วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[Review] JH 13 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้า


เกริ่น:

กว่าจะได้เจ้านี่มาครอบครองนี่ใช้เวลารอนานมากๆผ่านอุปสรรคต่างๆทั้งคนประสานงานที่ต้องออกเดินทางไปที่โน่นนี่เรื่อยและก็คนรับ order ที่กว่าจะตอบอีเมลได้แต่ละที หลังจากที่ตามทวงอยู่สามครั้งคิดว่าคงจะพอได้แล้วในการตามจี้เพราะว่าคงไม่ได้มีผลอะไรเลยหลบมาก็นั่งรอของอยู่เงียบๆดีกว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเวลาและอารมณ์เพราะมีเรื่องอื่นที่่สำคัญกว่าให้ต้องคิดดีกว่าไปติดกับเรื่องแบบนี้ ได้แต่นึกในใจว่าส่งของออกมาเมื่อไหร่ก็คงจะได้ของเมื่อนั้น

บอกตามตรงว่าผมไม่พยายามอ่านรีวิวแบบตั้งอกตั้งใจทั้งในเห็ดไฟและที่นี่เพราะว่าไม่อยากให้มีอะไรมาเป็นฐานข้อมูลก่อนในเบื้องต้นเนื่องจากอยากจะได้ 1st impression ตามความเห็นของตัวเองจริงๆซึ่งก็ได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เจ้าหูฟังตัวนี้ก็ผ่านการเบิร์นไประยะหนึ่งแล้วคิดว่าคงจะถึงเวลามาเล่าให้พี่ๆน้องๆอ่านกันซักที บอกไว้ก่อนว่าข้อเขียนด้านล่างนี้เป็นเพียงความเห็นของคนธรรมดาคนหนึ่งอาจจะมีอคติเจืออยู่ได้ดังนั้นพิจารณาก่อนอ่านนะครับ


Spec:

Proprietary precision-balanced armatures
Dual Low, dual mid, dual high (6 drivers)
Integrated 3-way crossover
Noise Isolation: -26dB
Input Connector: 1/8"(3.5mm), gold plated
Frequency Response: 10Hz to 20kHz
Input Sensitivity: 119dB @ 1mW
Impedance: 28 Ohms


อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:

-iPod Classic 160G
-iPhone 3Gs
-iMac
-tc konnekt8 audio interface
-bel canto DAC3
-BOSE Com3II


การออกแบบ การสวมใส่และคุณภาพของชิ้นงาน:

การออกแบบก็คงคล้ายๆกับหูฟัง Custom ทั่วไปคือใช้แบบพิมพ์หูของเราที่เรียกกันว่า ears impression ไปทำเป็น shell ของตัว monitors เพื่อให้การสวมใส่เป็นไปได้อย่างพอดีกับช่องหูของเจ้าของแต่ละท่านพอได้ของมาก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีครับใส่ได้พอดีกับหูแต่ว่าของผมตำแหน่งของขั้วสายทางด้านซ้ายทำมาผิดมุมไปนิดเลยต้องเอาตะไบขัดเล็บมาขัดแต่งเองหน่อยนึงเพื่อให้ใส่แล้วจะไม่กัดใบหู





ชิ้นงานทำได้ไม่ค่อยดีนักมีฟองอากาศให้เห็นอยู่เยอะเหมือนกันเนื่องจากว่าเลือกสีของ shell ค่อนข้างใสนิดนึงเลยเห็นค่อนข้างชัด เมื่อเทียบชิ้นงานกับทาง UE ซึ่งก็มีโอกาสได้เป็นเจ้าของเช่นเดียวกันพบว่างานของ UE ดีกว่าพอสมควร ขนาดของ shell ที่ UE ทำออกมาหนากว่า(ดูได้จากรูป)ซึ่งดูๆไปก็ไม่น่ามีผลอะไรเนื่องจากในช่องหูก็ขนาดเท่ากันแต่ขอบอกว่ามีผลในการเอาหูฟังออกจากช่องหูของ UE ค่อนข้างจับได้ถนัดมือมากกว่าทำให้เอาเข้าออกได้ง่ายมากส่วนของ JH ก็เอาออกลำบากนิดหน่อย เรื่องของชิ้นงานนี่ทาง JH สมควรจะเอาไปพิจารณาปรับปรุงถ้ายังคิดว่าจะต้องการเป็นคู่แข่งขันของ UE ในตลาด IEM แบบ Custom เพราะว่าเรื่องของชิ้นงาน artwork และสีของ shell มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะสั่งหรือไม่สั่งเพราะว่าเป็นหูแบบ Custom ดังนั้นลูกค้ามักจะเลือกสีและแบบตามที่ตัวเองต้องการอย่างแน่นอน

JH13 มีกล่องใส่มาให้ซึ่งก็ออกแบบมาค่อนข้างบอบบางไปนิดนึงเป็นพลาสติคเกรดค่อนข้างดี มีช่องให้เอา player หรือว่าเครื่องส่งใส่ลงไปไว้ได้ด้วยเพื่อความสะดวกตอนเดินทางไปตามเมืองต่างๆตามปกติของหูฟังสำหรับนักดนตรีและ monitor engineer คนคุมเสียงของวงรวมไปถึงนักฟังที่เลือกใช้สินค้าของเค้าด้วย


สำหรับกล่องใส่ถ้าดูกันจากช้ินงานแล้วละก็ของ UE ดูดีมีคลาสกว่าเยอะเลยเพราะทำขึ้นมาจากโลหะ


ความประทับใจแรก:

หลังจากที่ได้ของมาก็ยังไม่ได้ฟังเลยในทันทีได้เปิดทิ้งไว้พักนึงก่อนเพื่อให้ driver ได้ขยับตัวบ้างก่อนที่จะรับฟังในเบื้องต้นพอใส่เข้าไปในหูก็พบว่ารายละเอียดไหลมาแบบพรั่งพรูให้ได้ยินครบทุกเม็ดไม่มีตกหล่นเลยถือว่าเป็นข้อเด่นของเค้าเมื่อได้ฟังในครั้งแรกคล้ายๆกับที่จับเจ้า UE11 มาใส่แล้วก็ได้ยินเสียงเบสนำมาแบบนั้นซึ่งก็ถือว่าได้ความประทับใจแรกไปคนละแบบ


เสียงต่ำ:

เรื่องนี้มีคนถามไถ่กันมากันเยอะเลยครับว่าเทียบกับ UE11 แล้ว JH13 มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ขอบอกตรงนี้เลยครับว่าใครที่เป็น basshead แล้วละก็ตัด JH13 ออกจาก list ของท่านไปได้เลยถ้าคิดจะซื้อหูฟังแบบ custom มาใช้ ไม่ใช่ว่าคุณภาพความถี่ต่ำที่ JH13 นำเสนอออกมาไม่ดีนะครับแต่ว่าเมื่อเทียบกับ bass monster แบบ UE11 แล้ว impact ค่อนข้างห่างกันอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงตรงนี้อยากจะเล่าอะไรให้อ่านพอเป็นไอเดียเกี่ยวกับเรื่องของเสียงความถี่ต่ำ เป็นประสบการณ์ในยามหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนสมัยทำงานอยู่ในผับคือว่าตอนทำงานคืนหนึ่งมีความรู้สึกว่าเบสไม่มันส์เลยตอนที่เปิดแผ่นอยู่ตัวเราเองก็เป็นแต่เปิดกับฟังเท่านั้นจะให้ไปปรับ Main EQ ก่อนป้อนออก power amp เพื่อขับลำโพงหลักก็ทำไม่เป็นรู้แต่เพียงว่าเบสมันลงที่หน้าแข้งไม่ขึ้นมากระแทกอกแถมแรงกระแทกก็แผ่วมากๆเหมือนมือกลองไม่ได้ทานข้าวมาสามสี่วันอะไรแบบนั้น เมื่อทราบว่าเป็นแบบนี้ก็เลยต้องโทรตามเซียนหูทองมาช่วยแก้ไขในเรื่องนี้ให้เพราะว่าเครื่องยังอยู่ในประกันของบริษัทอยู่ดังนั้นโทรตามได้เต็มที่ตลอด 24 ชั่่วโมงแต่ว่าทางโน้นจะรับสายหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง หุหุ เมื่อเซียนท่านมาถึงก็มานั่งจิบน้ำหวานฟังไปเรื่อยๆฟังเสร็จก็ลุกไปปรับแล้วก็มานั่งฟังที่เดิมตำแหน่งที่นั่งฟังก็คือหน้าแท่น mixer ซึ่งเป็น sweet spot ของที่ทำงานเพื่อการรับฟังเสียงที่สมบูรณ์มากที่สุด หลังจากที่ดูเซียนท่านฟังแล้วก็ลุกไปปรับทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเสียงความถี่ต่ำที่อยู่แถวๆหน้าแข้งตอนนี้กลับมากระแทกอยู่ที่หน้าอกของเราได้อย่างน่าแปลกใจ

ระหว่างที่เซียนเค้าปรับเราเองก็แอบไปดูเค้าทำว่าปรับความถี่ย่านไหนอย่างไรก็พบว่าแทนที่จะไปปรับในส่วนของความถี่ต่ำก่อนแต่เซียนท่านก็ไปปรับในช่วงความถี่สูงตอนกลางๆก่อนเพื่อยกระดับให้เสียงโดยรวมกระชับมากขึ้นไม่เนือยๆแบบทีแรกซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากการปรับตัวของดอกลำโพงเนื่องจากว่าเป็นของใหม่ใช้ได้ไม่นานจะบอกว่าอยู่ในระหว่าง burn ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก การปรับ EQ ของเซียนท่านจะปรับสลับระหว่างความถี่สูงกับต่ำไปเรื่อยๆเอาขึ้นลงแล้วมานั่งฟังเทียบดูความแตกต่างแล้วก็ปรับไปเรื่อยจนเป็นที่น่าพอใจก็เป็นอันเสร็จวิธีการ ไม่เพียงแต่ main EQ เท่านั้นที่มีผลกับเรื่องของความถี่ต่ำแม้แต่หนังกระเดื่องของวงดนตรีที่เล่นก็ต้องหมั่นปรับอยู่เสมอเพราะว่าถ้าตึงน้อยไปก็ทำให้เบสหายมันส์ไปได้พอสมควรเหมือนกัน

ที่เล่ามาอย่างเยิ่นเย้อก็เพียงแต่อยากจะบอกว่าเรื่องของเสียงต่ำที่ออกมาให้เราได้ยินนัั้นก็มีความถี่สูงมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกันดังนั้นครอสโอเวอร์ที่แบ่งความถี่ให้กับ driver ในแต่ละย่านมีผลกับเสียงที่เราได้ยินทั้งหมด สำหรับ JH13 นั้นเรื่องของเสียงต่ำในช่วงกลางและสูงฟังแล้วมีน้อยกว่า UE11 แต่ว่ามันพอดีคือว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป จะว่าไปความถี่ต่ำของ UE11 ฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่าฟัง full size กลายๆแต่ว่าความถี่ต่ำของ JH13 เหมือนฟังจาก IEM แบบเทพๆตัวหนึ่งซึ่งตามความเห็นของผมนั้นผมว่ามีดีกันไปคนละแบบ เสียงเบสของ JH13 เร็วกระชับมีไดนามิคที่ดีมากๆส่วนเบสของ UE11 ได้ลูกหนักและแน่นแต่ว่าทั้งคู่ลงลึกได้พอๆกันจากเท่าที่ฟังมาก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบเสียงแบบใดเหมือนฟังเบสของ HD800 เทียบกับ L3000 โดยประมาณครับ ตอนนี้ลองเอาแผ่น touch me ของหนึ่ง จักรวาลมาเปิดฟังขอบอกว่าอัดมาดีเกินคาดงานเพลงก็ดีกว่าที่คิดเสียงต่ำเยี่ยมจริงๆใครอยากหาแผ่นมาลองเสียงความถี่ต่ำหรือว่าเพลง funk สนุกๆละก็ลองหามาฟังดูครับ




เสียงกลาง:

จากความประทับใจแรกที่ได้ฟัง JH13 นั้นนอกจากเรื่องของรายละเอียดแล้วเสียงกลางเป็นอีกส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผมทึ่งกับหูฟัังตัวนี้ครับเพราะว่าเสียงกลางสะอาดมากหลังจากผ่านการ burn ไประยะหนึ่งเสียงเริ่มเข้าที่มากกว่าตอนที่ได้ฟังเป็นครั้งแรกเสียอีก อยากจะบอกว่าสำหรับคนที่รักเพลงร้องเป็นชีวิตจิตใจหูตัวนี้ไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนถ้าคิดจะหามาเป็นหูฟังที่ใช้พกพาไปในที่ต่างๆ JH13 เป็นตัวเลือกอีกตัวที่ท่านควรจะพิจารณา

เสียงกลางของ JH13 เป็นธรรมชาติมากๆทั้งเรื่องของเสียงร้องเสียงเครื่องสายและเครื่องเป่าที่เริ่มตั้งแต่ย่านความถี่ช่วงกลางไปถึงสูง JH13 ให้ความรู้สึกสมจริงมากๆ โดยเฉพาะเครื่องสายที่มีคันสีเช่น cello violin viola นี่เทพจริงครับสีทีนี่รับรู้ถึงความฝืดของสายได้แบบไม่ต้องเพ่งเลย ส่วนเสียงร้องนั้นไดนามิคตอนแผดเสียงโชว์พลังของนักร้องทำเอาขนลุกรวมไปถึงเสียงเล่นกระบังลมเพื่อเรโซแนนซ์ของเสียงร้องก็มีความพร้ิวอยู่ในที

เทียบกับกลางของ UE11 แล้วเสียงของ 11 แห้งกว่าบ้างแต่ว่าได้ความถี่ต่ำในช่วงบนเข้ามาเพิ่มเลยทำให้เนื้อเสียงกลางของ UE11 ดูเหมือนกับว่านุ่มนวลกว่า JH13 แต่พอฟังแบบตั้งใจจริงๆจะพบว่าเสียงกลางของ JH13 มีความพอดีมากกว่าแม้ว่าเสียงจะติดไปทาง flat แต่ว่าเสียงกลางนั้นไม่ได้แห้งเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างที่ฟังแล้วมีความต่างกันค่อนข้างมากระหว่าง UE11 กับ JH13 คือเสียงปรบมือในเพลง gospel ตอนอารมณ์กำลังขึ้น เพลงละตินรวมไปถึงเสียงปรบมือหรือว่าเทคนิคต่างๆที่ผู้เล่นใส่เข้ามาในเพลง jazz บอกได้เลยว่ามือเป็นมือครับ เสียงปรบมือของเราเมื่อเทียบกับเสียงที่ได้ยินจาก JH13 คือเสียงเดียวกันเลยครับตรงนี้ผมทึ่งมากๆ เมื่อเทียบกับเสียงจาก UE11 พบว่า UE11 มีอมความถี่ต่ำอยู่บ้างเหมือนกับเอาผ้ามาวางบนมือเวลาปรบมือทำให้ไดนามิคของเสียงไม่ค่อยดีนัก


เสียงสูง:

JH13 มี driver ทุกย่านๆละสองตัวทำให้เสียงในแต่ละความถี่ออกมาได้อย่างเต็มที่ฟังออกได้ชัดเจนโดยที่ไม่จำเป็นต้องเร่งระดับความดังขึ้นมามากนัก ความถี่สูงเป็นจุดเด่นอีกอย่างของ JH13 นอกจากเสียงกลางที่ดีอยู่แล้วการส่งต่อมายังย่านสูงทำได้ดีไม่รู้สึกว่าขาดแต่ว่าพอจะมีการใช้ลูกเล่นในการอัดของเพลงยุคใหม่ๆหรือว่าเพลงในแนวที่ใช้เครื่องสังเคราะห์จะเด่นขึ้นมาได้เหมือนกันคือว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมีทั้งความต่อเนื่องและสามารถจะแยกเสียงขาดออกมาจากกันได้อย่างชัดเจนตรงนี้เป็นข้อดีของการมีหลาย driver ในตอนแรกที่ได้มาเสียงสูงของ JH13 กัดหูอยู่พอสมควรหลังจากผ่านการเปิดเผาในระดับเสียงที่ค่อนข้างสูงกว่าระดับการฟังปกติอยู่นิดนึงพอผ่าน 60 ชม. ไปแล้วเสียงแหลมที่กัดหูอยู่หายไปมีความเนียนและละเอียดเข้ามาแทน หางเสียงลากได้ยาวดีแต่ว่าไม่เสียดหูนะผมยังไม่เคยได้ยิน IEM ตัวไหนให้เสียงสูงที่ลากได้ยาวเท่าตัวนี้มาก่อน


รายละเอียด ความเป็นดนตรี เวทีเสียงและอื่นๆ:

JH13 ให้รายละเอียดได้ดีมากแม้ว่าจะเปิดฟังไม่ดังมากนักเม็ดดนตรีทุกเม็ดไม่มีตก จริงๆจะว่าไป IEM ให้รายละเอียดได้ค่อนข้างดีกว่าหูฟัง full size อยู่แล้วแต่เจ้าตัวนี้ทำให้ผมประทับใจกับส่วนนี้มากขึ้นไปอีก สำหรับ JH13 เสียงโดยรวมๆค่อนข้าง flat และมีความเที่ยงตรงในการนำเสนอสูงมากในความเห็นส่วนตัวแล้วผมว่าเหมาะกับ sound engineer, tour monitor หรือว่านักฟังแบบ serious listener มากกว่านักดนตรีโดยทั่วไป ผมว่า UE11 สามารถทำให้นักดนตรีมันส์ไปพร้อมกับ monitor เสียงของตัวเองและวงไปได้ในขณะเดียวกันแต่ว่าอารมณ์ของ sound engineer ไม่ใช่แบบนั้นแต่ไม่ใช่ว่า JH13 จะมันส์ไม่ได้นะครับเท่าที่ฟังมาถ้าเลือกดนตรีได้ถูกแนวกับเค้าเช่น bossanova, jazz, classical หรือแม้แต่เพลง country เจ้าตัวน้อยนี่ทำคุณอินได้ไม่ยากเลยหละ JH13 มีความเป็นดนตรีมีสูงมากในแนวเพลงดังกล่าวมีจุดอ่อนอยู่ที่ Rock แบบ hardcore หน่อยแต่ว่าถ้าเป็น punk หรือว่า progressive แล้วละก็ใช้ได้เลยครับ สำหรับเจ้าของ JH13 ถ้าต้องการให้ฟังร็อคมันส์มากขึ้นแล้วละก็ลอหาแอมป์ที่มีกำลังแรงๆมาลองต่อขับดูรับรองได้ว่าจะยิ่งกว่าถูกใจ ผมได้ลองเอา JH13 ต่อจาก control module ของ BOSE Com3II ซึ่งต่อตรงจาก DAC3 แล้วพบว่า impact ของเสียงต่ำและความเป็นดนตรีเพิ่มขึ้นมาสูงพอสมควรเลยทีเดียว

เวทีเสียงของ JH13 ออกไปในแนวระนาบออกไปทางด้านกว้างมากกว่าด้านลึก เสียงไม่ล้ำหน้ามากไปถอยห่างออกไปข้างหลังหน่อยๆใกล้เคียงกับ UE11 ตำแหน่งของเครื่องดนตรีต่างๆชัดเจน image ย่อเล็กไปตามส่วนของวงตอนที่ฟัง classical JH13 จำลองเวทีได้ค่อนข้างเยี่ยมฟังแล้วโปร่งกว่า UE11 แต่ว่าไม่ได้กว้างกว่ามากนักเพีียงแต่ image ของวงดีกว่า สำหรับบรรยากาศนั้นเนื่องจากว่า JH13 มีเสียงที่สะอาดและสามารถให้รายละเอียดได้ดีบรรยากาศในการฟังเพลงแบบแสดงสดนั้นรู้สึกว่าจะชัดเจนมากไปนิดนึงทำให้อารมณ์ร่วมจะขาดไปบ้างเหมือนกันตรงน้ี UE 11 ทำได้ดีกว่า





สรุป:

สำหรับ audiophile, serious listener รวมไปถึง sound engineer แล้วละก็ถ้าท่านต้องการหา IEM แบบ custom มาใช้ซักตัวนึง JH13 เป็นคำตอบที่ท่านไม่น่าจะผิดหวังเพราะว่าสามารถให้เสียงที่ถูกต้องมีความเที่ยงตรงสูงในขณะเดียวกันก็มีความไพเราะให้กับท่านได้ด้วยในแนวเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีจริงๆเล่น ส่วนดนตรีในแนวที่ใช้เครื่องสังเคราะห์ JH13 ก็สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้เช่นเดียวกันเพราะว่าการใส่ลูกเล่นทางดนตรีที่แพรวพราวก็เป็นจุดเด่นของเพลงในแนวนี้และในการที่ JH13 มีเสียงที่สะอาดให้รายละเอียดได้ดีก็สามารถจะทำให้ฟังเพลงในแนวอิเล็กทรอนิก้าได้สนุก

การทำ IEM ที่มี Driver หลายๆตัวยากมากที่จะทำออกมาให้ได้ดีจุดตัดความถี่ในตัวของหูฟังต้องแม่นมากๆไม่อย่างนั้นผมที่ได้ก็คือเสียงที่จะขี่กันหรือแม่แต่เสียงจะโดดจากความถี่ย่านหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่งได้ขอนับถือ Jerry และทีมงาน JH Audio ที่ได้กล้าทำหูฟังรุ่นนี้ออกมาให้ได้ใช้ ผมคิดว่า Jerry ทำหูฟังรุ่นนี้ออกมาสนองความต้องการของตนเองในฐานะที่เป็น sound engineer ให้กับ tour ของศิลปินชั้นนำของโลกหลายๆวงยิ่งพอได้ฟัง JH13 มานานๆทำให้พอเข้าใจไอเดียและความตั้งใจที่ดีของเค้าที่คิดจะฝากฝีมือไว้ในวงการนี้ต่อไป ผมคิดว่า Jerry และทีมงานคงต้องสู้ต่อไปซักพักในวงการนี้ทาง JH Audio ควรที่จะพัฒนาการให้บริการและคุณภาพของชิ้นงานที่ทำออกมาให้รวดเร็วและมีคุณภาพมากกว่านี้มิฉะนั้นเส้นทางที่จะไปยืนอยู่แถวหน้าของความเป็นผู้นำในการทำ Custom IEM ของโลกคงจะเป็นไปได้ยาก

หูฟังตัวนี้ให้เสียงที่กลางๆไม่โดดไปในย่านใดย่านหนึ่งแม้ว่าจะเด่นไปในช่วงความถี่กลางไปถึงสูงก็ตาม ความถี่ต่ำของ JH13 มีไดนามิคที่ดีมากๆถ้าให้ติก็คงจะอยู่ที่ว่าความถี่ต่ำเก็บตัวเร็วไปนิดนึงแต่ว่าโดยรวมๆแล้วถือว่าเสียงที่ออกมาให้ได้ยินนั้นพอดีมากๆ ผมคิดว่าถ้าเจ้าของ HD800 ท่านใดที่ถูกใจกับหูฟังของท่านอยู่แล้วก็คิดว่าน่าจะชอบ JH13 ได้ไม่ยากครับ

ในการเทียบกันระหว่างหูฟังสองรุ่นคือ JH13 และ UE11 ของผมในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหูรุ่นไหนจะดีกว่ากันแต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการฟังแนวเพลงและความชอบส่วนตัวของผู้ฟังหูรุ่นนั้นๆเป็นหลัก การที่เขียนรีวิวเปรียบเทียบออกมาก็เพื่อเป็นไอเดียประกอบในการตัดสินใจและให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น ส่วนตัวของผมเองเนื่องจากฟังเพลงแบบ analytical และด้วยแนวเพลงที่ฟังส่วนใหญ่รวมไปถึงความชอบส่วนตัวในเรื่องของความถูกต้องของเสียงทำให้ผมชอบ JH13 มากกว่า UE11 เพราะตอบโจทย์ที่ผมต้องการได้ดีมากกว่าแต่ว่าทั้งสองรุ่นต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่เหมือน L3000 กับ HD800 ซึ่งก็ดีกันไปคนละแบบแต่ไม่ได้หมายความว่าเปรียบ UE11 เป็น L3000 และ JH13 เป็น HD800 นะครับเพราะว่าจะเทียบหู full size กับ IEM คงจะเทียบไม่ได้แต่ว่าพอฟังแล้วได้อารมณ์ประมาณนั้นเท่านั้นเองคือ UE11 ฟังสนุกมีสีสันส่วน JH13 ฟังแล้วได้ความสมจริงและก็มีพอดีของเสียงรวมไปถึงความไพเราะในแบบแสดงสดอยู่ในตัวซึ่งผมคิดว่าโดยราคาค่าตัวที่ไม่ไกลกันมากนักนี้ถ้าต้องเลือกตัวใดตัวนึงคงต้องถามตัวเองให้ดีว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน หลังจากที่ฟัง JH13 มาระยะหนึ่งผมก็พอเข้าใจคนที่ปล่อย HD800 ออกไปเมื่อได้ฟัง JH13 แล้วว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้นไปได้สำหรับผมตอนนี้ UE11 เก็บอยู่ในกล่องไปเรียบร้อยแล้วรอวันเอาออกมาฟังตามโอกาสอันควรต่อไป ถ้ามีคนถามว่าหูฟัง custom ตัวไหนที่ได้มาแล้ว"จบ"สำหรับผม JH13 คือคำตอบนั้นครับ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงและการใช้ชีวิตนะครับทุกท่าน





ข้อคิด:

ในช่วงแรกที่ได้ติดต่อกับทาง JH Audio ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับการให้บริการของเค้าหลังจากที่ตามเรื่องไปสามครั้งแล้วไม่ได้รับคำตอบกลับมาทำให้ผมตัดสินใจเลิกที่จะตามเรื่องเพราะคิดว่าเอาเวลาไปคิดเรื่องอย่างอื่นดีกว่าที่จะไปเสียเวลาและอารมณ์แล้วทำให้งานหลักเสียเพราะว่าอารมณ์ขุ่นของตัวเราเอง งานนี้ขอบอกว่า Jerry ควรที่จะปรับปรุงการทำงานของทีมให้ดีมากกว่านี้จะใช้อารมณ์ศิลปินอย่างเดียวในการสร้างสรรค์ผลงานก็คงจะไม่ถูกต้องนักแต่ก็เข้าใจว่างานศิลปะไม่สามารถที่จะเอาเครื่องคิดเลขมากดๆแล้วก็จะได้ผลงานออกมา ศิลปินสร้างผลงานออกมาจากกลางอากาศแล้วเนรมิตทำให้เกิดเป็นชิ้นงานซึ่งต้องเค้นความสามารถทางอารมณ์มากกว่าคนปกติทั่วไปดังนั้นจึงมีความเครียดสูงถ้าถูกตามเข้ามากๆก็คงจะหงุดหงุดจนบางทีอาจจะทำอะไรที่ไม่สมควรออกมาได้

ภาษิตโบราณที่ครูบาอาจารย์มักจะสอนผมอยู่เสมอคือ "ให้เอาเงาไปทับงาน ไว้ใจลูกตาบอดข้าง ไว้ใจลูกจ้างตาบอดหมด" แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ไว้ใจนะครับเพียงแต่ว่าต้องไปช่วยตามดูหน่อยเวลาที่สั่งงานอะไรลงไปเพื่อกันความผิดพลาดแล้วก็มาด่ากันในภายหลังให้เสียอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ "ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะ" เป็นคำว่ากล่าวอันดับต้นๆของเจ้านายส่วนใหญ่ก็ว่าได้เมื่อลูกน้องทำงานผิดพลาดแต่เจ้านายส่วนมากเช่นกันก็ไม่เคยมองว่า "ทำไมไม่บอกลูกน้องไปก่อนว่างานที่สั่งไปนั้นให้ทำไปทำไม" ถ้าเราบอกจุดประสงค์ของแต่ละงานแต่ละคำสั่งให้ลูกน้องทราบแล้วปัญหาที่จะเกิดตามมาจากการทำผิดคำสั่งจะน้อยลงมากแล้วจะไม่ต้องมานั่งด่ากันในภายหลังว่า "ทำไมถึงทำแบบนี้" อีก

ศิลปินส่วนมาก(รวมผมด้วยคนนึง)มักจะมีนิสัยเสียคล้ายๆกันคือพอเกิดปัญหาขึ้นมาก็มักจะเข้าไปด่าว่าลูกน้องจนหาใครที่จะมาอยู่ทำงานด้วยไม่ได้จนสุดท้ายต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง จึงมามองย้อนกลับมาดูเพื่อแก้ไขตัวเองโดยเอาตัวอย่างจากอดีตนายทหารคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานด้วยกันสมััยอยู่ผับซึ่งท่านมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมากเคยเป็นครูฝึกอยู่ในหน่วยทหารที่ว่ากันว่าฆ่าคนมือเปล่าได้ ตอนนี้ท่านดูแลหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยู่ เมื่อเกิดปัญหาทะเลาะกับใครก็ตามรวมไปถึงลูกน้องของท่านเองนายทหารท่านนี้จะยกมือไหว้คู่กรณีแล้วเดินหนีออกมา ท่านทำแบบนี้ให้ผมเห็นอยู่หลายครั้งอยู่มาวันนึงมีโอกาสผมก็เลยถาม "ทำไมพี่ต้องไหว้เค้าด้วยล่ะ" ท่านก็ให้เหตุผลว่า "เมื่อไหร่ที่ไหว้เป็นการบังคับให้นึกว่าคนๆนั้นมีความดีอยู่ในตัวอยู่จะได้ไม่พลั้งมือทำอะไรลงไป" ก็เป็นอีกมุมมองที่ทำให้ผมได้คิดว่าการถอยไม่ได้หมายความว่าเราแพ้เแต่หมายถึงชัยชนะ อย่างน้อยก็ตัวเองคือชนะใจตัวเองที่ไม่ต้องไปทะเลาะกันหรือลงไม้ลงมือทำร้ายกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาในภายหลัง

ในกรณีของ Jerry นี้ก็เช่นเดียวกันก็ถูกที่เราเป็นลูกค้าที่เค้าสมควรจะต้องจัดการทุกอย่างให้ดีตามที่เราได้จ่ายเงินให้ไปแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งผมถือว่าได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนที่สมควรจะให้รับโอกาสถ้าเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ถ้าเราให้อภัยคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวได้แล้วการที่จะให้อภัยลูกน้องของตัวเองนั้นง่ายขึ้นเยอะเลยครับ สุดท้ายก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานคนเดียวซึ่งผมว่าคุ้มค่ามากๆ

1 ความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม