก็คือว่าบางเวลาก็ต้องยอมเปื้อนบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าทำเช่นนั้นแล้วตัวเราเองก็ต้องยิ่งทำตัวให้สะอาดมากกว่าปกติอีกเพราะถ้าทิ้งไว้นานๆ คราบสกปรกภายนอกจะติดเข้าไปภายในแล้วมันจะขัดไม่ออก สุดท้ายก็จะกลายเป็นสิ่งสกปรกที่รอให้คนอื่นมาช่วยขัดแทนที่จะเป็นฝ่ายช่วยให้เค้าสะอาด

นอกจากนั้นก็มีอีกเรื่องที่ยายท่านสอนแล้วท่านก็จำมาจนกระทั่งวันนี้ถือเรื่องผ้าเช็ดเท้า เวลาที่ฝนตกคุณยายของท่านก็จะรีบไล่ท่านไปเก็บผ้าเช็ดเท้าก่อนด้วยความเป็นเด็กช่างสงสัยท่านก็เลยย้อนถามยายไปเช่นเคยว่า "ทำไมต้องเก็บผ้าเช็ดเท้าก่อนล่ะยาย ผ้าที่ตากไว้เป็นราวไม่ต้องไปเก็บก่อนเหรอ" ยายท่านก็เลยบอกว่า "ผ้าบนราวเก็บทีหลังได้เพราะว่าอย่างมากมันก็แค่เปียก แต่ว่าผ้าเช็ดเท้านี่ที่ต้องรีบเก็บก็เพราะบ้านเราเป็นสวน(อยู่อำเภอนครชัยศรี)ถ้าไม่รีบเก็บปล่อยให้มันเปียกอยู่อย่างนั้นถ้าคนเดินขึ้นเรือนแล้วเอาเท้าที่เปื้อนโคลนเช็ดผ้าเปียกๆ รับรองว่าคราบเท้าได้เปื้อนไปทั้งเรือน" อย่างนี้นี่เองเป็นเค้าเรียกว่าผู้ใหญ่ที่ละเอียด มองการณ์ไกลแล้วก็รอบคอบ มิน่าคนสมัยโบราณถึงสร้างบ้านแปงเมืองจนมีประเทศไทยนี้ให้เราอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะภูมิปัญญาแบบนี้นี่เอง

เมื่อเห็นผ้าเช็ดเท้าเปียกฝนทีไรต้องนึกถึงเรื่องนี้ทุกทีไปสิ ดีนะที่รอบบ้านสะอาดแถมเรายังใส่รองเท้าด้วยไม่อย่างนั้นเดินเข้าบ้านคงจะเละน่าดู แต่ยังไงก็ตามถ้าฝนจะตกควรอย่างยิ่งที่จะต้องเก็บผ้าเช็ดเท้าหรือผ้าอะไรก็ตามที่อยู่นอกบ้านเป็นการฝึกนิสัยกันไว้ดีกว่าแก้และรับผิดชอบต่อของใช้ในบ้านของเราด้วย ถ้าเราไม่อยู่ก็ต้องบอกให้คนใช้หรือว่าลูกหลานได้ทำแบบนี้ให้เป็นนิสัยแล้วอีกหน่อยด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละที่จะช่วยให้ลูกหลานเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพได้ในอนาคต..

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Confucius

มีหนังดีที่แนะนำว่าน่าจะหามาดูเรื่องนึงคือ Confucius หรือว่า"ขงจื้อ" ขงจื้อท่านเป็นนักปราชญ์ต้นแบบทางความคิดของชาวจีนและคนในประเทศในแถบเอเชียมาเป็นเวลาช้านาน โดยสรุปแล้วหลักต่างๆ ที่ท่านสอนไว้มีดังนี้

1. ศาสตร์สี่แขนง: วัฒนธรรม การเรียนรู้ ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์
2. แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้: สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนการเรียนรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ดูแลประเทศ นำความสงบมาสู่โลก
3. ลำดับการเรียนรู้: พิธีกรรม ดนตรี ขี่ม้า ประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์
4. คุณธรรมทั้งสาม: ภูมิปัญญา เมตตากรุณาและความกล้้าหาญ
5. สี่ขั้นตอนหลักการสอน: ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่
6. สี่ลำดับการสอน: คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง และวรรณคดี
ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/ขงจื้อ

ซึ่งในหนังเล่าสรุปไว้ค่อนข้างดีเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของท่าน เมื่อดูจบแล้วก็ได้แง่คิดหลายๆ เรื่องอย่างหนึ่งที่แว่บเข้ามาก่อนเลยก็คือคำสอนของคุณครูของผมที่ว่า "ปัญญาขึ้นอยู่กับการเห็น ยิ่งเห็นมากปัญญาก็มากไปตามที่ตัวเองได้เห็น" เช่นเราได้เดินทางไปในที่ต่างๆ มากๆ สิ่งรอบตัวที่เราได้เห็นก็จะให้ปัญญากับเราในด้านต่างๆ เท่าที่เราจะมองออกได้ด้วยความรู้ที่เป็นต้นทุนเดิมในใจ ถ้าใครมีพื้นฐานความรู้ในตัวมากๆ ปัญญาก็เกิดได้มากถ้าได้เดินทางหรือได้ไปเห็นสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองไม่เคยเจอ แล้วความรู้ต่างกับปัญญาอย่างไรล่ะ? ความรู้ก็คือสิ่งที่เราได้เรียนมา ส่วนปัญญาคือสิ่งที่เราเข้าใจในเรื่องนั้นๆ

ขงจื้อท่านได้เดินทางไปตามแคว้นต่างๆ หลังจากที่่ถูกภัยทางการเมืองขับออกจากแคว้นหลู่ซึ่งในระหว่างนั้นก็บันทึกสิ่งต่างๆ ที่ท่านคิดได้เป็นจำนวนมาก และด้วยพื้นฐานความรู้เดิมที่ท่านมีทำให้ปัญญาของท่านแตกฉานมากกว่าในระหว่างที่ท่านรับราชการอยู่ในแคว้นหลู่ซะอีกเนื่องจากว่าไม่ต้องมีอะไรมากวนใจเพราะมีเรื่องอาหารและที่พักเท่านั้นที่ต้องกังวล นอกนั้นก็ใช้เวลาไปกับการเผยแพร่คำสอนไปเรื่อยๆ

สุดท้ายเมื่อบั้นปลายชีวิตขงจื้อก็กลับมายังแคว้นหลู่แผ่นดินที่เป็นปิตุภูมิและมาตุภูมิของท่านโดยใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสั่งสอนและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านได้รู้ออกมาเป็นตัวหนังสือ แล้วบันทึกเหล่านั้นก็ถูกส่งผ่านต่อมารุ่นต่อรุ่นในแผ่นดินจีนได้ถูกใช้เป็นหลักการวางรากฐานความคิดปรัชญาและการปกครองของแผ่นดินจนทำให้แผ่นดินจีนยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ด้วยหลักการเหล่านี้จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า"ขงจื้อ"เป็นนักคิดที่เก่งมากท่านหนึ่งของโลก..

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นักพูด นักฟัง นักทำ

ครูของผมท่านสอนว่า "นักพูดเป็นผู้สร้างความหวัง นักฟังเป็นผู้สร้างความจำ นักทำเป็นผู้สร้างความจริง" ซึ่งในฐานะของผู้นำประเทศควรที่จะมีคุณสมบัติทั้งสามประการนี้ให้ครบแล้วนำมาใช้ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสมถึงจะถือว่าเยี่ยม

ระหว่างเลือกตั้งหรือว่าในระหว่างที่รับตำแหน่งสมควรที่จะ"สร้างความหวัง"ให้เกิดกับประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพราะในระหว่างการเลือกตั้งถือได้ว่าเป็นสุญญากาศทางการบริหารอย่างหนึ่งก็คงจะไม่ผิดเนื่องจากผู้ที่รักษาการจะทำอะไรก็คงไม่ถนัดนักเนื่องจากการบริหารตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการตัดสินใจ ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใจก็จะบริหารไม่ได้ ดังนั้นในระหว่างที่ไม่มีการตัดสินใจอะไรถ้าประชาชนไม่่มีอะไรให้หวังบ้างสภาวะต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมก็จะระส่ำระสาย ดังนั้นนโยบายต่างๆ ที่สามารถจะนำมาใช้ได้เพื่อให้เกิดความหวังก็สมควรที่จะประกาศให้ได้ทราบทั่วกัน มีพรรคการเมืองหนึ่งเคยพยายามหาวิธีสร้างความหวังในเชิงข้อมูลโดยทำวิจัยเรื่องความต้องการของประชาชนแล้วก็นำมาสรุปเป็นนโยบายสี่ห้าข้อที่เป็นไปเพื่อสร้างความหวังให้เกิดกับประชาชนในยุคที่กำลังใจของผู้คนกำลังอ่อนแล้วนำไปเสนอในระหว่างหาเสียง ปรากฎว่าได้ผลดีหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปทำให้ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นส่งผลให้ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองในที่สุด ถือได้ว่าได้รับฟังความต้องการของประชาชนแล้วนำมาสร้างความหวังให้กับเค้าไปในขณะเดียวกัน

เมื่อ "รับฟังเสียงจากประชาชน"แล้วจำให้ขึ้นใจว่าเคยสัญญาอะไรกับเค้าไว้ จากนั้นก็มอบสิ่งนั้นกลับไปให้กับเขาเหล่านั้นให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สมควรที่จะอยู่บริหารบ้านเมืองต่อไป เหมือนข่าวที่ได้อ่านคืนนี้จาก NY Times เกี่ยวกับเรื่องนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นที่ชื่อว่านาย Yakio Hatoyama คงจะลาออกเร็วๆ นี้เนื่องจากรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนไม่ได้รวมไปถึงไม่กล้าจะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อีกทั้งไม่อาจจะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าได้แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาที่ทุกประเทศในโลกประสบอยู่ก็ตาม นับว่าเป็นนายกคนที่สี่ในรอบสี่ปีที่ผ่านมาที่จะลาออกซึ่งจะว่าไปก็เป็นประเพณีของผู้นำประเทศนี้อย่างหนึ่งเหมือนกันที่ทำอย่างนี้

ในกรณีที่พรรคใดก็ตามสามารถจะผ่านสนามเลือกตั้งเพื่อเข้าไปบริหารประเทศหรือแม้แต่เป็นฝ่ายค้านก็สมควรที่จะทำให้สิ่งที่ตัวเองได้รับปากประชาชนไว้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมหรือ"สร้างฝันนั้นให้เป็นจริง"เพื่อตอบแทนความไว้ใจของประชาชนที่มีแก่พรรค บางพรรรคที่ผ่านมาในอดีตให้เคยจัดทีมทำงานหลังจากทำวิจัยจนได้ความต้องการของประชาชนออกมาว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ออกมาให้กับประชาชนได้อย่างไรก่อนที่จะประกาศเป็นนโยบาย หลักจากคิดวางแผนการทำงานเสร็จจนสามารถประกาศเป็นนโยบายออกมาแล้วทำให้ประชาชนพอใจเลือกเข้ามาบริหารประเทศก็สามารถจะทำสิ่งที่ได้สัญญากับประชาชนไว้โดยไม่ยากเย็นมากนักเพราะได้คิดเตรียมทีมไว้ก่อนแล้ว ไม่เหมือนกันหลายๆ พรรคในอดีตที่สร้างดีมานด์เทียมโดยโปรยความฝันไปทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วก็ไม่สามารถจะทำสิ่งที่ได้โปรยเอาไว้นั้นให้ตกลงมาจากฟ้าได้ กลายเป็นเพียงแต่สายลมที่พัดมาแล้วก็ผ่านไป..

เลือกอะไรมาใช้ต้องเหมาะกับเวลา สถานการณ์และอารมณ์ของคนแล้วสิ่งนั้นจะสามารถแผลงฤทธิ์ออกมาได้อย่างเต็มที่..

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสี้ยวหนึ่งของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ผู้มีพระคุณของผมได้ให้อ่านหนังสือของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งพระองค์เป็นโอรสลำดับที่ 57 ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงมีคุณูปการหลายๆ ด้านแก่ประเทศไทยของเรา ที่เด่นมากๆ (เท่าที่ผมจำได้)ก็คือการก่อตั้ง"พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติและก็หอสมุดแห่งชาติ"ซึ่งสองสิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นฐานหลักในการสร้างแนวคิดของประชาชนในประเทศเพราะถ้าเรา"รับรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเราได้เป็นอย่างดี จะสามารถทำให้เรามองอนาคตของชาติได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น" ซึ่งในตอนก่อตั้งนั้นผู้มีพระคุณของผมได้เมตตาเล่าว่าพระองค์(สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ)ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากส่วนหนึ่งก็คือผลงานของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงนำเอาประวัติคุณงามความดีที่ข้าราชการผู้นั้นได้ทำผ่านมาในระหว่างที่รับราชการอยู่จนได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ในระดับชั้นต่างๆ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ทางราชการมีและสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงรวบรวมและทำเป็นหนังสือที่ระลึกให้ในวาระที่ข้าราชการผู้นั้นได้เสียชีวิต ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิดสิ่งที่พระองค์ทรงทำนี้เป็นต้นแบบของการทำหนังสือที่ระลึกงานศพให้แก่ข้าราชการท่านต่างๆ ที่เสียชีวิตและน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่บุคคลทั่วไปได้นำมาเป็นต้นแบบการทำหนังสืองานศพในยุคต่อๆ มาตราบจนปัจจุบันนี้

ประวัติและผลงานของข้าราชการในยุคนั้นที่ถือได้ว่าเป็นยุคพลิกแผ่นดินไทยให้เป็นที่ยอมรับแก่นานาชาติ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในยุคทองยุคหนึ่งของการสร้างชาติไทย และคุณูปการที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงนิพนธ์งานเขียนชิ้นต่างๆ ไว้นั้นที่ได้บรรจุอยู่ในหอสมุดแห่งชาติในตอนก่อตั้งก็คือว่าเป็นพงศาวดารในการสร้างชาติในยุคนี้ก็ว่าได้

ในส่วนของการเขียนของงานนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ นั้นหญิงเหลือ ซึ่งเป็นนามลำลอง(ชื่อเล่น)ของ หม่อมเจ้าพัฒนายุ ดิศกุล ธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เป็นผู้แต่งขึ้นตามคำบอกเล่าและบทบันทึกที่สมเด็จฯ ได้ทรงบันทึกไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่ผมได้รู้จักก็ใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน เพราะว่ายิ่งเป็นผู้ใหญ่ถ้าไม่ได้อยู่ในสายงานวิชาการแล้วจะให้เขียนอะไรยาวๆ เป็นไปไม่ได้เลยดังนั้นจะใช้วิธีหา ghost writer เป็นผู้เขียนแทน ในกรณีของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ก็คือธิดาของพระองค์นั่นเอง ผู้ที่เป็นสายโลหิตหรือญาติถ้าได้เป็น ghost writer ให้ถือได้ว่างานเขียนนั้นๆ แทบจะไม่มีการแต่งเติมอะไรที่เกินจริงเพราะว่าได้มีความสัมพันธ์มีแนวคิดและได้ประสบกับเหตุการณ์บางเรื่องโดยตรง งานนิพนธ์สำคัญๆ อีกหลายๆ ชิ้นหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุลเป็นผู้นิพนธ์ให้สมเด็จฯ ท่านแต่ว่าส่วนมากหม่อมเจ้าท่านจะดูแลงานในส่วนอื่นมากกว่างานเขียน

งานนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพมักจะเป็นงานเขียนก็เก็บข้อมูลที่เป็น"คุณงามความดี"เป็นหลักเรื่องอื่นๆ ที่ตรงกันข้ามหรือเรื่องเกี่ยวกับกรณีพิพาทต่างๆ จะไม่มีบันทึกเอาไว้ซึ่งถ้ามองในมุมของการเก็บบันทึกประวัติศาสตร์ก็ถือได้ว่าไม่ครบมุมแต่ถ้ามองในกรณีของการฝึกคนให้มี positive thinking กับการฝึกให้คนจับดีกันแล้วนับว่าดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะท้อนมุมมองในการมองโลกของสมเด็จฯ ท่านไว้ได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงมองโลกในแง่ที่ดีมากๆ ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่สมเด็จฯ ท่านได้สร้างสิ่งที่่ดีงามต่างๆ มอบไว้ให้กับประเทศนี้เยอะแยะมากมาย เช่นการต่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ดังนั้นเรื่องราวที่พระองค์่ท่านทรงนิพนธ์ไว้ควรที่จะได้รับการศึกษาสืบต่อไปและประวัติในเรื่องต่างๆ ของพระองค์ท่านควรที่จะได้รับการจดจำไว้ตราบนานเท่านาน ที่สำคัญที่สุดพระองค์ท่าน "ฝึกคนเป็น"แม้จะต้องย้ายไปทำงานในหน่วยงานอื่นๆ ก็จะไม่เอาลูกน้องเดิมติดไปด้วยยกเว้นเลขาฯ เพื่อจะได้กันคำว่า"พวกเขาพวกเรา"ในที่ทำงานไว้ก่อน แสดงว่าท่านมั่นใจมากว่าสามารถสร้างพวกใหม่ในที่ทำงานใหม่ได้และที่สำคัญลูกน้องเดิมที่ได้ฝึกไว้ในที่ทำงานเดิมก็จะมีโอกาสโตด้วย

"คนฝึกคน"นี้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับทุกๆ คนที่ยังทำงานอยู่ก็ว่าได้เพราะถ้าทำงานแล้วไม่รู้จักฝึกคนเพิ่มจะทำให้หนึ่ง"เหนื่อยทั้งชาติ" สอง"ไม่มีโอกาสได้พัฒนาตัวเองเพิ่มจากเดิม" ถ้าได้มีโอกาสก็คงจะนำมาพิมพ์ไว้เป็นบันทึกส่วนตัวของผมเองเพิ่มอีก.. อย่างน้อยคืนนี้ได้นึกถึงผู้ที่มีพระคุณต่อประเทศชาติอีกท่านนึงถือว่าก่อนนอนคืนนี้คุ้มแล้ว..

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สรุปให้เป็น จับประเด็นให้ได้

เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ (ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่บ้างบางเวลา) เพราะว่าเห็นเพื่อนกันที่เรียนเก่งๆ เวลาที่เค้าอ่านหนังสือเรียนแล้วเอาปากกาไฮไลท์ขีดทับข้อความสำคัญกันเป็นแต่ผมเองเวลาเอาหนังสือเล่มเดียวกันมาดูหรือว่าจะเล่มไหนก็ตามแต่ผมไม่รู้เลยว่าจะขีดตรงไหน ด้วยเหตุนี้เองสมัยเรียนไม่เคยที่จะซื้อปากกาไฮไลท์เลยเพราะไม่รู้จะเอามาทำไม จะไปถามเพื่อนๆ ว่ารู้ได้ไงว่าต้องขีดตรงนั้นก็อายเกินกลัวเค้าจะว่าโง่ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งโง่เข้าไปใหญ่ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ใช่เฉพาะผมหรอกที่รู้สึกแบบนี้คงจะมีคนอีกไม่ใช่น้อยในบ้านนี้เมืองนี้ที่คงจะคิดคล้ายๆ กัน

จวบจนวันนึงได้ฟังบรรยายจากผู้มีพระคุณท่านหนึ่งซึ่งผมถือว่าท่านพลิกชีวิตให้ตัวผม ท่านสอนผมหลายๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ทำให้ผมได้มีความรู้มากขึ้นโดยเฉพาะจุดอ่อนของตัวผมเองที่ท่านได้เมตตาชี้ให้เห็นแล้วก็บอกทางแก้ให้ด้วย จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงได้รับความเมตตาจากท่านอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำด่าที่ท่านกรุณามอบให้อย่างท่วมท้น(บางทีก็ให้เยอะซะจนจุก) ท่านบอกว่าจะแก้ไขหรือว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมองประเด็นในเรื่องนั้นๆ ให้ออกก่อนที่จะลงมือ เพราะถ้ามองประเด็นหลักไม่ออกแล้วก็จะหลงประเด็นได้ง่ายๆ แล้วจะพลาดได้ง่ายดายมากๆ โดยเร่ิมจากการทำความเข้าใจก่อนว่าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องของใคร ซึ่งท่านก็ช่วยแนะว่าในโลกนี้มีไม่มีเกิน 4 เรื่องก็คือ

1. เรื่องของกู
2. เรื่องของมึง
3. เรื่องของมัน
4. เรื่องของใครไม่่รู้

เมื่อสรุปได้แล้วว่าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องของใคร จากนั้นก็มาดูว่าประเด็นหลักในเรื่องนั้นอยู่ที่่ตรงไหน แล้วก็ค่อยมาคิดว่ากันต่อไปว่าควรจะดำเนินการอย่างไรให้พอเหมาะ ส่วนเรื่องที่ตัวผมเองไม่รู้ว่าควรจะขีดเส้นอะไรตรงไหนในหนังสือนั้นเป็นเพราะว่าผมจับประเด็นในเรื่องนั้นไม่ออกแต่ว่าก็พอฝึกกันได้โดยเริ่มจากให้"เขียนบันทึกประจำวัน" เพราะวันนึงมี 24 ชม. ตัดเวลานอนออกซะแปดก็เหลือสิบหก ถ้าเรารู้จักจดบันทึกสิ่งที่สำคัญในระหว่างวันเป็นนั่นก็แสดงว่าประเด็นสำคัญของแต่ละวันได้ การสรุปลงไปในหน้ากระดาษในบันทึกนั้นๆ เป็นการฝึกจับประเด็นเบื้องต้นในเรื่องที่เรารู้ดีที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุดคือเรื่องของตัวเรา เมื่อจับประเด็นและสรุปเรื่องของตัวเราได้แล้วจากนั้นจะไปสรุปหรือจับประเด็นเรื่องอื่นๆ ก็สามารถจะทำได้โดยง่าย อีกทั้งถ้าจะนำข้อสรุปนั้นไปขยายความออกไปอีกก็ไม่ยากและทำให้คนที่ได้รับฟังหรือได้อ่านสามารถเข้าใจได้ชัดเจนซึ่งตรงนี้เป็นสาระสำคัญของวิชาเรียงความย่อความท่ีท่านเองได้เรียนมาในสมัยก่อน

แต่จะเขียนสรุปบันทึกประจำวันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่เคยเขียน เพราะจะว่าไปเรื่องของการเขียนนั้นเป็นทักษะการเรียนรู้ขั้นสูงของมนุษย์เราก็คงจะไม่ผิดนักเนื่องจากทักษะการเรียนรู้ของคนจะเริ่มจาก ฟัง พูด อ่านและเขียนไล่ไปตามลำดับ มาถึงตรงนี้ก็นึกถึงเรื่องการเรียนภาษาของบ้านเราขึ้นมาเพราะเคยได้ยินหลายๆ ท่านเคยบอกว่าทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องหรือไม่ก็บอกว่าการพูดภาษาอังกฤษนี้ยากจริงๆ ถ้าจะให้ตอบตามความเข้าใจของผมเองแล้วละก็การพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาใดๆ ในโลกก็ตามรวมถึงภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ของเรานั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ไปตามลำดับคือฟัง พูด อ่าน เขียน ที่พลาดกัน(ซึ่งผมเจอมากับตัวในสมัยก่อน)ก็คือเราสอนให้อ่านและก็เขียนก่อนที่จะรู้จักฟังและพูดซึ่งมันผิดธรรมชาติ ตั้งแต่เกิดมาผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเด็กที่ได้อ่านเขียนได้ก่อนจะฟังและพูด แต่ว่าตอนนี้หลักสูตรตรงนี้มีการปรับปรุงกันแล้วโดยมีสถาบันที่สอนภาษาเยี่ยมๆ เกิดขึ้นมากมายทำให้เด็กรุ่นใหม่มีทักษะในเรื่องของภาษาดีขึึ้นมากๆ ตรงนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากอย่างหนึ่งในวงการศึกษา

ย้อนกลับมาเข้าประเด็นเดิมของเราที่ค้างไว้ก็คือเรื่องของบันทึกประจำวัน ผู้มีพระคุณของผมท่านนี้ท่านก็ไล่ให้ผมไปฟังคนที่พูดเก่งๆ ใช้ภาษาได้ดีๆ ก่อนในเบื้องต้น จากนั้นก็ไล่ให้ผมไปหัดอ่านออกเสียงโดยต้องออกให้เต็มเสียง หัดพูดคำควบกล้ำให้ได้ชัดเจน เสียง ร. ล. ต้องให้ถูกต้อง แล้วก็หาหนังสือดีๆ ให้อ่านเช่นราชาธิราชและหนังสือของกรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพอีกหลายๆ เล่มเป็นต้น สุดท้ายก็ให้เขียนบันทึกไปให้ท่านอ่านแล้วท่านก็เมตตาแก้ไขและชี้แนะให้ด้วย ซึ่งขึ้นตอนเหล่านี้นี่่เองที่ผมเองได้หัดทำอยู่ประมาณห้าหกปีติดต่อกันทุกวันส่งผลให้พอมาถึงทุกวันนี้ที่ต้องมาทำหน้าที่สรุปและรายงานข้อมูลต่างๆ ภายในและภายนอกองค์กรให้ทางผู้บริหารฟังก็ทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลย อยากจะบอกว่าถ้าไม่มีท่านผมเองก็คงจะมาถึงตรงนี้ไม่ได้นับได้ว่าพระคุณที่ท่านให้ชาตินี้คงตอบแทนได้ไม่หมด

วันนี้ได้รับฟังข่าวอะไรเยอะแยะมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นั่งดูอภิปรายในรัฐสภาแล้วก็ลองไปหาอ่านข้อมูลประกอบในอินเตอร์เน็ตเพราะอยากรู้ว่าชุมชมของคนในอินเตอร์เน็ตคิดกันอย่างไปรวมไปถึงได้พูดคุยกับคนหลายๆ คนจากหลายๆ สาขาอาชีพก็รู้สึกสะท้อนใจพอสมควรเนื่องจากว่า หลายๆ คนจับประเด็นไม่เป็น(เหมือนผมเลย) พอเจอนักพูดชั้นเยี่ยมเบี่ยงประเด็นหลักไปเพิ่มประเด็นใหม่แล้วก็หลงกันได้ง่ายๆ ยิ่งประกอบด้วยอคติในใจที่มีอยู่แล้วด้วยนี่ไปกันใหญ่ หลายๆ เรื่องทั้งๆ ที่ว่าตรรกะในการเทียบเคียงไม่ได้ยากอะไรแต่ว่าคิดตามไม่ได้(หรืออาจจะไม่อยากคิดเท่าไหร่)ต้องรอมีคนมาบอกก่อนว่าคุณควรจะคิดยังไงแล้วก็ฮือว่ากันไปตามนั้นจนสุดท้ายกลายสังคมไทยเป็นสังคมควายตื่นเพราะกลัวเค้าจะว่าโง่ ต้องมีความคิดเห็นของคนที่เราเชื่อว่าเป็นนักวิชาการมาบอกให้เราคิดอย่างนั้นอย่างนี้ถึงจะดูว่าเราฉลาด คนในสังคมถูก"บิดข้อมูลเบี่ยงประเด็นให้จับกับความหรือติดกับคำจนหลงหลักการ"หรือแม้แต่มองข้ามสาระสำคัญโดยเฉพาะสามัญสำนักของมนุษย์ในเบื้องต้นไปในที่สุด

ก็ได้แต่แอบหวังลึกๆ ในใจว่าการเรียนการสอนให้เด็กไทยรู้จัก "สรุปให้เป็นจับประเด็นให้ได้" จะได้รับการพัฒนาและเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเหมือนกับการเรียนการสอนภาษาที่ดีขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ พอถึงวันนั้นบ้านเมืองเราคงจะยิ่งกว่าเสือติดปีกเพราะคุณภาพสมองของคนไทยบอกได้เลยว่าไม่แพ้ใครในโลก..

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รากฝอยของต้นประเทศกำลังแห้ง

วันก่อนได้ขึ้นไปที่แม่แจ่มเพื่อไปดูโรงเรียนที่เคยไปช่วยร่วมสร้างเอาไว้เมื่อปีก่อนเพราะว่าถูกไฟป่าไหม้ไปแล้วทั้งหลังน่าสงสารเด็กๆ จังที่จำเป็นต้องไปอาศัยเพิงชั่วคราวเรียนไปก่อน แต่ก็น่าชื่นใจอยู่อย่างว่าด้วยความตั้งใจของครูที่ขึ้นไปสอนข้างบนโน้นทำให้มีคนที่เค้าพอมีเงินอยู่ไปร่วมกันสร้างอาคารให้ใหม่แล้ว เมื่อไปถึงได้เห็นหน้าเด็กๆ ที่ดูซื่อๆ ใสๆ ก็ชื่นใจเพราะตั้งใจเรียนกันดีมากส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะไม่มีอะไรมาดึงใจให้ว่อกแว่กการเรียนหนังสือเลยเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับพวกเค้าเพราะไม่ว่าเด็กจะทำอะไรสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจทั้งสิ้นเนื่องจากเป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วถ้าพ่อแม่รู้จักป้อนข้อมูลที่ดีๆ ไม่เอาขยะใส่เข้าไปในหัวเด็กถือได้ว่าเด็กคนนี้เริ่มต้นชีวิตได้เยี่ยมมาก

บรรยากาศบนดอยก็เงียบสงบดีเช่นเคยพอไปถึงฝนก็ตกลงมาต้อนรับทำให้รู้สึกเย็นบ้างเหมือนกันแต่ที่ชอบมากๆ ก็คือเสียงของอึ่งอ่างที่มาร้องรอบๆ บ้านพักฟังแล้วก็เพลินทำให้สมองค่อนข้างแล่นคิดเรื่องงานค่อนข้างจะดีโดยเพราะก่อนจะนอนก็ได้มาลองทบทวนตัวเองดูในเรื่องที่ทั้งพลั้งและก็พลาดในช่วงสองสามเดือนหลังก็เห็นทางแก้ไขได้ค่อนข้างชัดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เลยมานั่งนึกๆ ว่าใครที่งานสุมหัวเยอะๆ คิดอะไรไม่ออกถ้าได้ลองหลบไปอยู่เงียบๆ บ้างจะช่วยอะไรได้พอสมควรเหมือนกัน จริงๆ จะว่าไปการที่อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีอย่างเพราะถ้าคิดจะทำอะไรก็สะดวกดีไม่ต้องคิดหลายหน้าซึ่งส่งผลดีมากกับการทำงาน(เหมาะสำหรับคนบ้างานเท่านั้น)

จะว่าไปการเดินทางก็ให้อะไรหลายๆ อย่างกับเรา นึกย้อนไปตั้งแต่จำความได้คุณพ่อคุณแม่ก็ชอบพาไปนั่นนี่เรื่อยเกิดในครอบครัวที่ชอบเที่ยวก็ดีอย่างนี้แหละได้ไปในที่ๆ ไม่เคยไปเป็นประจำโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไกลๆ ในภาคต่างๆ ทำให้เราได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายและความแตกต่างของคนหลายๆ ระดับที่ได้เจอทั้งคนที่รวยสุดๆ ไปจนถึงจนแบบสุดๆ แล้วก็ช่วงกลางๆ ทั้งกลางสูงและกลางต่ำ จะว่าไปสังคมก็เหมือนดนตรีนะ มีต่ำมีกลางมีสูง มีบรรยากาศมีอารมณ์ มีไดนามิคเรนจ์หรือช่วงความกว้างแตกต่างกันไปแล้วแต่ซิสเต็ม ถ้าซิสเต็มดีหน่อยก็"เห็นได้กว้างรู้ได้ไกลคิดได้รอบ" ดังนั้นสังคมของเราเป็นกรอบ"ซิสเต็มทางความคิด"ให้กับผู้คนในสังคม

การที่จะเข้าใจซิสเต็มทางความคิดนี้ไม่จำเป็นว่าต้องรวยล้นฟ้าหรือว่าจบสูงจากนอกมาขอแค่เปิดใจยอมรับคนในระดับต่างๆ เข้ามาในระบบ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องไปพูดไปคุยไปกินไปอยู่กับเค้าดูบ้างแล้วจะพอรู้ว่าคนแต่ละระดับมีเร่ืองดีๆ มีมุมคิดอะไรที่น่าสนใจเยอะแยะที่สามารถเอามาปรับใช้กับงานของเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าใครคิดจะเป็นผู้นำประเทศแล้วน่าจะเพิ่มกรอบซิสเต็มทางความคิดนี้ให้กับตัวเองเยอะๆ เพราะว่า"ประเทศไม่ได้มีเฉพาะเมืองหลวงหรือว่าเมืองใหญ่" พื้นที่ชนบทเองก็เป็นรากฝอยมีประชาชนเป็นรากแก้วของประเทศ ต้นประเทศเองต้องอาศัยรากฝอยคือพื้นที่ในชนบทเพื่อดูดอาหารผ่านไปเลี้ยงลำต้นด้วยเหมือนกัน มีรากแก้วหรือประชาชนประเทศคอยประคอง ถ้าพื้นที่ในชนบทดึงดูดอาหารไปเลี้ยงลำตัวได้ลื่นไหนสะดวกไม่แห้งตายต้นประเทศก็จะแข็งแรงมีใบดกงดงาม

ตอนนี้ประชาชนในชนบทซึ่งก็คือรากแล้วและรากฝอยของต้นประเทศถูกละเลยจะด้วยเหตุใดก็ตามแต่เนื่องจากว่ามันอยู่ใต้ดินเราเองอาจจะยังไม่เห็นว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศชัดเจนมากนัก จากที่ไปได้สัมผัสมาในหลายๆ พื้นที่คิดว่าอีกไม่นานคงเกิดปัญหาใหญ่แน่นอนถ้าไม่มีใครลงไปดูแลอย่างจริงจังเพราะเท่าที่มองอยู่ตอนนี้ผู้นำประเทศและคนในฝ่ายบริหารเอง"ไม่เข้าใจ"ว่าปัญหาเกิดจากอะไรซึ่งจะว่าเค้าก็ไม่ได้เพราะเค้าเองก็ไม่เคยไปขลุกอยู่กับคนในพื้นที่นอกเมืองจริงๆ ดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจเพราะในตำราที่เรียนหรือฟังจากคนอื่นมาเรื่องหนึ่งแต่ของจริงๆ ในพื้นที่มันเป็นอีกเรื่องนึงเลย หวังว่าท่านผู้นำคงจะปรับเปลี่ยนท่าทีในการบริหารหน่อยเพราะบ้านเมืองในชนบทตอนนี้เงียบเหงามากๆ

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน

นั่งรอขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิก็ดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยเพราะว่าสิ่งรอบๆ ตัวเรานี้ถ้ารู้จักมองแล้วโลกนี้นี่ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลยพูดจากมุมมองของคนที่มีกิจวัตรประจำวันค่อนข้างน่าเบื่อเพราะผมไม่ค่อยชอบจะเปลี่ยนอะไรมากนัก แทบจะเรียกได้ว่านึกไปอีกสามปีข้างหน้าถ้าไม่ถูกเค้าไล่ออกจากงานที่ทำอยู่ก็คงจะมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมคือแบ่งเวลาให้งานหนึ่งส่วน ให้คนอื่นๆ อีกค่อนส่วนที่เหลือก็ให้ตัวเองส่วนมากก็จะเป็นช่วงเวลาที่เอาไว้อยู่เงียบๆ เพราะแต่ละวันผมว่าผมให้เวลากับคนอื่นมากไปนิด

จะว่าไปการมีกิจวัตรที่ซ้ำซากนี่ก็ดีนะคือไม่ต้องมีเรื่องอะไรมารกสมองมากนักเพราะแค่เรื่องงานกับเรื่องคนอื่นก็มากพอแล้วถ้ามีเรื่องของตัวเองมั่วๆ แถมเข้ามาอีกนี่คงจะไม่ไหว ตอนนี้หน้าที่หลักๆ คือการพูดซะเยอะก็คงถึงเวลาเอาประสบการณ์ที่ผ่านมานำไปแบ่งให้คนอื่นทั้งแนะแนวการทำงาน,ประสานงานและแก้ปัญหา ลมัยก่อนหัวหน้าเค้าไม่ให้พูดเค้ามีแต่สั่งให้ทำตามบอกว่าตั้งใจทำให้ดีอีกหน่อยจะช่วยคนอื่นได้บอกไปก็นึกไม่ออกว่าทำงานงกๆ จะช่วยคนอื่นได้ไง ตอนนี้เริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าการที่เราตั้งใจทำงานให้ดีในช่วงเริ่มต้นของการทำงานเหมือนการวางฐานรากอาคารชีวิตในงานที่ทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฐานรากแน่นตึกก็ขึ้นได้สูง แต่ทุกส่วนในองค์กรล้วนแต่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

มีประธานให้เป้า มีหัวหน้าคอยแนะแนว มีระดับปฏิบัติการไว้ลุยให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ ที่สำคัญทุกระดับต้องรับฟังกันซึ่งตรงนี้บางจังหวะจะยากหน่อยเพราะประสบการณ์ทำให้มองเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกันโอกาสจะกระทบมีสูงมาก สุดท้ายพอกระทบกันจากเรื่องงานกลายเป็นเรื่องส่วนตัวเสียนี่ ถ้าแบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้มีแต่จะพังอย่างเดียว นอกจากตัวเองที่พังก่อนแล้วก็ลากองค์กรพังไปด้วยถ้าไม่ช่วยกันระวัง

ผมโชคดีหน่อยที่เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยยุ่งอย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวปัญหาให้คนอื่นแล้วก็พอแก้ปัญหาให้คนอื่นได้นิดๆ หน่อยก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว ขอขอบคุณ"กิจวัตรอันซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน"มา ณ. ที่นี้ด้วย...

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Book of Eli

มีเวลาอยู่หน่อยในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อนจะออกไปออกกำลังเลยมานั่งดูหนังเรื่องนึงที่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจอยู่พอสมควรคือ The Book of Eli ที่ได้ดูตัวอย่างมานานพอสมควรแล้วพอสบโอกาสเลยขอนั่งดูหน่อยเพราะว่าอย่างน้อยมีดาราคนโปรดร่วมแสดงอยู่หลายคนเหมือนกันได้แก่ Denzel Warshington, Gary Oldman และ Jennifer Beals สองชื่อแรกรับประกันถึงคุณภาพในการแสดงได้แน่นอนและเท่าที่มีผลงานผ่านตามาทั้งสองท่านเลือกหนังเล่นพอสมควรเลยคิดว่า The Book of Eli คงจะเป็นอีกเรื่องที่ดีแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยเมื่อดูจบ

หนังกล่าวถึงโลกหลังสงครามใหญ่ด้วยสาเหตุที่มีบอกไว้ในหนังซึ่งแอบกัดประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่พอสมควร บทหนังก็ถือว่าละเอียดดีมีลูกเล่นใส่เข้าไปพองามที่เจ๋งมากก็คือว่าแอบใบ้หลายๆ อย่างไว้ตั้งแต่เริ่มเรื่องที่มาเฉลยเอาตอนใกล้ๆ จะจบถือว่าตรงนี้เป็นจุดที่ชอบมากของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ในส่วนของภาพถือว่า transfer มาค่อนข้างเจ๋งภาพ HD ความละเอียด 1080 คมกริ๊บ เทคนิคทางด้านภาพในบางตอนดูหลอกๆ อยู่บ้างแต่องค์ประกอบภาพเยี่ยมจริงๆ ผู้กำกับวางภาพได้แนวมากเหมือนนั่งดูภาพขาวดำที่เล่นแสงได้อย่างลงตัว ในด้านเสียงถือว่าดีเพลงประกอบที่ใส่เข้าไปก็พอเหมาะลงตัวมีแอบโฆษณาหูฟัง Earbud ของ Monster รุ่นสาย SATA สีแดงด้วยคงจ่ายไปพอสมควรแถมด้วยไอพ็อดรุ่นที่ตัวผมเองต้องเปลี่ยนใจจาก iRiver มาเป็น apple หลังจากได้ลองฟังแค่เพลงเดียวเมื่อนานมาแล้ว ยังนั่งนึกๆ ดูว่าด้วยแนวเพลงที่พระเอกเปิดกับหูฟังรุ่นนั้นบวกกับไอพ็อดตัวนั้นเสียงมันจะเข้ากับแนวเพลงหรือนั่น แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะอย่างอื่นทำได้ลงตัวดี

หนังเล่นประเด็นเกี่ยวกับศรัทธาได้ค่อนข้างดี มีการยกเอาคำในคัมภีร์ไบเบิ้ลใส่อยู่เป็นช่วงๆ แม้ไม่มากนักแต่ถือว่าใส่มาในจังหวะที่ลงตัวแล้วก็ช่วยส่งให้ฉากนั้นๆ มีพลังมากยิ่งขึ้น ดูไปก็นึกในใจว่าหนังที่เอาประเด็นของศาสนามาเล่นได้พองามแบบเรื่องนี้หาได้ไม่ง่ายนักเพราะถือว่าเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนหากจะเอามาใช้กับเรื่องบันเทิงเพราะจะหาใครที่แยกเรื่องคำสอนกับความบันเทิงได้แบบชัดเจนในยุคนี้ค่อนข้างยาก เพราะส่วนมากที่เจอคนวิจารณ์ในประเด็นนี้หลายๆ ท่านก็ว่าไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เข้าใจเลยซักนิดก็มี ตัวผมเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าไหร่แต่ว่าหนังจากดูเรื่องนี้จบรู้สึกชอบที่ผู้เขียนบทนำเสนอออกมาได้ลงตัวรวมไปถึงการนำเสนอผ่านภาพที่ผู้กำกับภาพนำเสนอได้ดีจริงๆ

ดูจบก็ได้คิดอะไรหลายเรื่องเหมือนกันโดยเฉพาะชอบคำพูดของพระเอกที่ว่า "To do more to others than you do for yourself" ซึ่งสรุปประเด็นรวมๆ ของหนังได้ดีมากๆ ครับ

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

PAC MAN Nation

สมัยที่ย้ายเข้ามาเรียนในเมืองใหม่ๆ หลังเลิกเรียนจะเป็นช่วงเวลาที่เหงามากๆ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ทำมากนักสำหรับเด็กบ้านนอกที่พึ่งย้ายเข้ามาดังนั้นต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหงามากเกินไป ผมเองมักจะไปขลุกอยู่ที่ร้านหลังสือของแปะแก่ๆ ร้านนึงเพราะว่าอาแปะแกไม่เคยไล่เราออกจากร้านเวลาที่ไปยืนอ่านหนังสือ(ที่ไม่มีซองพลาสติคห่อ)ที่แผงของแก ไปอาศัยยืนอ่านจนแกจำหน้าได้แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาเปรียบแกแต่ฝ่ายเดียวเพราะว่าก็อุดหนุนหนังสือของแกเป็นประจำเหมือนกัน สมัยโน้นหนังสือที่ต้องตามซื้อตลอดเลยก็คือต่วยตูน ต่วยตูนพิเศษและก็เอนเตอร์เทนรวมไปถึงโลกลี้ลับ ซึ่งหนังสือเหล่านี้จะว่าไร้สาระก็ได้จะว่ามีสาระก็คงจะพูดได้อีกเช่นกันเพราะหลายๆ เรื่องก็ให้ข้อมูลและก็ช่วยปลูกฝังแนวคิดให้กับผมได้พอสมควรเลยทีเดียวที่สำคัญที่สุดก็ทำให้เรารู้สึก"อยาก"จะอ่านหนังสือแม้ว่าจะเป็นเพียงเอาไว้เป็นเพื่อนยามเหงาก็ตาม

ไม่ไกลจากร้านหนังสือจะมีโรงภาพยนตร์อยู่สองโรงซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นห้างไปเรียบร้อยส่วนโรงหนังก็ถูกลดขนาดกลายเป็นโรงหนังขนาดมินิใส่เข้าไปในห้าง(ตอนนี้ยังจะมีอยู่หรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะว่าไม่ได้กลับไปนานพอสมควรแล้ว) ซึ่งหนึ่งในโรงภาพยนตร์นั้นเป็นของเพื่อนแม่ของผมเองจำได้แม่นว่าพอออกจากร้านหนังสือแล้วถ้าพอมีเศษตังค์เหลือก็จะแอบขึ้นไปที่ชั้นสอง ที่ว่าต้องแอบก็เพราะว่าเค้าจะไม่ยอมให้เด็กขึ้นไปที่นั่นเนื่องจากว่ามีการเอาตู้เกมส์(arcade cabinet)ไปตั้งไว้ให้คนมาหยอดเหรียญเล่นกันซึ่งจำได้ว่าถ้าสารวัตรนักเรียนจับได้ก็จะถูกลงโทษแต่ว่าการแหกกฎนั้นเป็นรสชาติอย่างหนึ่งของเด็กดังนั้นในฐานะที่เป็นเด็กคนหนึ่งเช่นกันก็น่าจะทำตามคนอื่นบ้างซึ่งก็ได้อารมณ์ตื่นเต้นเร้าในจนอดรีนาลีนหลั่งออกมาได้เหมือนกัน ที่ชอบเล่นมากๆ เลยในสมัยโน้นเมื่อยี่สิบปีก่อนก็คือ Space invader ที่ต้องไล่ยิงยานปีศาจที่ทะยอยเลื่อนต่ำลงมาให้หมดจึงจะสามารถเลื่อน level ไปเล่นในด่านที่สูงกว่าได้ แต่ว่าเกมส์อมตะที่ทุกคนชอบเกมส์หนึ่งก็คือ Pac-Man ซึ่งจะมีอายุครบรอบสามสิบปีในวันนี้(22 พ.ค.)นั่นเอง

Pac-Man เป็นเกมส์อมตะที่มีทั้งความน่ารักความสนุกสนานพร้อมกับได้ลุ้นเล็กๆ ได้ฝึกสายตาพร้อมกับได้รู้จักคิดวางแผนให้ความคิดประสานงานกับการมองเห็นแล้วก็การเคลื่อนไหวของมือไปด้วยพร้อมๆ กันซึ่งผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบเกมส์นี้ก็คืออาจารย์ Toru Iwatani แห่ง Namco Developer ในปี 1979 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากแผ่นพิซซ่าที่ถูกทานไปแล้วชิ้นนึงเอามาออกแบบเป็นตัว Pac-Man(ภาษาอังกฤษ)ซึ่งแปลงมาจากชื่อเกมส์ดั้งเดิมในภาษาญี่ปุ่นว่า Puckman ซึ่งก็มาจากรากศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า paku อันหมายถึงการเคี้ยวเสียงดัง สำหรับเกมส์นี้นอกจากตัว Pac-Man แล้วก็มีผีอีกสี่ตัวที่วิ่งไล่ฆ่าตัว Pac-Man ไปรอบๆ เขาวงกตซึ่งผีเหล่านี้ก็มีชื่อประจำตัวที่แยกไปตามสีและบุคลิกของมันได้แก่ Inky, Pinky, Winky และก็ Clyde (เครดิต CNN: http://www.cnn.com/2010/TECH/05/21/pac-man.game.anniversary/index.html?hpt=C1)

เกมส์ตู้เหล่านี้เล่นแล้วติดครับตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้แต่ในตอนโน้นไม่ได้คิดอะไรหรอกเพราะว่ามันสนุกแล้วก็ทำให้ต้องสูญเงินไปกับมันเยอะพอสมควรตรงนี้เองที่เป็นอันตรายเพราะว่าความยั้งคิดของเด็กๆ ยังไม่ค่อยมี สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องคอยแนะให้กับเด็กให้ควบคุมและบริหารให้ได้ก็คือ "เวลา และ เงิน" เพราะว่าสองสิ่งนี่เป็นส่ิงที่เด็กๆ จะควบคุมไม่ค่อยได้ ถ้าบ้านไหนสามารถกำหนดและควบคุมสองสิ่งนี้ให้กับบุตรหลานได้แล้วละก็ถือว่าเด็กในบ้านนั้นได้เปรียบคนอื่นเยอะแยะมากมายและเกมส์ทั้งหลายก็เป็นตัวทำลายสองสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงหลังมานี้เกมส์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านของเราเรียบร้อยแล้วดังนั้นถ้าใครมีเด็กอยู่ในบ้านพยายามช่วยกันดูแลอย่าให้พวกเค้าผลาญเวลากับไปมันมากเกินไปของทุกอย่างถ้าใช้ให้พอดีพอเหมาะไม่เกินหรือขาดก็จะเป็นประโยชน์เหมือนกัน

พูดถึงเกมส์ก็นึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อผมขึ้นมาทุกที คือสมัยโน้นที่ต่างจังหวัดถ้าเด็กคนไหนมีเกมส์กดถือว่าเท่ห์มากๆ ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะเท่ห์กับเขาเหมือนกันพยายามรบเร้าให้แม่ซื้อเกมส์ให้โดยเอาที่เค้าโฆษณาขายอยู่ในหนังสือไปให้ท่านดูเพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหนเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแม่ถูกเค้าโกงค่าเกมส์ทำให้สูญเงินไปห้าร้อยบาทเพราะความรักที่มีต่อลูก แต่ถือว่าโชคยังดีที่ตำรวจเค้าจับนักตุ๋นแก๊งค์นั้นได้แล้วรายชื่อของแม่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตำรวจเค้าส่งเงินคืนกลับมาให้ สุดท้ายหลังจากที่ได้เงินคืนมาแม่ก็อุตส่าห์ไปซื้อเกมส์กดมาให้ผมจนได้เพราะได้สัญญาไว้แล้วว่าจะซื้อให้ เกมส์กดแรกที่ได้ครอบครองก็คือ Donkey Kong นั่นเองที่เป็นแบบแผ่นพับสามารถเล่นได้สองระดับคือไล่จากจอด้านล่างขึ้นไปด้านบนได้ด้วย(เท่ห์คอดๆ ขอโบก) สมัยโน้นเงินห้าร้อยบาทที่บ้านนอกถือว่าเยอะมากๆ เพราะผมเองเวลาไปโรงเรียนพกตังค์ไปสิบห้าบาทเอง เงินจำนวนนี้เอาไว้ซื้อข้าวสองมื้อคือเช้ากับกลางวัยก็ยังพอมีเหลือติดกระเป๋ากลับหอถ้าไม่ได้เอาไปซื้อน้ำอัดลมใส่แก้วพลาสติคตอนเลิกเรียนซะก่อน นึกแล้วก็รู้สึกเสียใจและซึ้งใจปนกันทุกครั้งไป นี่แหละน้าความรักของผู้หญิงที่รักเรามากที่สุดในโลก เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว..

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พึ่งตนพึ่งท่าน

ช่วงนี้คนไทยคงต้องอยู่ในสภาวะต้องพึ่งตนเองกันอีกช่วงนึงเพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่คนที่กำลังโดนเล่นงานอยู่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครก็น่าจะต้องช่วยตนเองเอาไว้ให้มากเพราะว่าจะฝากความหวังไว้ที่คนอื่นก็ไม่น่าจะถูกต้องนักในสถานการณ์แบบนี้

ตั้งแต่เด็กมาก็ได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอว่า "ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใดเล่าจะเป็นที่พึ่งให้ได้" ก็คุ้นกับประโยคนี้มาตลอดก็คิดว่าก็แหงหละเกิดมาแล้วจะให้พึ่งใครล่ะ พอหมอตัดสายสะดือออกร้องแว๊กก็ต้องพึ่งตัวเองมาตั้งแต่วินาทีนั้นเพราะแม่เองก็ช่วยหายใจแทนไม่ได้ถ้าไม่ช่วยตัวเองด้วยการไม่ยอมหายใจก็ซี้แหงแซก จนกระทั่งโตขึ้นมาได้เจอคุณครูท่านหนึ่งกรุณาสอนว่า "การที่จะพึ่งตนเองได้นั้น บุคคลคนนั้นต้องรู้รอบตัว" คือรู้ไปสารพัดเร่ืองจนไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร แถมท่านก็ย้ำมาอีกว่าไม่ใช่แค่รู้เฉยๆ ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วที่สำคัญที่สุดต้องสามารถลงมือทำได้ด้วยจึงจะถือว่าพึ่งตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อืม.. ก็คงคล้ายๆ กับตอนที่ถูกตัดสายสะดือแล้วต้องหายใจด้วยตัวเองกระมัง มานั่งดูตัวเองจากวันนั้นกระทั่งวันนี้เราเองก็ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยแต่อย่างน้อยก็ถือว่าพึ่งตัวเองได้ดีในระดับนึงโดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมากนัก ได้แต่หวังว่าน่าจะรักษามาตรฐานนี้ได้ตลอดไปหรือต้องให้ดีกว่านี้ซึ่งก็คิดว่าน่าจะทำได้น่ะ

คหสต. การพึ่งคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายมากนัก จะว่าไปเป็นสิ่งที่ควรกระทำเช่นกันเพราะถือว่าเราเองได้มีโอกาสเปิดใจรับคนอื่นเข้ามาในชีวิตเพราะยังไงคนก็ต้องมีขน นกก็ต้องมีเพื่อน เอ้ย "นกต้องมีขน คนต้องมีเพื่อน" จึงจะเอาตัวรอดในสังคมได้เพราะขึ้นชื่อว่าสังคมอย่างน้อยก็ต้องมีสองคนขึ้นไป ถ้าต่างคนต่างรู้จักเอื้อเฟื้อเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันให้พอเหมาะพอดี ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อนไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลาก็คงจะมีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่พอจะช่วยตัวเราได้ ดังนั้นต้องไม่ขี้เกียจเสาะแสวงหาความรู้เพื่อเพ่ิมพูนความสามารถของตนไม่ใช่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อคนที่อยู่รอบข้างจะได้พึ่งพาอาศัยเราได้บ้างในเวลาที่เค้าเดือดร้อน เพราะความรู้สึกที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์นี่มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกอย่างน้อยเช้าวันนี้ก็ช่วยคนได้เยอะเลย ช่วยไปตอนแปดโมงเช้าตอนนี้เที่ยงคืนกว่ายังปลื้มไม่หาย รู้สึกดีจริงๆ..

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

19 พฤษภาคม 2553

วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความสูญเสียสารพัดทั้งชีวิตทรัพย์สินและความสุขของประชาชนคนไทยทั้งประเทศซึ่งจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที แต่ก็มีหลายๆ ท่านที่น่าชื่นชมท่ามกลางวิกฤติของบ้านเมืองและก็มีอีกหลายๆ ท่านที่ทำใจชมลำบากอยู่เหมือนกันแต่ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละคนซึ่งจะผิดจะถูกอะไรยังไงทำใจเย็นให้กาลเวลาเป็นตัวเฉลยจะดีกว่าเพราะว่าจะด่วนตัดสินว่าใครดีใครร้ายในตอนที่อารมณ์ของแต่ละฝ่ายกำลังพีคนี่คงจะลำบาก

อดีตที่ผิดพลาดผ่านไปแล้วก็ลืมๆ มันไปซะเพราะย้อนเวลากลับไปแก้ไม่ได้ ถามว่าจะเยียวยาให้กลับคืนเหมือนดังเดิมได้หรือไม่ ในความคิดของผมเองคิดว่าได้และก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก ขอเพียงทุกคนร่วมมือกันรับผิดชอบตัวเอง เคารพสิทธิระหว่างกันและกัน ที่สำคัญที่สุด"เปิดใจให้กันยอมรับสถานะที่แตกต่างและไม่ดูถูกกัน" สถานภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกันความคิดก็แตกต่างแต่ไม่ใช่ว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้หรือแม้แต่จะช่วยกันพลิกฟื้นบ้านเมืองที่มีปัญหาให้กลับมารุ่งเรืองก็เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่กระทำได้โดยเริ่มจากคำๆ เดียวคือ "ให้" ในทุกกรณี ทั้งให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ ให้ความรัก ให้อภัยไล่ไปจนถึง"ห้ความจริงใจ"ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเท่าที่นั่งมองด้วยใจกลางๆ มาตลอดระยะเวลาสองเดือนบ้านนี้เมืองนี้ขาดคำว่าให้ไปจนคล้ายๆ กับว่ามันได้เลือนหายไปจากพจนานุกรมยังไงยังงั้น

ถ้าคิดจะพลิกประเทศเริ่มได้ที่ตัวเรา เริ่มจากการให้ แล้วต่อไปค่อยๆ พัฒนาในระดับที่ยิ่งๆ ขึ้นไปส่วนรายละเอียดน่าจะมีอะไรบ้างก็ควรที่จะต้องมาช่วยกันคิดเพราะงานนี้โยนกลองให้ใครซักคนไปทำไม่ได้ ต้องใช้คติช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองไปด้วยกัน สำหรับภาษิตช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าช้างสองเท้าหน้ากับสองเท้าหลัง จริงๆ "ช้างเท้าหน้า"หมายถึงช้างเชือกที่เดินอยู่ข้างหน้า "ช้างเท้าหลัง"หมายถึงช้างที่เดินตามมาด้านหลังในเวลาที่ยกท่อนซุงซึ่งช้างทั้งสองเชือกต้องเดินขนาบไม้ซุงกันเชือกละฟากโดยเอางวงรัดซุงแล้วก็เดินไปในจังหวะที่สอดคล้องกันถึงจะช่วยกันยกภาระหนักนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หวังว่าวันนั้นคงจะมาถึงในเร็ววันเพียงแต่ขอให้แต่ละฝ่ายอดทนนิดนึงเพราะคงใช้ความอดทนซึ่งกันและกันเป็นอย่างมากในเบื้องต้นอยู่แล้ว ถ้าทำอย่างนี้ได้วันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ผมเชื่ออย่างนี้นะ..

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลพบุรีในความทรงจำ

เมื่อเช้าว่างๆ เลยมีโอกาสได้ไปนั่งรถเล่นวิ่งไปถึงโน่นลพบุรีหรือละโว้ถิ่นเก่า บรรยากาศก็เหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อนสมัยยังทำงานเป็นมือปืนรับจ้างคั่นเวลาให้อาจารย์ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักแต่อย่างอื่นเหมือนจะขาดไปก็คือทหารที่เคยมีให้เห็นอยู่เป็นภาพที่คุ้นตาในค่ายกลับเงียบเหงามองไปแทบไม่เจอทหารแม้แต่นายนึงสงสัยคงจะมาทัศนศึกษากันในกรุงเทพ


จริงๆ ความหลังฝังใจกับลพบุรีมีเยอะพอสมควรจะให้เล่านี่คงจะยืดยาวมากเอาเป็นว่าแม้แต่คืนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ก็ทำให้จำไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จำไม่ลืมก็เพราะว่าคืนแรกที่ขนของเข้าไปพักก็ถูกมือดีมายกเค้าไปซะ กางเกงยีนส์หลายๆ ตัวที่หวงหายหมดพร้อมกับซีดีอีกเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าแทบจะเกลี้ยงกรุน้อยๆ ที่มีที่เหลือรอดมาก็คือแผ่นที่ติดรถไปทำงานด้วยกล่องนึงแค่นั้น


เมืองลพบุรีมีบรรยากาศของจังหวัดเก่าๆ แบบดั้งเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นจังหวัดทหารบกด้วยมีค่ายเยอะมาก ทหารก็เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าร้านค้าต่างๆ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารไม่ทางใดก็ทางนึงคือถ้าไม่ใช่สามีภรรยาก็ต้องมีญาติเป็นทหารหรือไม่อย่างน้อยสุดๆ ลูกค้าของร้านก็เป็นทหารแน่นอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่อยู่นอกรั้วค่ายก็อยู่ตามตึกแถวเก่าๆ ซึ่งก็ต้องขอบคุณจอมพล . ด้วยที่ทำให้ผังเมืองลพบุรีเป็นอย่างทุกวันนี้ซึ่งจะว่าเรียบร้อยก็ถือว่าผังเมืองค่อนข้างเรียบร้อยดีแม้ว่าในตัวตลาดจะค่อนข้างวุ่นไปนิด โดยเฉพาะแถวรอบๆ วังนารายณ์อันเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นจุดที่น่าสนใจถ้าใครไปลพบุรีสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดื่มดำ่บรรยากาศย้อนไปสมัยโบราณที่นั่น พูดถึงวังนารายณ์ยังจำภาพที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่นั่นเป็นครั้งแรกได้ไม่ลืม ภาพในหน้าขนาดใหญ่ที่่ติดตั้งไว้ตรงบันไดดูราวกับว่าใบหน้ารูปปั้นขนาดมหึมานั้นมีชีวิตจริงๆ ศิลปะแบบบายนแท้ๆ คล้ายดังกับว่ามีวิญญาณซ่อนอยู่ในตัวทำให้ดูแล้วติดเข้าไปในใจง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็นเดิิมพันแกะกันเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่อังกอร์วัดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดว่าศิลปะของหัวเมืองยังมีพลังขนาดนี้แล้วของจริงๆ ที่เมืองหลวงจะสุดยอดแค่ไหนถ้ามีโอกาสคงจะได้ไปเยี่ยมชมซักทีเพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างได้ไปเลย ซักวันจะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้


เมื่อเอ่ยถึงเมืองลพบุรีแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องนึกถึงทุกครั้งก็คือ"ลิง"นั่นเอง ลิงที่อยู่ในตัวเมืองลพบุรีมีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยต่อระหว่างตัวเมืองปรางค์สามยอดและศาลพระกาฬจะมีเยอะมากที่สุด แล้วลิงทั้งสามกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่มีโอกาสเป็นต้องยกพวกมาตีกันเรื่อย(อันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้ล้อเล่น แถมมีลากไม้มาเหมือนกับคนเลย เป็นภาพที่น่าสนใจมากๆ) ลิงแถวนั้นดุเอาการโดยเฉพาะลิงเจ้าพ่อที่บริเวณศาลพระกาฬดุมากๆ เคยเห็นมันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วก็กัดคอช่างภาพชาวญี่ปุ่นในระยะห่างไม่เกินเมตรครึ่งจนเลือดกระฉูด(ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในศาลพระกาฬอีกเลย)ในงานโต๊ะจีนลิงปีนึงเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่งก็ไม่รู้ว่าช่างภาพคนนั้นไปทำอะไรให้ลิงหงุดหงิด แต่ถ้าใครผ่านไปที่บริเวณวงเวียนศาลพระกาฬตอนดึกๆ จะเห็นหางลิงเป็นเส้นๆ อยู่รอบตัวศาลเป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกันสมัยโน้นที่ยังคะนองอยู่ยังเคยนึกๆ อยู่ว่าเอาหนังสติ๊กยิงเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างหนอ ก็ดีที่ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงบาปแย่เพราะไปทำร้ายผู้ที่ไม่ประทุษร้าย(ก็นอนอยู่นี่นานะ)


ตัวเมืองลพบุรีดูแล้วก็มีบรรยากาศของความเก่าอยู่ยิ่งถ้าใครไปในช่วงงาน"แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์"ด้วยนี่เค้าจะแต่งชุดไทยกันทั้งเมืองเลยเป็นภาพที่ดูดีมากๆ เป็นบรรยากาศย้อนยุคกันทั้งเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของ"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"ที่มีพระคุณต่อเมืองลพบุรี อีกอย่างที่คู่กับเมืองลพบุรีก็คือสวนสัตว์ลพบุรีที่เป็นเสมือนจุดพักผ่อนของชาวเมืองซึ่งก็อยู่ไม่ไกลคืออยู่แถววงเวียนสระแก้วที่เป็นวงเวียนใหญ่ประจำจังหวัด วงเวียนนี้มีเอกลักษณ์ก็คือว่ามีคชสีห์นั่งอ้าปากกว้างอยู่หลายตัว(จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่)ซึ่งก็มีโจ๊กประจำจังหวัดอยู่เกี่ยวกับคชสีห์นี้อยู่เหมือนกันว่า"ทำไมพวกมันถึงได้อ้าปากร้องถึงขนาดนั้น" ซึ่งไม่ขอเฉลยคำตอบก็แล้วกัน ไม่ไกลจากสวนสัตว์ก็มีโรงภาพยนตร์อยู่หนึ่งโรงซึ่งก็คือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหมือนกัน(ในสมัยโน้น สมัยนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า)คือว่าเค้าจะมีการพากย์ทับเสียงพากย์ในฟิล์มโดยใช้มุกที่เป็นที่รู้กันในจังหวัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่นั่นมากๆ แต่ผมฟังแล้วมันไม่ขำน่ะเพราะว่าทีมพากย์พันธมิตรก็พากย์ได้ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว พอมีเสริมขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์นะครับอย่างน้อยผมไปดูแค่ครั้งเดียวยังจำมุกที่เค้าเล่นมาได้จนถึงวันนี้เลยเจ๋งขนาดไหนคิดดูละกัน


ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าบ้านเมืองไหนก็จะมีเอกลักษณ์ประจำเมืองอยู่เป็นเสน่ห์ของแต่ละเมืองไปไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือว่าในประเทศ ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่นแล้วเราจะรู้สึกสัมผัสเมืองได้ลึกมากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็น toilet tour หรือทัวร์ผ่านหรือทัวร์ห้องน้ำก็ตาม(หมายถึงแทบจะไม่ได้แวะดื่มด่ำบรรยากาศอะไร คือไปแวะดูๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำแล้วก็ไปที่อื่นต่อ) เมื่อไหร่ที่เราศึกษาประวัติเมืองแล้วได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริงๆ จะทำให้เราเห็นภาพของเมืองนั้นชัดมากขึ้น จะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่บางอย่างตัวหนังสือไม่อาจจะให้เราได้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ได้ไปเมืองอื่นๆ นอกจากเมืองที่เราอยู่บ้างเพื่อเปิดโลกให้กว้างมากขึ้น


ลองดูนะครับอย่างน้อยซักครั้งในชีวิต"ลองปล่อยให้ถนนนำพาท่านไป".. at least once in your life, take the road trip.. ขอบอกว่าทุกจังหวัดในบ้านนี้เมืองนี้มีอะไรให้ท่านไปค้นหาอีกมากมาย มีสิ่งสวยๆ งามๆ ที่รอให้ท่านไปค้นพบอีกเยอะมากๆ..


ผู้ติดตาม