วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[เล่าสู่กันฟัง] t.c. electronic konnekt 8

เกริ่น: ตลอดระยะเวลาที่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตั้งแต่เกิดก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์มาเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่เครื่องเล่นแผ่นตัวโตมากๆอันคนทั่วไปเค้าเรียกกันว่า"ตู้เพลง"ที่คุณเตี่ยเอามาตั้งล่อให้คนมาหยอดตังค์ลงไปแล้วมีเสียงเพลงที่เค้าชอบตอบแทนกลับออกมาเพื่อเป็นค่าขนมให้ไอ้ตี๋ตัวน้อยได้พกไปโรงเรียน มาถึงม้วนเทปขนาดเขื่องในโฟลค์บีเทิลคันเก๋าที่ทำให้ต้องผลุบเข้าไปกระโดดโลดเต้นกับเพลงของดิอิมพอสสิเบิล, The Beatles, Elvis, Sir Cliff Richard ที่คุณเตี่ยโปรดปรานทุกครั้งที่มีโอกาสในตอนเด็กเพราะรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินจากลำโพงเจ้าเต่านั้นมันเจ๋งมาก ได้ฟังเพลงจากเทปม้วนเขื่องนั้นทีไรต้องเอามือน้อยๆเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะถูกมั่งผิดมั่งช่างมันขอเพียงได้สนุกตามบทเพลงที่ได้ยินจนกระทั่งม้วนเทปได้ลดขนาดลงมาเป็นม้วน cassette มาตรฐานแบบที่เราคุ้นเคย แล้วก็เริ่มสะสมเพลงจากศิลปินคนโปรดมาเรื่อยๆไล่มาจนถึงยุคของ Digital music คือแผ่น CD ที่ได้เข้ามามีส่วนกับชีวิตทำให้บ้าซื้อแผ่นตั้งแต่ยังไม่มีเครื่องเล่นจนคุณเตี่ยเห็นใจในความบ้าของลูกจำต้องซื้อเครื่อง mini compo แบบมีตัวเลขกำลังขับโคตรอภิมหาวัตต์พร้อมกับมีตัวภาษาอังกฤษตัวเล็กๆห้อยไว้พองามตามมาว่า PMPO[Peak Momentary Performance Output คือกำลังที่เครื่องสามารถจะทนรับได้ในช่วงเวลาแป๊บนึงก่อนจะพัง หิหิหิ]ไว้บนหน้าปัดพอให้รู้ว่าวัตต์ที่บอกไว้นั้นไม่ใช่วัตต์ RMS[Root Mean Square เรียกง่ายๆว่าวัตต์เต็ม]นะเฟ้ย ความต่างของมันอธิบายแบบง่ายๆก็คือว่าตัวเลข 1400 watt PMPO หากเปลี่ยนเป็น Watt RMS อาจจะได้แค่ไม่ถึง 10 Watt แต่ก็ช่างเหอะขอให้มีถาดใส่ CD แล้วเปิดฟังเพลงได้ก็หยวนๆ มาถึงตอนนี้เส้นทางมาม่าก็แจ่มชัดมากขึ้นตามลำดับ ด้วยค่าขนมอันน้อยนิดก็เจียดมาซื้อแผ่น CD เก็บไว้จนสุดท้ายคุณม๊าก็ประชดบอกว่าหากตายไปนี่เอาแผ่นสุมๆแล้วก็เผาได้เลยไม่ต้องเปลืองฟืนของสุสาน

จากนั้นพอเรียนจบในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นเกือบๆจะสูงก็ร่อนออกบ้านไปหากินอยู่ตามผับอยู่สามสี่ปีด้วยความรักในเสียงเพลงที่มีเปี่ยมล้นในหัวใจ ตอนนี้แหละที่ทำให้รู้ว่าตัวเองโง่มากมายเพราะมีอะไรหลายเรื่องให้ได้เรียนรู้จาก sound engineer หูทองฝังเพชรที่มาเล่นปาหี่ปาฏิหารย์ให้ดูบ่อยๆในร้านตอนที่เครื่องเสียงมีปัญหาและจากพี่ๆชมรมหูทองที่คอยมาเป่าหูให้ฟังอยู่เรื่อยๆว่าเสียงที่ดีมันต้อง flat นะน้อง เครื่องที่เจ๋งจริงมันต้องไม่มี EQ หรือ tone control หรือแม้แต่ knob ปรับ balanceให้มันรกหน้าปัด ก็ซึมซับรับทราบกันเรื่อยไปจนมารู้ตัวในทีหลังว่า เออ..สุดท้ายเราก็บ้าเครื่องเสียงไม่น้อยกว่าเค้าเหมือนกันแฮะ ก็เป็นความโชคดีของผมอย่างนึงก็ว่าได้ครับที่ว่าหากสงสัยอะไรก็มักจะมีคนมาช่วยมาตอบให้หายสงสัยอยู่เสมอแต่ก็เป็นส่วนมากที่ไม่มีใครมาให้คำตอบอยู่เหมือนกัน หากเจอแบบนี้ผมก็ใช้วิธีหาข้อมูลเอาเองโดยการซื้อหนังสือบ้างวิ่งไปหาค้นเอาตามห้องสมุดบ้างก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ สมัยโน้นการหาข้อมูลไม่ได้ง่ายเหมือนทุกวันนี้แต่ก็พยายามไปดั้นด้นหาคำตอบให้กับตัวเองจนได้และก็เป็นบางครั้งก็ต้องสุ่มเสี่ยงซื้อมาลองให้รู้กันไปเลย หลายทีก็เสียตังค์ฟรีคือได้ของเกือบดีมาใช้บ้างเหมือนกันแต่ก็ไม่เป็นไรยอมโง่เพื่อจะได้ฉลาดกลับมาในภายหลัง หิหิหิ

มาถึงยุคที่ digital music ได้ครองโลกอย่างเต็มรูปแบบทำให้เราสามารถจะซื้อเพลงและหนังคุณภาพระดับ HD จาก internet ได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีกจึงส่งผลให้ความกระหายใคร่รู้มีมากขึ้นแต่ความขวนขวายจะหามาครอบครองที่เคยมีลดลงไปบ้างเหมือนกันเพราะต้องคอยควบคุมสติตัวเองไว้ไม่ให้ตามใจหูมากนัก หากไม่มีสติและความยั้งคิดดึงไว้ผมว่านะแม้มาม่าก็คงจะต้องเอาออกไปเปิดท้ายขายเลหลังที่ตลาดไทเพื่อเอาเงินมาซื้อของตอบสนองกิเลสตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาซะเลย ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้การฟังเพลงในแบบ Music Server เริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในวงการเครื่องเสียงมากขึ้นเราก็คนชอบลองของใหม่ซะด้วยสิ อย่ากระนั้นเลยซื้อมาลองให้หายสงสัยดีกว่าว่าของมันดีจริงหรือไม่แม้ว่าราคาค่าตัวที่ต้องจ่ายไปเพื่อให้ได้มันมาจะเป็นตัวเงินที่สูงพอควรแต่เพื่อตอบสนองความอยากรู้มันก็ต้องลอง(ไม่แนะนำให้ทำตามครับ) เมื่อได้ลองแล้วก็ขอบอกว่ามันสะดวกมากครับสะดวกกว่าฟังเพลงจากเจ้า CD Transport คู่ใจมากเลย เสียงก็โอเคไม่ขี้เหร่แม้ว่าจะสู้เสียงจากเจ้า Transport ตัวเก่งไม่ได้แต่ก็ถือว่าให้ความบันเทิงได้เป็นอย่างดี

ในวงการนักทำเพลงมืออาชีพยุคนี้เป็นยุคของ Studio ในแบบ Digital สมบูรณ์แบบมีอุปกรณ์เยอะแยะมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้การผลิตงานออกมาสู่ตลาดทำได้สะดวกและรวดเร็วมากที่สุดเพื่อความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ อุปกรณ์ชิ้นนึงที่่ต้องมีก็คือ Audio interface อธิบายง่ายๆให้คนที่ไม่เคยเจอมันมาก่อนให้ได้ทราบว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้เป็นตัวกลางระหว่างเครื่องดนตรี,ไมโครโฟนหรืออุปกรณ์อย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปแบบของอนาล็อคไปเป็นข้อมูลดิจิตอลเพื่อจะได้เอาไป mix หรือจะทำอะไรกับ file นั้นก็ตามแต่ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เปลี่ยน file เสียงในรูปแบบของดิจิตอลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมาเป็นอนาล็อคหรือเป็นเสียงออกมาทางลำโพงหรือหูฟังให้ได้ยินได้ด้วย งงป่ะครับ หากงงก็จงงงต่อไป หะหะหะ

สำหรับเจ้า Audio interface นี้มีอยู่หลากหลายยี่ห้อให้เลือกและมีทั้งที่ใช้ USB และ Firewire ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้ ในส่วนของผมก็เลือกใช้การเชื่อมต่อในแบบ Firewire เพราะว่ามีช่อง firewire ให้ทดลองต่อใช้ดูหากไม่ใช้ก็ใช่ที่อีกเหตุผลที่ผมเลือกใช้ firewire ก็เพราะว่ามันเท่ดีดูเป็นโปรยังไงก็ไม่รู้ หุหุหุ ตัวที่ผมเอามาใช้นี้เป็นของ tc electronic รุ่น konnekt 8 ครับ จุดประสงค์ที่เอามาใช้อาจจะไม่ค่อยตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้ผลิตนักก็คือว่าผมเอามาใช้เป็นตัวปล่อยสัญญาณ S/PDIF จาก Mac mini เข้า DAC ตัวที่ผมใช้อยู่โดยหวังว่าเสียงที่ได้"อาจจะ"ดีมากกว่าเสียงที่ถูกปล่อยออกมาจากช่องต่อ optical ของ Mac mini เอง ระหว่างการทดสอบได้ตั้งค่า Sample rate ไว้ที่ 44.1 kHz เป็นหลักและก็ได้ทดลอง up sample rate ในตอนท้ายของการทดสอบด้วย ไฟล์ที่ใช้เป็น AIFF, Apple lossless, Mp3 ความละเอียดตั้งแต่ 128-320k



อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ:
Sources: iPod Classic, C.E.C. TL 51XR, Mac mini
DAC: Bel Canto e.One DAC3
Cans: L3K[T372/500], STAX SR-007 MK2
Amps: RudiStor EGMONT Classic MkII
Cables: Kimber Silver AGDL XLR Digital, KJ DIgital1, Monster LightSpeed Toslink, Audioquest Cinemaquest 1394-3[4-6 pin], Monster® Digital Firelink Cable Firewire[6-6 pin]
Line Stabilizer: Pure Sine 1000 Max
Firewire Interface: t.t. electronic konnekt 8


Specification: t.c. electronic konnekt 8 <--- คลิกเบาๆได้เลยครับ

รายละเอียด: เรื่องนี้เป็นจุดเด่นของเจ้ากล่องโลหะสีขาวที่จับแล้วเนียนมือมากตัวนี้ครับเสียงที่ออกมาชัดเจนใสกิ๊งทุกเม็ดทำให้ได้ยินทุกรายละเอียดโดยไม่ต้องพยายามฟัง หากเอามาใช้เป็น monitor ใน home studio นี่ขอบอกว่าแจ๋วมากเพราะราคาก็ไม่ได้แพงเกินไปนัก(อยู่ที่ประมาณหมื่นนึง) แต่ว่าถ้าจะนำมาฟัง file ที่ความละเอียดต่ำนี่ หุหุหุ ไม่อยากบอกเลยครับว่าฟังแทบไม่ได้เพราะว่าคุณจะได้ยินปลายเสียงสูงที่แตกเป็นริ้วได้อย่างชัดเจน เจ้าตัวนี้ขี้ฟ้องสุดๆครับถึงได้บอกว่าเหมาะสำหรับเอาไว้ monitor เพลงที่เราทำ ที่ได้ยินรายละเอียดได้ชัดเจนแบบนี้ก็เพราะว่า noise ในตัวของ k8 ตำ่มากๆหากมี noise เยอะเวลาที่นำไปใช้ทำเพลงอาจจะเก็บเสียงได้ไม่ครบถ้วนทำให้ฟังแล้วข้ามรายละเอียดในบางโน้ตไปในตอน mix down

เสียงเบส: เบสของ k8 กระชับ ลงได้ลึกมีเนื้อและ impact ที่พองามไม่มากไม่น้อยจนเกินไป สรุปว่าให้เสียงเบสที่พอดีครับ

เสียงกลาง: ขาดความอบอุ่นไปนิดนึงแต่ก็ถือว่าเข้าขั้นดีรู้สึกเหมือนฟัง CD multi-bit ในยุคแรกของ DENON คือว่าเสียงกลางที่ได้ชัดเจนมากแต่ก็ทำให้ความเป็นธรรมชาติของเสียงร้องขาดเสน่ห์ลงไปบ้าง

เสียงสูง: ลากได้ไกลครับแต่ปลายเสียงห้วนไปหน่อยเพราะความชัดเจนในการนำเสนอของตัว k8 เอง ทำให้เสียง hat กระดิ่งหรือเครื่องเคาะที่เป็นโลหะขาดความกังวาลลงไปนิดนึง

บรรยากาศและความเป็นดนตรี: k8 นำเสนอเพลงออกมาได้ flat มากถึงมากที่สุดตามสไตล์ของอุปกรณ์ใน studio ครับพอเอามาฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายเหมือนจะไม่ใช่ทำมาเพื่อนการนี้ แต่ก็ถือว่าให้ความเป็นดนตรีได้ดีในระดับนึงคือจะเอามาฟังเพลินๆก็ยังพอใช้ได้อยู่ ส่วนในเรื่องของบรรยากาศรายรอบนี้ถือว่าพอใช้ครับฟังเพลงในแบบแสดงสดได้อารมณ์เหมือนต่อตรงฟังจาก mixer ไม่ได้อารมณ์แบบไปนั่งฟังเองใน Concert hall ทำให้ขาดอารมณ์ร่วมไปเหมือนกัน

เทียบกับ Optical out ของ Mac mini: ก็ขอบอกว่าดีกันคนละแบบครับ เสียงจาก k8 ผ่าน DAC3 สด เร็ว โปร่ง กระชับและ flat มากกว่าแต่เสียงจาก Mac mini ผ่อนปรน ติดขุ่นนิดๆ รายละเอียดน้อยกว่าหน่อย เวทีเสียงแคบกว่าแต่ว่าได้เนื้อเสียงกลางและต่ำที่มากขึ้น ถามว่าตัวไหนดีกว่าเท่าที่หูบ้านๆของผมได้ยินก็ขอบอกว่าแล้วแต่รสนิยมครับบางคนชอบสดชัดเร็วแต่บางคนชอบแบบผ่อนคลายฟังแล้วสบายใจ หากถามผมก็ขอบอกว่าแล้วแต่จังหวะอารมณ์ถ้าต้องการฟังเพลงเพื่อจับละเอียด แกะเพลงหรือว่านับเม็ดลูกเล่นแล้ว k8 ดีกว่าแต่ว่าหากจะฟังเอาเพลินผ่อนคลายหรือเปิดฟังเป็น background music แล้วละก็ Digital out ของ Mac mini ทำหน้าที่ได้ดีกว่า

เทียบกับ CD C.E.C. TL 51XR ที่ใช้เป็น transport: รายละเอียดทำได้ดีพอกันครับแต่ว่าความพริ้วไหวของเสียงเพลงนั้น C.E.C. กินขาด และตัว CD C.E.C. คุมจังหวะของตัวโน้ตได้ดีกว่าคาดว่าส่วนหนึ่งมาจาก jitter ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความ match และไม่ match ของอุปกรณ์ที่ใช้ด้วยส่วนนึง ในด้านอื่นๆ C.E.C. ชนะแทบทุกด้านยกเว้นในเรื่องของความ flat ที่ k8 ให้ได้มากกว่า

ผลของเทียบเสียงที่ผ่านการ up sampling กับเสียงที่ไม่ผ่านการup sampling: k8 ปล่อยสัญญาณ digital ได้ค่า sample rate สูงสุดที่ 96 kHz ครับเมื่อลอง up sampling ไฟล์เสียง 44.1 kHz ไปเป็น 96 kHz พบกว่าเสียงโดยรวมๆแทบไม่แตกต่างแต่ว่าสัญญาณ 96 kHz ที่ปล่อยผ่าน DAC3 เสียงมีความพริ้วและต่อเนื่องมากกว่า sample rate 44.1 kHz แต่ปลายเสียงจะติดแข็งขึ้นมาทันทีครับ





สรุป: หากใครยังไม่มี Soundcard ที่สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่า Soundcard หรือ DAC ธรรมดาคือสามารถจะใช้เป็นอุปกรณ์ในการบันทึกเสียงได้ด้วยแล้วละก็ tc konnekt 8 ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ใครที่ต้องการ Headphone amp ที่ flat มากถึงมากท่่ีสุดเมื่อต่อฟังเพลงผ่านช่อง Phone out แล้วละก็ k8 คืออีกหนึ่งตัวเลือกท่านต้องการ ถ้าใครต้องการ Home studio mixer และ monitor ตัวเล็กๆละก็ลองไปทดสอบดูได้ตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ Studio ครับอาจจะติดใจก็ได้นา แต่ว่าใครที่ใช้เครื่อง Mac ที่มีช่อง Digital out แบบ optical อยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มเจ้าตัวนี้เข้ามาในชุดของท่านครับเพราะโดยคุณภาพเสียงที่ได้เพิ่มขึ้นมากับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายออกไปผมว่ายังไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่แต่ถ้าใครอยากได้ตัวปล่อยสัญญาณ S/PDIF เข้า DAC ที่ให้ค่าความเที่ยงตรงของสัญญาณเสียงสูงแล้วละก็อาจลองพิจารณาเจ้าตัวนี้ดูอีกตัวนึงด้วยก็ได้ครับ อีกอย่างเท่าที่ลองสลับสาย firewire ดูระหว่าง Audioquest 4-6 กับ Monster 6-6 พบว่ามีผลกับเสียงที่ออกมาพอสมควรครับรวมไปถึงสาย digital แบบ coax ที่เอาไปต่อกับ dac ด้วยเจ้า k8 นี้ไวต่อสายสัญญาณที่ใช้อยู่เอาการและก็ได้ทราบจากคุณ X ของเราว่า tc ไวต่อ power supply พอสมควรอีกเช่นกัน ใจผมอยากจะลองทำ PSU แบบดีกว่าของเดิมที่ติดมากับเครื่องดูมาลองใช้ดูหากได้ลองแล้วได้ผลเป็นยังไงจะมาแจ้งให้ทราบนะครับ

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าหูเราเองเป็นตัวอ้างอิงที่ดีที่สุดครับเสียงที่ว่าดีก็คือเสียงที่เราฟังแล้วรู้สึกว่าเพราะ เสียงที่ถูกต้องไม่ color หรือว่าคนนั้นคนไหนบอกว่าดีอาจจะไม่ดีสำหรับเราก็ได้ดังนั้นจงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ถ้าไม่ได้ทำงานทางด้านดนตรีโดยตรงอยากให้ฟังเพลงเอาเพลินดีกว่าฟังแบบเอาจริง แม้ว่าเสียงที่ออกมาให้ได้ยินจะ color ไปบ้างหรือว่ารายละเอียดน้อยไปหน่อยก็ตามทีในช่วงเวลาแบบนี้หากชุดที่เรามียังให้ความสุนทรีย์ทางอารมณ์กับเราได้ก็อยู่กับมันไปก่อนเถอะครับ ติดกับเพลงดีกว่าติดกับเครื่องครับ "เราเตือนคุณแล้วนา" หิหิหิ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ Rolling Eyes

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม