วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Bel Canto E.One Dac 3 the review

Bel canto แปลว่า Beautiful Singing

Spec :
Frequency response: 20Hz–20kHz, ±0.5dB (CD data).
THD+N: <0.0005%, color="teal" style=" ">System ที่ใช้ :
CD : C.E.C. 3300R
สาย Digital RCA: Kimber Kable ADGL
สายสัญญาณ : Homegrown Silver Lace
Amp : Darkvoice 332 [Mod] เปลี่ยนขั้ว input RCA เป็น WBT 0210CU พร้อมทั้งใช้สายเงินเดินภายในแทนขอเดิมจากเมืองจีน, ขั้ว IEC เป็นของ Furutech ,หลอดเดิมเปลี่ยนเป็น Ulyanov 6C19 และ Mullard M8100
แหล่งจ่ายไฟ : สายไฟ Kimber PK1, กับสาย DIY เองอีกสองสามเส้นหัวท้ายเป็นของ Wattgate ต่อผ่าน Clef Audio Powerbridge 6 ซึ่งเปลี่ยนตัวรับเป็น Furutech กับอีกชุดนึงต่อผ่าน Isolated Transformer ที่พี่ MAXXX77 สั่งทำให้



การออกแบบ : สั้นๆ คือเรียบหรูดูดี หน้าปัดอลูมินั่มหนาปึ้กมีแกะชื่อยี่ห้อ BEL CANTO ฝังเข้าไปในเนื้อโลหะพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่ แต่ว่าหน้าจอที่ให้มานี้แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากบอกให้รู้ว่า Volume เร่งไว้ที่เท่าไหร่ scale จาก 0-100 และก็ใช้ดูเวลาจะเลือก input จริงๆ ผมว่าแค่นี้ก็โอแล้วนะ หุหุหุ พร้อมปุ่มกดแบบ JOG ที่ใช้งานสะดวกดีครับ สามารถกดเข้าโหมด Stand by ได้โดยตรงและเร่งลด Volume ได้ด้วยเนื่องจากเจ้าตัวนี้ออกแบบทำมาเป็นปรีได้อีกอย่างนึง เลือกโหมดการทำงานได้สองโหมดคือ Fix กับ Variable หากใครจะใช้เป็นปรีด้วยก็เลือกเป็น Variable เลือกปรับความดังค่อยได้ตามสะดวกแต่ลองสลับระหว่างสองโหมดแบบ Fix ให้เสียงที่เต็มกว่าครับ อ้อ มีแถมรีโมทมาให้ด้วยสามารถกด mute ได้จากรีโมทซึ่งมีปุ่มกดไม่เยอะใช้งานง่ายมาก



ขัวต่อ Input และ Outout หลังเครื่องมีมาให้ครบครันเลยทีเดียวไล่ตั้งแต่ USB และขั้วต่อDigital แบบ (XLR), S/PDIF (BNC, RCA, TosLink) โดยใช้ขั้วต่ออย่างดีเคลือบทองมาให้ทั้งหมด แถมขั้วต่อ S/PDIF แบบ RCA และ BNC นั้นผ่าน Isolated transformer ด้วยเพื่อความบริสุทธิ์ของสัญญาณขาเข้า ส่วน USB input ก็ผ่านการตัดสัญญาณรบกวนขาเข้าที่เกิดจากกราวด์ของคอมก่อนเข้าไปในวงจร D to A

Chip DAC ที่ใช้เป็นหัวใจอยู่ภายในเป็นของ Burrbrown PCM1792 ซึ่งเท่าที่ทราบตัวนี้ก็ดีที่สุดของ Burrbrown แล้วครับ

ความประทับใจแรก: เจ้า DAC3 นี้งานการประกอบเนี้ยบมากและทำออกมาได้แน่นหนาอลังการดี น้ำหนักของเครื่องก็ 6.4 กก. ยังไม่เคยได้ครอบครอง DAC ที่เนี้ยบและหนักขนาดนี้มาก่อนในชีวิต สวยมากครับเวลาเอามาวางในชั้นคู่กับแอมป์หลอดยิ่งหากได้เข้าชุดกับแอมป์ของเค้าเองด้วยนี่ผมว่าสุดยอดแต่ว่าคงต้องขายบ้านเอาตังค์ไปซื้อ หุหุหุ

มิติและเวทีเสียง : อยากจะนำมาพูดก่อนเพราะว่าทำผมอึ้งเลยเมื่อได้ฟังเสียงจากเจ้าตัวนี้ในครั้งแรก เค้าให้เวทีเสียงที่กว้างและโปร่งมากครับ ช่องอากาศระหว่างตัวโน๊ตมีเหลือเฟือ เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นไม่มีบดบังกัน เสียงที่ได้ยินโอบล้อมเป็น 3 มิติดีมากๆ ย้ำมากๆ ตำแหน่งซ้ายขวาหน้าหลังทำได้ดีครับ [ CDs : May black ชุด No Frontier, The Weavers reunion at Carnegie Hall 1963, Sheffield jazz experience ]

ความเป็นดนตรี : เสียงที่ออกมาจาก DAC3 นี่ผมว่าทำได้ใกล้เคียงกับ Analog ครับ เนื่องจากผมใช้แผ่นเสียงมาก่อนและมีความประทับใจกับมันมากแต่ด้วยความสะดวกและเหตุผลอีกหลายประการทำให้ต้องเลิกไป แต่ DAC ตัวนี้ให้เสียงได้ใกล้เคียงกับแหล่งโปรแกรมเดิมของผมสมัยหนุ่มๆ ฟังแล้วกระชุ่มกระชวยหัวใจดีครับเหมือนได้ดูหนังเรื่องแฟนฉันแล้วนึกถึงสมัยที่ไปจีบสาวคนแรก หุหุหุ
เสียงที่ออกมาจากการฟังสลับกันระหว่าง USB กับขั้วต่อ Coax จาก CD ในเพลงเดียวกันความแตกต่างที่ฟังออกเลยคือเมื่อต่อแบบ USB เสียงกลางที่ได้จะแห้งไปนิดนึงส่วนจาก Coax นี่ให้เสียงที่อบอุ่นและสดชื่นกว่าเล็กน้อยแต่ไม่ได้ห่างกันมากนะครับถือว่าทำได้ดีทั้งคู่ เมื่อฟังจาก CD เหมือนกว่านักร้องจะเดินเข้ามาหาเราใกล้อีกหน่อย USB จะถอยหลังออกไปนิดนึง มิติหน้าหลัง CD เหนือกว่าเล็กน้อยเช่นกัน ตำแหน่งของเครื่องดนตรีนิ่งมากจากการต่อทั้งสองแบบ [ CDs : The Weavers reunion at Carnegie Hall 1963, Grease original soundtrack, Sounds of Wood&Steel, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, Dire stratis : Brother in arm, Queen : the gretest hits,ไฟล์ Alison Krauss : Lonely runs both ways , Boydpod, Israel Kamakawiwo'ole : Facing Future ]

เสียง Bass : ความถี่ต่ำเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบจังเลยเพราะว่าเค้าสามารถคืนชีวิตความถี่ต่ำให้น้องตู้ม W5000 ของผมได้ แม้ว่า W5000 จะให้เสียงความถี่ต่ำออกมาได้ไม่มากมายนัก แต่เมื่อฟังผ่าน DAC 3 แล้ว เนื้อและมวลของ bass เพิ่มขึ้นมาพอสมควรเลยทั้งในย่านต่ำลึกและย่านความถี่ต่ำในช่วงบน ความถี่ต่ำในช่วงบนอาจจะมีน้อยไปนิดแต่คงมากจากบุคลิกเสียงของ W5000 มากกว่าที่จะมาจาก DAC ครับหากได้ L3000 มาเข้าคู่น่าจะดีไปมากกว่านี้(ฝันๆๆ) [ CD: The Sheffield Jazz Experience Track7 เพลง Wishing well, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, ไฟล์ Step up(OST), Step up2 the street(OST) ]



เสียงกลาง : ธรรมชาติฉ่ำและสดครับผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี หุหุหุ W5000 ให้เสียงกลางออกมาได้ค่อนข้างหวานอยู่แล้วเมื่อต่อผ่าน DAC3 ความหวานที่มีอยู่นี่ไม่ได้ลดน้อยลงเลยครับแถมเติมความฉ่ำในเนื้อเสียงให้อีกคล้ายกับว่าเมื่อฟังเสียงนักร้องสาวน้อย(อายุเยอะ)ผ่านเจ้าตัวนี้แล้วทำให้น้ากลายมาเป็นพี่อะไรแบบนี้แหละครับ แต่เป็นพี่ที่ใจดีนะเพราะฟังแล้วอบอุ่นมาก [ CD : Rebecca Pidgeon, Tuxedo cowboy : Woman of the heart, Clair marlo : Let it go, File MP3 Alison krauss ชุด Lonely Runs both ways ] Rolling Eyes

เสียงสูง : DAC3 ให้เสียงแหลมที่พริ้วและละเอียดดีตรงนี้แหละที่ทำให้ผมนึกถึงแผ่นเสียง แหลมที่ได้ไม่เหมือนเสียงแหลมแบบ digital ครับใครเคยใช้แผ่นเสียงจะรู้ดีว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร เสียงกระดิ่งนี่กังวานแถมด้วยหางเสียงที่ลากได้ยาวสุดจิตเช่นเสียงกีตาร์จากเพลง acoustic หลายๆ เพลงตอนที่จบเพลงแล้วมีเสียง resonance ของสายที่ถูกดีดทิ้งไว้นี่เหมือนจริงมากครับเพราะมีการสวิงขึ้นลงของเสียงไม่ได้ลากยาวแต่เป็นเส้นตรงเหมือนที่เคยได้ยิน [ CD : Sound of Wood and Steel, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc ]

Dynamic : ฉับไวดีครับแม้ว่าผมจะฟังจากแอมป์หลอดซึ่งเมื่อเทียบกับแอมป์แบบ Solid state แล้ว Dynamic จะสู้ไม่ได้แต่ด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือของเจ้า Darkvoice 332 และการตอบสนองความถี่ที่ฉับไวของ DAC3 ทำให้ฟังเพลง Classic ในช่วง Overture เพลง Rock หรือแม้แต่ Rap ได้อย่างสนุกสนานและอินไปกับช่วงที่เน้นความต่างระหว่างระดับเสียงที่เบาและดังได้ไม่ยาก [ CD : Greenday :Dookie, Technotronics : The greatest hits, Sheffield jazz experience, Chesky record’s The ultimate Demonstration disc, Vanilla Ice : Mind Blowin ]



รายละเอียด : เมื่อเทียบกับ External Soundcard เดิมของผมคือ Creative Audigy 2NX นี่ไม่ต้องพูดถึงครับผม อะไรที่ไม่เคยได้ยินก็ทำให้ได้ยิน ที่ได้ยินอยู่แล้วก็ชัดเจนมากขึ้นทำให้รู้เลยว่าแผ่นและ file ที่เล่นผ่านเจ้าตัวนี้นั้นระหว่างที่บันทึกจากการแสดงสดและจากการ mix down เสียงต่างๆ ที่ Sound engineer บรรจงใส่เข้าไปนั้นมีความดังค่อยอยู่หลายระดับ ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินผ่าน Soundcard ตัวเดิม ไม่ใช่ว่าตัวเดิมไม่ดีนะครับผมพอใจกับมันมากในระดับนึงเลยทีเดียวแต่ว่าเจ้า DAC3 ทำได้ดีกว่าแค่นั้นเองเพราะทำให้รายละเอียดของเสียงต่างๆ ในเพลงนั้นมันมีชีวิตไม่แบนเป็น 2 มิติทำให้ฟังแล้วมีชีวิตชีวา [ CD : K-ci&jojo เพลง All my life, Sheffield Jazz experience, Rebecca Pidgeon, Tuxedo cowboy : Woman of the heart, Clair marlo : Let it go, File MP3 Alison krauss ชุด Lonely Runs both ways ]

ความคุ้มค่า : ผมซื้อมือสองที่ใหม่กิ๊กมาครับขั้วต่อและสภาพเครื่องไม่มีริ้วรอยอะไรเลย สอบถามแล้วเจ้าของเดิมบอกว่าเค้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้พอต้องย้ายงานไปอีกเมืองจึงจำต้องปล่อยออกมา อาจเป็นเพราะความหนักของเจ้าตัวนี้ก็เป็นได้ หุหุหุ เสียงที่ได้จาก DAC3 นี่เมื่อเทียบกับเงินที่ผมจ่ายไปถือว่าคุ้มมากเพราะว่าเหมือนได้ system ใหม่มาอีกชุดนึงเลยก็ว่าได้ เพราะ DAC ตัวนี้ทำให้ Darkvoice 332 และน้องตู้ม W5000 ของผมแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่



สรุป : จากความตั้งใจเดิมที่จะซื้อ Apogee minidac เพราะติดใจในสไตล์เสียงของ Apogee ที่เหมือนกับ Analog แต่พอจะสั่งก็เจอเจ้าตัวนี้ออกมาขายเลยกัดฟันจ่ายไปจะได้ลงทุนทีเดียวเนื่องจากว่าคงจะไม่เปลี่ยนชุดที่ใช้อยู่ไปอีกนาน ผลที่ได้นั้นสามารถเติมเต็มความต้องการของผมได้เกินกว่าที่คิดไว้ครับ คือได้ DAC ตัวนึงที่ฟังแล้วไม่เหมือนกับฟังเสียงจากแหล่งโปรแกรม Digital มากนักด้วยเสียงทุ้มที่นุ่มลึก เสียงกลางที่อบอุ่นสดฉ่ำเป็นธรรมชาติ แหลมที่พริ้วละเอียดกังวาน รายละเอียดและมิติที่โอบล้อมเป็นสามมิติ ความกว้างมากของเวทีเสียงรวมถึงความรู้สึกสดชื่นที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ฟังเสียงจากเจ้า Bel canto DAC3 ตัวนี้

"ไม่สำคัญว่าชุดฟังเพลงของท่านจะแพงหรือว่าถูก ไทยทำหรือของนอก DIYหรือเหมาจ่ายมา ขอเพียงแต่ว่ามันให้ความสุขแก่เราได้ให้เสียงในแบบที่เราชอบ พอฟังแล้วก็รู้สึกดีผ่อนคลายและสดชื่นโดยไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น" ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับผม

เวปไซท์ที่เกี่ยวข้อง: http://stereophile.com/digitalprocessors/1107bc/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม