วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[Review] STAX SR-007A MKII+Woo Audio GES

เกริ่น: ความหลังฝังใจผมมีอยู่อย่าง จะว่าผมนิสัยเสียก็ได้คือว่าสมัยอยู่ ตจว.(ตอนนี้ก็ยังอยู่ ตจว. เหมือนเดิมนะครับ - -' แล้วจะบอกทำไมหว่า)หากว่างเมื่อไหร่ชอบไปนั่งหรือเดินแกร่วที่ร้านขายเทปเป็นประจำ เหตุผลก็คือว่าหากอยากฟังเพลงอะไรก็ขอให้เจ้าของร้านเปิดให้ฟังเพราะว่าเรายังเด็กเจ้าของร้่านอาจจะเอ็นดู อาเฮียแกก็ใจดีเหลือหลายแกะให้ผมฟังเรื่อยมาไม่ขัดเพราะเป็นลูกค้าชั้นดี บ้าซื้อ CD เก็บตั้งแต่ยังไม่มีเครื่องเล่นเป็นของตัวเองอาศัยไปหิ้วของเพื่อนมาใช้เพราะว่าพวกมีเครื่องแต่ไม่มีแผ่น ไอ้เรามีแผ่นแต่ดันไม่มีเครื่องพอยืมมันนานๆ เข้าสุดท้ายมันก็มาเอาคืนไปจึงต้องกัดฟันบากหน้าไปขอให้พ่อซื้อให้ในที่สุด ผมว่าเสียงเพลงตอนฟังในร้านมันเพราะดีนะ เพราะเค้ามีเครื่องและลำโพงดีๆ มาเปิดสะกดให้ลูกค้าฟัง จะได้หลงงงงวยไปกับเสียงที่ได้ยินจนต้องควักเงินซื้อเทปหรือแผ่นในที่สุด หุหุ Smile

มีอยู่ร้านที่ผมชอบไปนั่งเล่นมากเพราะว่าเครื่องของพี่เค้าเจ๋งจริง(ความเห็นส่วนตัว ห้ามวิจารณ์)มี CD Marantz, Integrated Amp ของ Exposure กับลำโพง Planar ของ Apogee อยู่อีกคู่นึงแต่เสียงที่ออกมานี่ดีมากเลยครับ แม้ว่าแผ่นเพลงทั่วไปในร้านจะไม่มากเป็นแผ่นพวก Audiophile ซะ 90% ตอนนั้นเองทำให้ความรู้สึกของผมที่มีกับเสียงที่ออกมาจากลำโพงเปลี่ยนไป ครั้งแรกที่ได้ยินก็แบบว่า "โอ้ ไมเสียงมันโปร่งขนาดนี้ฟะ มิติหน้าหลังดีคอดๆ เสียงกลางแหลมมาแบบว่าเทพมาก ที่ชอบสุดๆ คือเสียงเครื่องเคาะที่ได้ยินมันก้องเหมือนมาเคาะอยู่ตรงนั้นเลย"

แต่ก็แอบแปลกใจว่า เอ.. ทำไมลำโพงต้องเสียบปลั๊กด้วยหว่า แม้ว่าจะเล่าเรียนมาบ้างแต่อาจารย์ไม่เคยสอนว่ามีลำโพงแบบที่ต้องเสียบปลั๊กด้วย(หรือว่าท่านสอนแต่ตอนนั้นเราหลับอยู่หนอ) สุดท้ายเลยต้องขอความรู้พี่เค้าจึงได้เข้าใจในที่สุดว่า "ลำโพงแบบที่ต้องเสียบปลั๊กนี้เค้าเรียกว่าลำโพงแบบแผ่นฟิลม์ หากมีแต่ฟิลม์ล้วนๆ เรียกว่า Electrostatic ซึ่งต้องอาศัยไฟวิ่งเข้าไปในระหว่างตัวนำสองแผ่นบวกลบให้เกิด Statics หรือไฟฟ้าสถิตย์เป็นประจุวิ่งผ่านแผ่นฟิลม์ไปมาให้มันขยับจนเกิดเป็นเสียง แต่ว่าเบสมันไม่ค่อยดีนะเลยมีการพัฒนามาขึ้นมาอีกระดับโดยเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้าไปแล้วเรียกว่าลำโพงแบบ Planar เหมือนที่ฟังอยู่นี่แหละ" ผมเลยแอบมีฝันเล็กๆ อยู่ว่าวันนึงต้องมีกับเค้าให้ได้

จนมาถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่มีวาสนาได้มาครอบครอง ได้แต่ไปแอบๆ ยืนฟังตามงานแสดงเครื่องเสียงบ้างไปนั่งฟัง Martin Logan ตัวเล็กๆ ตามบ้านเพื่อนมั่งขอเพียงแต่ให้ได้ยินเสียงจะได้จำไว้แล้วกลับไปปรับนั่นโมนี่ System ที่บ้านด้วยหวังว่าจะได้มีเสียงเหมือนกับเสียงของลำโพงแบบฟิลม์ แต่ก็ไร้ผลเพราะฟิลม์ก็คือฟิลม์นั่นเองจะเป็นบัวชมพูไปไม่ได้ หุหุหุ มุกจะแป้กป่ะเนี่ย Very Happy

บทนำ: เมื่อหันมาสนใจหูฟังผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าขอให้เอาไปใช้ฟังระหว่างเดินทางได้สะดวก ดังนั้น IEM จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของผม จนเริ่มมาเล่น FS นี่แหละทำให้ต้องมาศึกษาเรื่องหูฟังเพิ่มเติมเพราะผมรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะหยิบจะจับอะไรก็น่าจะมีความเข้าใจและรู้จักกับสิ่งที่เราใช้ให้มากที่สุดจะได้ใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ก็พบว่าหูฟังแบบ Electrostatic ก็มีผลิตออกมาเหมือนกัน เมื่ออ่านเจอทีแรกบอกตรงๆ ว่ารู้สึกดีมากครับความหวังที่จะได้ครอบครองเริ่มจะบังเกิดมีอีกครั้ง แต่พอศึกษาเพิ่มเติมมากเข้าไปอีกจึงพบว่าหูฟังแบบนี้ต้องการความดูแลเอาใจใส่มากพอควรและราคาค่อนข้างจะไม่ถูกนัก สรุปว่าคงได้แต่หวังต่อไป ตอนนี้ที่เล็งๆ ไว้ในงบที่พอจะซื้อหามาใช้ได้คงมีแต่ Senn HE90 เท่านั้น หุหุหุ ผมว่ามีหลายตัวนะที่น่าสนใจเลยคิดว่าคงต้องไปขอความรู้เพิ่มเติมจากคุณ WindowsX ในเรื่องนี้อีก

มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เนื่องจากว่าความอยากฟังหูแบบ Electrostatic ของ STAX ทำให้ผมทำใจดีสู้เสือขอยืมคุณ ค.. ผู้ที่ทำให้ความอยากของผมลุกโชนจากพรีวิวที่ได้อ่าน คุณ ค.. ก็ใจดีแสนยกให้ผมมาลองฟังโดยไม่คิดค่าเสียหายเลยแม้แต่น้อย ต้องขอขอบคุณมากๆ ครับผม แต่ก็มีการบ้านแถมให้มาด้วยว่าผมต้องรีวิวขึ้นเวปให้พี่น้องได้อ่านกันหากรีวิวได้ดีจะมีรางวัลให้ ผมเลยต้องมานั่งพิมพ์ข้อมูลเท่าที่ได้สัมผัสให้พี่น้อง ชาว TAF ได้อ่านกันตามคำขอของเจ้าภาพ

System ที่ใช้ทดสอบ:
Cans: STAX SR-007A MKII, ATH L3K, W5K+Equinox cable.
CD : C.E.C. TL51XR Belt-drive CD
PC: Mac mini
DAC: Bel canto Dac3
Amps: Woo Audio GES, RSA the Apache
Cables: Silver Dragon RCA Interconnect, Kimber AGDL Digital XLR, Kimber PK10 power cable.



ข้อมูลทางเทคนิคของ STAX Omega II :
ชนิดของหูฟัง: Push-Pull Electrostatic Earspeaker
Impedance: 170k Ohms (10kHz)
Frequency Response: 6 - 41,000 Hz
Sensitivity: 100dB / 100V r.m.s. 1 kHz
Bias Voltage: 580V DC
สาย: Low capacity wide format, PC-OCC (Pure Crystal Ohno Continuous Casting) 2.5m/8.2ft (Dark Brown)
น้ำหนัก: 365g (12.9oz) ไม่รวมสาย



ข้อมูลทางเทคนิคของ Woo Audio GES :
Input impedance: 100 Kilo-Ohms
Frequency response: 10 Hz - 80 KHz, -3dB
Signal/Noise: 100 dB
Bias voltage: 580VDC
THD: <= 0.1%
ขนาดของตัวเครื่อง: 6½(สูง), 13"(กว้าง), 10½"(ลึก)
น้ำหนัก: 10.2 กก.
หลอดขับจำนวน 4 หลอดเบอร์: 12AX7
หลอดพาวเวอร์อีก 4 หลอดเบอร์: 6S4

เนื่องจากหูฟังหรือว่าลำโพงแบบ Electrostatic ต้องการแรงดันไฟ DC เข้าไปในแผ่นตัวนำสองแผ่นโดยมีฟิลม์อยู่ตรงกลางดังที่ทราบ แอมป์ที่ขับจะต้องจ่ายแรงดันไฟเข้าไปด้วยโดยที่ขั้วต่อของหูฟังก็จะแปลกไปกว่าที่เราคุ้นๆ ตากันคือว่ามี 5 pin โดยมีตำแหน่งของ pin ต่างๆ ดังนี้
ไบอัส: pin 1
ซ้ายหน้า: pin 2
ขวาหน้า: pin 3
ขวาหลัง: pin 4
ซ้ายหลัง: pin 5
โดยจะมีสายแพจำนวน 6 เส้นผ่านไปยังหูสองข้างๆ ละ 3 โดยที่ขั้ว bias จาก pin1 จะแยกออกมาเป็นสองเส้น




การออกแบบ: เรียบง่ายดูดีมากครับ กรอบของตัวแผ่น diaphragm เป็นโลหะสีเงินด้านพร้อมสายคาดหัวใส่ได้สบายดี พร้อม PAD หนังหนานุ่มไม่บีบหรือกดหู

ความประทับใจแรกกับเสียงที่ได้ยิน: สั้นๆ ว่าโปร่งคอดๆ ครับ เสียงหลุดออกจากหูออกไปด้านหน้าเหมือนเวทีเสียงถอยหลังออกไปบ้างทำให้ฟังได้สบายไม่ล้าหูเมื่อต้องฟังเป็นเวลานาน

เวทีเสียง บรรยากาศ มิติ ความเป็นดนตรีและการนำเสนอ: เป็นอันดับแรกที่ผมอยากพูดถึงเพราะว่านี่คือข้อเด่นของหูและลำโพงแบบ Electrostatic เสียงจากแผ่น CD ของป้านุชเพลง "รักยุค Hi-Tech" ที่ผมเลือกจะเปิดฟังเป็นเพลงแรกหลุดออกจากหูฟังไปกว้างมากครับ เสียงของป้าลอยเด่นออกมาเลย เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นไม่มีบดบังกันแยกกันขาดชัดเจนมาก เมื่อเอาแผ่น Pure AQUAPLUS legend of acoustics มาเปิดไล่ไปทีละ track นี่เพลินมากเพราะความที่ไม่อุดอู้ของเวทีเสียง เสียงของ Violin Cello และกีตาร์คลาสสิคนี่นิ่งมากๆ ตำแหน่งชัดเจนไม่แกว่งเลยแม้แต่น้อยได้ยินทุกเสียงแบบไม่ต้องตั้งใจฟังเพราะนำเสนอออกมาได้ชัดเจน

เสียงแทมโบรีนของเพลงแรกใน Album The Weavers Reunion at Carnegie Hall 1963 นี่อยู่หน้าคนที่เคาะอย่างชัดเจน เสียงนักร้องที่ก้าวขึ้นมาสลับกันร้องทำให้รู้เลยว่าระยะห่างจากไมค์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน มีการเดินเข้าออกมาร้องสลับสับเปลี่ยนกันให้รับรู้ได้ เสียงปรบมือก็สมจริงมากครับทั้งของนักดนตรีและจากผู้ชมด้านล่าง โดยเฉพาะเสียงปรบมือจากผู้ชมดังเหมือนเสียงมือไม่เหมือนกับเสียงเอากระดาษมาขยำเหมือนที่ได้ยินจากหูฟังราคาไม่แพงมากนัก เวทีเสียงที่ได้ยินเป็นตัวยูข้อดีคือว่ามิติด้านลึกจะดีเวลาฟังเพลงจากออเครสตร้าวงใหญ่เช่นงานของ Tchaikovsky หรือเวลาฟังงานจากคีตกวีคลาสสิคหลายๆ ท่านได้อารมณ์ดีครับรวมไปถึง Soundtrack ชิ้นเยี่ยมๆ ชอง John William, Han Zimmer, James Newton Howard, Erich Kunzel หรือ Alan Silvestri ธรรมดาผมไม่ค่อยได้ฟังคลาสสิคมากเท่าไหร่ยกเว้นเวลาต้องการผ่อนคลายและปลดปล่อยจินตนาการเท่านั้น แต่งานนี้ทำเอาผมเปิดต่อๆ กันได้หลายๆ อัลบั้มเลยหละ

บรรยากาศโอบล้อมก็ดีมากฟังจากเพลง The Good fight และอีกหลายๆ เพลงของ Dashboard Confessional วงอัลเทอฯ จาก Florida อัลบั้ม MTV Unplugged ที่ผมชอบเปิดเวลาจะเช็ดดูว่าอุปกรณ์นำเสนอและให้บรรยากาศของการเล่นสดๆ ได้ดีหรือไม่ ปรากฎว่ามันส์ครับ เหมือนได้ไปฟังอยู่ใกล้ๆ เวทีเลยตอนผู้ฟังร้องตามก็ทำให้ขยับตัวขยับขาไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเพลงเอก Hands Down นี่ตอนที่ Christopher Ender Carrabba เปล่งเสียงร้องออกมาว่า "ฺBreathe in for luck..." นี่ทำให้อยากสูดลมหายใจเพื่อเพิ่มความโชคดีให้กับตัวเองพร้อมไปด้วยเลย ลีลาในการนำเสนอนี่เยี่ยมมากครับ

เสียงกลาง: เป็นอันดับที่สองที่อยากจะบอกว่า STAX ทำได้แจ๋วครับเสียงของป้านุชน้องลุลาหรือว่าใครต่อใครในห้วงใจผมนี่ออกมาเจื้อยแจ้วให้ได้ยินอย่างแผ่วพริ้วอบอุ่นและก็หวานหยด ฟัง Mandy moore เพลง Cry และ Only hope จากซาวด์แทร็ค A walk to remember นี่ได้อารมณ์เหงาและเศร้านิดๆ โดยเฉพาะเสียงเปียโนตอนเริ่มเพลง Only hope นีี่พริ้วมากแถมด้วยเสียงกระเส่าอันนุ่มนวลชวนฝันของน้อง Mandy คลอมาด้วยนี่เกินคำบรรยายครับ

ในส่วนของเสียงร้องในเพลงฟังจังหวะกลางๆ ก็คุมโทนเสียงได้ดีครับผมเช่นเพลง And it feels like ของ Leann Rimes ความถี่เสียงกลางไม่ล้าหน้าเสียงอื่นๆ เสียงของ STAX ออกมาโทนอุ่นครับติด dark นิดๆ เหมือนอยู่ตรงกลางระหว่าง Senn 650 กับ W5K ฟังเพลงร้องและ pop เพลินดี

สำหรับเพลงร้อง Audiophile ของ Rebecca pidgeon เพลง Spanish harlem ก็หวานดีครับแต่คนละแบบกับ W5K ของ W5K จะให้เสียงที่เปิด แต่ว่าของ STAX ตัวนี้ออกมาแนวอบอุ่นไม่รีบร้อนร้องไปแบบสบายๆ ทำให้ความเป็นธรรมชาติของเสียงกลางมีสูง

ใครที่ชื่นชอบ Alison Krauss นี่ผมว่าหูตัวนี้หรือหูแบบนี้(Electrostatic)และแอมป์หลอดนี่แหละครับที่เข้ากับเสียงของเธอจริงๆ ผมฟังเพลงของเธอได้หลายๆ เพลงแบบได้อารมณ์สนุกและสดชื่นระคนกันไป



เสียงสูง: ลากได้ยาว เป็นเม็ดยิบๆ และพริ้วมากกกอันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Woo GES ด้วยครับ เพราะหลอดตัวขับเบอร์ 12AX7 ของ Sylvania ที่ส่งไปให้ GE 6S4A ขับออกมาแบบไม่มีเก็บ ปลายหางเสียงของลมที่ผ่านริมฝีปากและไรฟันของ Even rachel wood และปลายเสีียงของฮาร์โมนิก้าในเพลง Black bird ลากได้ยาวและเป็นธรรมชาติ

สำหรับบางแผ่นที่อัดมาไม่ดีนักเสียงมีกัดหูนิดๆ แต่สำหรับแผ่น Audiophile เสียงไม่มีพร่าตรงปลายเสียงเหมือนพวกที่อัดมาไม่ดีหรือว่าความละเอียดไม่มากนัก เสียงทรัมเป็ตและเครื่องดนตรีทองเหลืองที่วง Big band แผดออกมาได้แหลมเชี้ยบตามแบบที่ควรจะเป็นจากเพลง Sing, Sing, Sing ของ Cincinnati pops orchestra และ Sanford&sons ของ Harry james & His Big Band

รายละเอียด: เสียงกดคีย์กระทบแป้นของฮาร์โมนิก้าและเปียโน เสียงไอของนักร้องและคนดูในแผ่นบันทึกการแสดงสดนี่มีให้ได้ยินอยู่ประปราย เสียงดึงและสไลด์สายกีตาร์จากเพลงในแนว Country เช่นเพลงของ Allison krauss, Rascal flatts เสียงแผ่วและกระเพื่อมของสายตอนปลายๆ เสียงนี่โดดออกมาเลยครับ รายละเอียดในโทนเสียงสูงจะเด่นมากสำหรับหูฟังตัวนี้ ทำให้ได้ยินเสียงเหมือนรูดกีตาร์หรือเสียงคนร้องวู้ๆ ซ่อนอยู่หลังเสียง Riff กีตาร์ของ Simple plan อยู่ไกลๆ ตอนเริ่มเพลง When I'm with you ได้ชัดดี

เสียงต่ำ: ทำออกมาได้ดีเกินคาดครับผม ทีแรกที่ได้ยินคุณ ค.. บอกว่า "ใครว่าหู Electrostatic ไม่มีเบส" ผมก็ยังกังขาอยู่ แต่มาวันนี้คลายสงสัยเลยครับ ฟังร็อคได้สบายๆ เลยหละแม้ว่าจะไม่มันส์สุดๆ แบบหูฟังไดนามิคกับแอมป์โซลิดเสตทแต่ผมว่าไม่น่าเกลียดเลยละครับ ผมฟัง Greenday, Simple plan, Dashboard confessional และอีกหลายๆ วงได้สนุกดีไม่รู้สึกว่าขาด แต่ก็ต้องยอมรับอยู่อย่างว่าเสียงจากแผ่นไดอะแฟรมบางๆ เทียบกับเสียงจากคอยส์และกรวยลำโพงก็คงจะสู้ไม่ได้ เบสของ STAX มีคุณภาพครับแต่ว่าอิมแพ็คและเนื้อน้อยไปนิดเมื่อเทียบกับ L3K หุหุหุ ไม่น่ามาเทียบกับเลยแต่ก็เทียบไปแล้ว แต่พอเทียบกับ W5K นี่ผมว่าเบียดๆ นะครับ ส่วนต่ำลึกจริงๆ ก็ต้อง Track นี้เลย Why so serious? The Dark Knight OST ปรากฎว่าทำเอาปวดหูได้เหมือนกันอาจจะบางไปนิดแต่ว่าลงได้ลึกจริงๆ mid bass ไม่ขาดเลยแต่ว่าเสียงอาจจะแปลกหูนิดๆ เพราะว่าเป็นเสียงจากแผ่นฟิลม์
STAX อาจจะขาดเสียงในส่วน upper bass ไปหน่อยแต่ว่าก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะว่ากลางที่อิ่มๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่าขาด

เทียบกับ L3K+Apache combo: หุหุหุ ไปกันคนละทางเลยครับแถมแอมป์ก็ใช้ด้วยกันไม่ได้แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ มีของอยู่ที่บ้านแล้วจะไม่ลองก็ใช่ที่
เริ่มจากมิติก่อนนะครับงานนี้ Combo STAX กินครับผมแต่ว่าไม่ขาดนะ ก็ดีคนละแบบ STAX ได้ลูกโปร่งมีช่องอากาศให้นักดนตรีได้หายใจส่วน Combo L3K ได้ลูกชัดครับ
รายละเอียดมาพอๆ กัน STAX ได้เปรียบนิดหน่อยเรื่องลูกจุกจิกของเสียงเล็กเสียงน้อยนิดเดียวจริงๆ
ไดนามิกงานนี้ขาดครับ L3K เอาไปกินด้วยความฉับไวในการตอบสนองความถี่ที่ดีกว่า เพราะว่า Apache เป็นแอมป์โซลิดเสตทและแรงมีเหลือพอขับให้ L3K แสดงฤทธิ์ออกมาได้เต็มที่
ความถึ่สูง STAX แซงไปเล็กน้อยด้วยความพริ้วที่หลอดมีให้ แถมด้วยหางเสียงที่ลากไปได้ยาวกว่าพอสมควร
ความถี่ต่ำอันนี้คงเดาไม่ยาก L3K ทำคะแนนได้ดีกว่าแต่ว่า STAX ก็โอเคนะเพียงแต่ L3K มันดีกว่ามากพอสมควรแม้เทียบกับหูฟังไดนามิคด้วยกันเอง โน้ตความถี่ต่ำ L3K คุมได้ดีมากครับหากใครเคยฟังจะทราบดี
ความเป็นดนตรีนี่พูดยากครับเพราะว่ามากันคนละแบบแต่ว่าหูสองตัวนี้ขอบอกเลยว่ามาโทนเดียวกัน ไม่น่าเชื่อแต่ว่าผมฟังแล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เสียงติด Dark นิดๆ ด้วยกันทั้งคู่ แต่ว่าฟังเพลินเหมือนกันเพียงแต่ฟังกันคนละแนวเท่านั้นเอง Pop, Easy listening, Jazz&Classic STAX เหมาะมากกว่าส่วน Rock, R&B, Soul, Electronica นี่ L3K ไปได้สวยกว่า



สรุป: มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะบอกว่าผมใช้เวลาประมาณ 10 ชม. เต็มๆ กับหูฟังชุดนี้จากนั้นก็มานั่งจิ้มๆ ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันเพราะผมคิดว่ามีหลายคนที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม คือว่าอยากจะรู้ว่าหูฟังที่เรียกว่า Earspeaker มันเป็นยังไง เสียงจะดีเทพสมคำร่ำลือหรือไม่ หวังว่าที่ผมพิมพ์ให้อ่านกันคงพอให้ภาพได้มั่งว่าเสียงของหูฟังยี่ห้อ STAX มีแนวเสียงออกมาเป็นอย่างไร เพราะว่าจะหาลองกันในบ้านเราคงลำบากเพราะว่าราคามันสูงและเซนซิทีฟอย่างที่บอกไว้แล้ว

ต้องขอขอบคุณ คุณ ค.. ที่อุตส่าห์ใจอ่อนยอมให้ผมเอาน้องหนูคู่นี่มาเชยชมอย่างเต็มที่ถึงบ้าน บอกตรงๆ ว่าที่รีบรีวิวออกมานี่เพราะว่าผมอัดอั้นจริงๆ ครับ ความรู้สึกที่ได้ฟัง Apogee planar เป็นครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง ไม่ได้เวอร์นะครับพูดจริง เพราะแนวเพลงและเสียงที่ผมชอบนี่ STAX ทำคะแนนได้ดีกว่า L3K มากพอสมควรเลย ่แม้ว่าเสียงของ STAX จะไม่ Flat ติด Color พอควรแต่ว่าฟังเพลินดีจริงๆ ครับผม พอนั่งฟังแล้วไม่อยากลุกไปไหน L3K เก็บอยู่ในกล่องไม่ได้เอาออกมาเลยซะด้วยซ้ำหลังจากที่ไปขนกลับมา

ก็แค่นี้แหละครับที่ผมว่าพวกเราต้องการกัน "ฟังเพลงเอาความสุข เพลินจนเวลาผ่านไปไม่รู้ตัว รู้สึกสดชื่นเหมือนย้อนเวลาไปหาคืนวันดีๆ" อยากจะแบ่งความสุขแบบนี้ให้เพื่อนๆ ชาว TAF ทุกคนจังเลยครับ ผมว่าความรู้สึกอยากฟังแต่ไม่ได้ฟังนี่มันทรมานนะ จะหาฟังของดีๆ ที่ใช้เป็นมาตรฐานได้ก็ไม่ค่อยมีใครยอมให้ฟังกันง่ายๆ ซะด้วยสิ เมืองไทยตอนนี้ต้องการมาตรฐานครับไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม หากไม่มีมาตรฐานเราจะแบ่งดีไม่ดีออกจากกันไม่ได้ ก็เริ่มจากเราละกันนะสร้างมาตรฐานดีๆ ให้เกิดในสังคมขึ้นมาให้ได้ ต่างคนต่างจับดีมองข้อเด่นของกันและกันเพื่อจะได้เอามาพัฒนาตัวเรา หากทุกคนช่วยกันทำแบบนี้ได้อีกไม่นานวันคืนที่สดใสคงกลับมา

เอาเป็นว่าผม Pay it Forward ก่อนละกันครับ เริ่มจากจะขนของเท่าที่ขนได้ไป Meeting ที่สุขาฯ ครับ ใครอยากฟัง L3K+Apache+DAC3 งานนี้ใครไปรับรองได้ฟังสมใจแน่ๆ ครับ หากใครมีอะไรแจ๋วๆ จะขนไปได้ก็รวบรวมกันเลยละกันนะครับ พี่ Cactiman เป็นโต้โผติดต่อนำของไปร่วมแชร์ประสบการณ์กันได้เลย ส่วนวันเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันครับ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงนะครับทุกคน Smile



ปล. เสียงไวโอลิน วิโอล่าหรือว่าเชลโล่ที่ได้ยินจาก STAX นี่เทพมากครับ ใครรักเสียงเครื่องสายแบบที่ใช้สีเอานี่ผมว่าคงโดนแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม