วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยคลาสสิค

ส่วนตัวก็ชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นอย่างมากมักจะเก็บแผ่น Score OST (Original movie Soundtrack) ของหนังที่ตัวเองชอบไว้อยู่เสมอๆ คิดว่าวันนึง Score ของภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็คงจะกลายเป็นเพลงอมตะเหมือนกับเพลงคลาสสิคของคีตกวีชั้นเทพๆ เหล่านี้เหมือนกันแต่ต่างกันก็ตรงที่ Composer ของ Score ทั้งหลายดูภาพจากจอแล้วก็จึงแต่งออกมาได้ซึ่งด้อยชั้นกว่าคีตกวีชั้นเทพทั้งหลายตรงที่ว่า "ท่านเหล่านั้นดึงภาพออกมาจากใจแล้วเอาออกมาเขียนเป็นผลงานด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพและนักตัดต่อแบบ Composer ของ score ทั้งหลาย" การที่จะทำแบบนี้ได้ต้องเค้นความสามารถมากกว่ากันหลายเท่านักในการสร้างสรรค์ผลงาน ดังนั้นงานของเหล่าคีตกวีเหล่านั้นจึงเป็นอมตะได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้จนต้องเรียกกันว่าเป็นงานในระดับคลาสสิค

หลายท่านมักจะบอกว่าฟังเพลงคลาสสิคต้องหาบันไดมาด้วยเพราะต้องปีนบันไดฟัง คหสต. คิดว่ามีส่วนถูกนะครับแต่ก็ไม่เสมอไป จริงๆ การฟังเพลงคลาสสิคถ้าจะเอาแบบจริงจังแล้วละก็ยากมากเพราะถ้าอยากรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังก็ต้องไปหาข้อมูลกันยกใหญ่ตอนนี้โชคดีที่มีอากู๋ช่วยทำให้เด็กรุ่นใหม่ๆ สืบค้นอะไรได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนแต่ก็ทำให้เด็กๆ มักง่ายกันเป็นส่วนใหญ่เพราะมีความรู้สึกว่าการไปไล่ตามหา hard copy อ่านในห้องสมุดหรือร้านหนังสือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเสียเวลานั่งหน้าจอแป๊บเดียวก็ได้ข้อมูลตั้งเยอะ อันส่งผลให้การค้นหาข้อมูลแบบเจาะลึกและอารมณ์ในการไล่ล่าตามหาข้อมูลจากผู้รู้ท่านต่างๆ เช่นอดีตนักดนตรี อาจารย์หรือว่าวาทยกรเก่งๆ นั้นหมดรสชาติลงไปเพราะคิดว่าเกินจำเป็นคลิกๆ แล้วก็ทำ C&P ออกมาเป็นรายงานส่งอาจารย์ก็พอให้จบมีปริญญาติดมือออกมาได้เหมือนกัน มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงบทพูดในหนังเรื่อง Indiana Jones ภาคล่าสุดที่ว่า "You want to be a good archaeologist... you've got to get out of the library!" "ถ้าอยากจะเป็นนักโบราณคดีที่ดีแล้วละก็.. หัดออกจากห้องสมุด(มาดูโลกภายนอก)มั่ง"

การเสพเพลงแบบนี้ใช้ใจในการรับรู้รสชาติ หลายๆ ท่านมักจะหลับตาฟังกันเพราะทำให้ปิดตัวเองออกจากสิ่งรบกวนภายนอกให้ใจได้รับอารมณ์จากวาทยกรและวงที่กำลังเล่นอยู่ตรงหน้าให้ได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าวาทยกรและผู้เล่นได้ทราบปูม(หรือว่าตำนานแบบที่คุณแทนบอก)ของบทเพลงชิ้นนั้นมาก่อนแบบเจาะลึกเช่นว่า

1.เพลงนั้นๆ เกี่ยวกับอะไร
2.เหตุการณ์รอบตัวในขณะที่คีตกวีท่านเขียนเพลงออกมานั้นเป็นอย่างไรง่ายๆ ก็คือ ทำไมถึงต้องแต่งเพลงนี้ในช่วงนั้น อารมณ์ประมาณไหน
3.เหตุการณ์โลกในช่วงนั้นเป็นแบบไหนและที่สำคัญ
4.งานชิ้นนี้ได้ใช้หรือว่ามีผลกับคนอื่นๆ ที่ได้ฟังอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น Die Walküre (1870) งานโอเปร่าชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของ Richard Wagner ที่ Francis Ford Coppola เลือกเอามาใช้กับฉากหนึ่งในหนังเรื่อง "Apocalypse Now" ในปี 1979 จนเป็นฉากคลาสสิคฉากหนึ่งของโลกภาพยนตร์จนตอนหลังกลายเป็นว่าถ้าได้ยินเสียงเพลงใน movement นี้ของ Wagner เมื่อไหร่ต้องนึกถึงเสียงเฮลิคอปเตอร์เรื่อยไปจนบางทีได้ถูกนำมาล้อในหนังเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอๆ ตรงนี้ทำให้เห็นว่า movement ที่เรียกว่า Ride of the Valkyrie นี้ Wagner เองเห็นภาพพาหนะบินได้ของเทพโอดินตามตำนานของชาว scandinavian โบราณชัดเจนมากจนคนอื่นๆ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพาหนะที่บินได้ในลักษณะเดียวกันในยุคหลังได้ดี เป็นต้น

ถ้าวาทยกรและนักดนตรีเข้าใจปูมของแต่ละเพลงได้ชัดเจนตรงกันแล้วถ้าใครได้มาฟังก็จะรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้เล่นได้อย่างเต็มที่ แต่่ว่าจะลึกซึ้งเท่าไหร่ก็อยู่ที่ว่าวาทยกรและนักดนตรีเจาะลึกเข้าใจในปูมหลังของบทเพลงนั้นๆ แค่ไหน กระดาษโน๊ตชุดเดียวกันถ้าใน Herbert von Karajan กับคุณบัณฑิต อึ้งรังษีคุมวงคนฟังอาจจะได้อารมณ์ไม่เหมือนกันก็ได้

ทั้งหลายทั้งปวงที่มั่วๆ พิมพ์มานี้ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่เพียงแต่คลาสสิคเท่านั้นที่มีผลกับใจแม้เพลงประเภทอื่นก็เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Rock Jazz หมอลำหรือว่ากันตรึม ที่ต่างกันก็มีแต่ว่ามีผลอย่างไรกับใจเราซึ่งจะทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมกับบทเพลงนั้นๆ แบบไหนมากกว่า ดังนั้นแต่ละคนจะชอบไม่เหมือนกันว่ากันไม่ได้ เช่นผมชอบ Southern Rock คนอื่นอาจจะบอกว่า Speed หรือว่า Progressive เจ๋งกว่านาตรงนี้ก็ได้แต่ต้องมาลองฟังดู เปิดใจแชร์ประสบการณ์แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กันและกันได้ฟังแบบนี้ถึงจะเรียกว่าแต่ละคนได้รับรู้รสเพลง"แบบบูรณาการ"

"ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับทุกท่าน" Smile

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใจแคบ

วันนี้ไปกับเตี่ยเพื่อไปงานประชุมสัมมนาของกระทรวงฯ มาตามหน้าที่ ดูแล้วก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเพราะว่าตั้งแต่ไปร่วมประชุมกับทางกระทรวงและทีมงานมาก็พบว่าทุกอย่างคงจะเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดกันไว้ไม่น่าจะมีอะไรสะดุดเพราะว่าก็ได้ออกความเห็นไปบ้างแล้วพอสมควรระหว่างจัดทำหลักสูตรอบรม

แต่ก็เป็นเรื่องจนได้เมื่อผู้รับผิดชอบในการสัมมนาเกิดอยากโชว์เมพขึ้นมาเผอิญเราก็ไปยืนขวางทางปืนเค้าอยู่พอดิบพอดีเลยมีเรื่องกระทบกันเล็กน้อยพองาม ก็ไม่ว่ากันเพราะต่างคนต่างก็มีมุมมองเป็นของตัวเองยังไงก็ต้องเคารพสิทธิทางความคิดซึ่งกันและกันอยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ต้องกลับมานั่งพิจารณาตัวเองอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกันว่าเราทำเกินไปหรือไม่ระหว่างนั้นอุตส่าห์มีผู้ที่ได้รับลูกหลงขอเข้ามาพบเพื่อจะช่วยไกล่เกลี่ยให้กับทางผู้จัดการประชุมจึงจำเป็นต้องเล่าให้เค้าฟังว่า"ทำไม"เราจึงต้องตำหนิผู้จัดฯ ในทันทีโดยไม่มีรีรอเพื่อให้เค้าได้เข้าใจว่ามันสมควรแก่เหตุเพราะถ้าไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลมในระยะยาวระบบที่ได้ช่วยกันคิดจะพังได้ง่ายๆ เพราะจะกลายเป็นว่าการอบรมที่อุตส่าห์ตั้งใจทำกันมานี้ใช้หลักสูตรตามใจฉันเพียงเพราะความหวังดี(มากไปนิดของผู้จัดฯ)ที่มีให้กับผู้เข้ารับการอบรม ก็ไม่ว่าทางผู้จัดฯ จะเข้าใจหรือไม่ก็ตามทีแต่ก็ถือว่าทำหน้าที่ไปแล้วในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่ดีคนหนึ่งอันพึงจะกระทำแก่ทีมงานเพื่อช่วยให้การอบรมชุดนี้ผ่านพ้นไปได้โดยเรียบร้อยเพื่อจะได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะถ้าจะตำหนิแต่ไม่บอกทางแก้ไขให้ก็คงไม่ใช่ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นหลอกด่าเค้าฟรี

สุดท้ายก็ได้แต่รำพึงกับตัวเองว่าถ้าเราเอางานของตัวเองตั้งไว้ประกอบกับความจริงจังที่มากเกินดีไปหน่อยอาจจะกระทบคนอื่นได้ง่ายๆ เพียงเพราะความใจแคบไม่ยอมเปิดใจกว้างให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในใจบ้างรู้จักแต่จะเอาไม่รู้จักที่จะให้แบบนี้จะแย่ แล้วสุดท้ายด้วยความใจแคบนั้นก็ทำให้ตัวเองอาจจะต้องเดือดร้อนได้ในที่สุด เหมือนกับช่วงเช้าที่เตี่ยได้ยกเป็นตัวอย่างในระหว่างนั่งคุยกันถึง"หมู่ตึกใจแคบ"ที่อยู่ตรงข้ามกับอิมแพ็คเมืองทองที่เจ้าของไม่รู้จักที่จะให้ อุตส่าห์ทำหมู่ตึกขึ้นมาแต่ไม่ทำที่จอดรถมาให้สุดท้ายก็เหลือแต่ตึกตั้งไว้ให้ดูเป็นแท่งๆ เป็นอนุสาวรีย์แห่งความใจแคบไม่มีแบ่งปันให้ได้เห็นเมื่อวิ่งรถผ่านบนทางด่วน...

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถอดใจ

วันนี้อ่านข่าวแล้วเห็นคำสัมภาษณ์ของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์นั้นๆ มันฟ้องว่าบุคคลท่านนี้กำลังถอดใจ อ่านแล้วบอกตามตรงว่าสงสารครับแต่ว่าลูกผู้ชายกล้าที่จะทำก็ต้องกล้าที่จะรับผลกระทบของมันแม้ว่าในเรื่องนี้ตัวเค้าเองไม่ใช่คนที่ก่อเหตุนี้ขึ้นมาก็ตามแต่ว่าหน้าฉากยังไงก็ต้องรับดอกไม้หรือว่าก้อนอิฐจากผู้ชมให้ได้ส่วนจะเก็บเอาไปฝากหลังฉากหรือเปล่าก็คงจะแล้วแต่เห็นสมควร

พอมานั่งวิเคราะห์สาเหตุอยู่เงียบๆ ก็พบว่าเหตุที่ทำให้เค้าถอดใจนั้นเนื่องมาจากตัวเองไม่ได้ประเมินความสามารถของตัวเองหรือว่าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริงไป(เยอะเลย) บอกตามตรงว่าเคยเกิดปัญหานี้กับตัวเองมาก่อนคือเคย"ถอดใจ"เหมือนกันเพราะว่าเราประเมินความสามารถของตนสูงไปพอรับงานที่เค้ามอบหมายมาทำแล้วเจอปัญหาที่ไม่เคยคิดเตรียมไว้ก่อนว่าจะเจอตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อเกิดอาการถอดใจแลัวเรามีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้นคือ "เลิก" หรือว่า "ลุย"

ในกรณีของผมเองผมเลือกจะลุยแต่ว่าถ้าลุยเดี่ยวก็ตายเปล่าเลยพยายามเสาะแสวงหาตัวช่วยจากแผนกอื่นๆ มาเติม ซึ่งสุดท้ายงานก็ผ่านไปถึงจุดที่ต้องการเหมือนกันแม้จะไม่มากเท่ากับที่หวังไว้ลึกๆ ในใจแต่อย่างน้อยงานก็ไม่เสียเพราะว่าเรายอมรับความสามารถของตัวเองได้ในที่สุดว่า"มือไม่ถึงยังไงมันก็คือมือไม่ถึง" ดังนั้นถ้ายอมรับได้แบบนี้แล้วก็หาคนมาช่วยซะแม้มือเราจะไม่ถึงก็อาศัยขี่คอเค้าเอาในที่สุดเราก็จะสามารถเหยียดมือขึ้นไปหยิบสิ่งที่เราต้องการอันอยู่บนที่สูงในจุดที่ว่าเพียงเราโดยลำพังก็คงไม่อาจจะเอื้ยมถึงได้

ขอให้หมั่นประเมินตัวเองซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนก็ยอมรับซะแล้วก็ไปเสาะแสวงหาตัวช่วยมาเสริม แล้วสักวันหนึ่งเราก็คงจะมือถึงได้เหมือนกับคนอื่นๆ เขา..

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มองออกจากตัว มองกลับมาหาตัว

อาทิตย์ก่อนได้อ่านเมลที่ส่งกันระหว่างกลุ่มเพื่อนตามปกติที่เคยทำปรากฎว่ามีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นคือเพื่อนทะเลาะกันด้วยเรื่องของใครก็ไม่รู้เนื่องจากมีเหตุอันเกิดจากอคติส่วนตัวซึ่งมักจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

ถ้าศึกษากันจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับย้อนไปเท่าที่มีการบันทึกก็จะพบว่าปัญหากที่เกิดจากการกระทบกระทั่งของคนสองคนหรือจะเป็นกลุ่มชนสองกลุ่มไปจนกระทั่งถึงการกระทบกันระหว่างประเทศสองประเทศล้วนมีสาเหตุมาจากอคติทั้งสิ้น ดั้งนั้นในที่ทำงานในฐานะหัวหน้างานคนหนึ่งก็อยากจะบอกว่าแม้ตัวเองก็พยายามจะเตือนตัวเองอยู่เป็นประจำว่าอย่ามีอคติกับลูกน้องเพราะว่านั่นอาจจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาลุกลามไปในแผนกได้แต่สุดท้ายแม้จะระวังตัวดีแค่ไหนก็ตามก็มักจะเผลอมีอคติอยู่เรื่อยซึ่งเท่าที่ศึกษามาก็พบว่าอคตินั้นมีอยู่แค่สี่ประเภทใหญ่ๆ แค่นั้นเองคือ

1. อคติที่เกิดจากความรักหรือชอบ
2.อคติที่เกิดจากความเกลียดหรือโกรธ
3.อคติเพราะโง่รู้ไม่ทันหรือถูกหลอก
4.อคติที่เกิดเพราะกลัว

ที่ตัวเองเผลอมีอคติ(ตัวชี้วัดว่ามีอคติเกิดขึ้นก็คือ ผู้ที่ควรได้รับกลับไม่ได้สิ่งที่ควรได้ ผู้ที่ไม่ควรได้กลับได้สิ่งที่ไม่สมควรจะได้)ส่วนมากเกิดจากความไม่รู้เพราะข้อมูลที่ไม่พอซึ่งก็คงจะต้องแก้ไขกันต่อไปเอากันเป็นวันๆ ก็แล้วกันแก้ไขกันไปไกลมากกว่านั้นเสียเวลาเพราะการจะแก้นิสัยได้ต้องอาศัยความสมำ่เสมอและการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองให้ได้ก่อน ดังนั้นการคิดแก้ไปในแต่ละวันมีความเป็นไปได้สูงที่เรามักจะไม่ค่อยเข้าข้างตัวเองมากเท่าไหร่เพราะเหตุการณ์พึ่งเกิดสดๆ ยังพอคิดตรองตามได้ไม่ยากแต่ถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะลืมได้จึงต้องว่ากันเป็นวันๆ ไป

ย้อนกลับมาเรื่องที่เพื่อนทะเลาะกันอีกที ด้วยความที่เป็นคนชอบยื่นจมูกไปเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้านเลยส่งอีเมลไปเล่าเรื่องอะไรเล่นๆ ให้เค้าได้อ่านกันโดยหวังว่าจะให้สติเพื่อนที่กำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง(เรื่องสีเสื้อ) โดยมีข้อสรุปส่งท้ายอีเมลไปว่า

"อยากจะบอกว่า "อย่าตกเป็นเหยื่อความเชื่อของตัวเอง" นะเพื่อนๆ จับดีกันไว้ให้เยอะๆ จุดดำบนกระดาษขาวมักจะเด่นกว่าสีขาวของกระดาษทั้งแผ่น เรื่องไม่ดีแม้ไม่ได้ตั้งใจมองก็เห็นได้ชัดเรื่องดีๆ มีให้เห็นตั้งเยอะแต่คนมักเลือกจะไม่มองมัน น่าเสียดาย.. ขอให้มีความสุขมากๆ เน้อ"

ก็คิดว่าคงเตือนสติกันได้บ้างไม่มากก็น้อยแต่สุดท้ายก็เจอว่าคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมีเหตุมีผลในการแสดงความเห็นกลับไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ ที่พิมพ์ไปให้อ่านจะโดยสาเหตุใดก็ตามที แต่ถ้าให้เดาก็คิดว่าเค้ากำลังสับสนกับคำว่า "เป็นตัวของตัวเอง กับ ตามใจตัวเอง" อยู่จึงไม่สนใจเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าใครที่คิดไม่ตรงกับตนมักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ

ถึงตอนนี้ก็ต้องชั่งใจแล้วหละว่าจะตอบอีเมลกลับไปดีหรือไม่ แต่ก็คิดว่าถ้าตอบกลับไปก็จะกลายเป็นเติมเชื้อไฟให้เกิดขึ้นอีกดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็ต่างคนต่างอยู่ละกันแล้ววันหนึ่งคนๆ นั้นก็คงจะเจอผลที่ตัวเองได้"ตามใจตัวเองจนเคย"ในที่สุด ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า"ขออย่าให้เป็นแบบเค้าเลย" เหตุเกิดเพราะเอาแต่มองออกจากตัวไปจับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยมองกลับมาจับผิดตัวเองจึงกลายเป็นแบบนี้ "ขออย่าได้เป็นแบบนี้เลย"...

[แนะนำ] The Prestige

ผมชอบในส่วนของโปรดักชั่นของภาพยนตร์ครับเครื่องแต่งกายก็เป็นอย่างนึงที่ทำได้ประณีตมากอุปกรณ์ประกอบฉากยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับก็สมแล้วก็ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัล Oscar ในสาขา Best Achievement in Art Direction และ Cinematography ดารานักแสดงทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทั้งคู่หูจาก Batmans ชุดล่าสุดคือ Christian Bale,'The Great' Michael Caine และอีกคนที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ Hugh Jackman ที่แม้ว่าจะดังขึ้นมาในหนังในแนวแอคชั่นแฟนตาซีแต่่นักแสดงชาวออสซี่คนนี้แสดงบทที่ต้องใช้อารมณ์ได้ดีมากทำให้ตัวละครที่เค้ารับบทในหนังทุกเรื่องมีมิติหากไม่ได้เค้ามาแสดงเป็น Wolverine ผมว่า X-Men คงไม่เปรี้ยงขนาดนี้ ขอคารวะ Chris Nolan ครับคุณเจ๋งมากที่เลือกดาราและทีมงานได้ดี

ในยุคนั้นผมว่าเป็นช่วงที่มีเสน่ห์ยุคนึงของโลกเลยนะเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นในทุกด้านไม่่ว่าจะเป็นเรื่องของการแพทย์ วิชาการ เทคโนโลยีและธุรกิจทำให้ทีมงานผู้สร้างสามารถจะแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่เพราะมีเรื่องให้เล่นได้เยอะมาก แต่ยังไงก็ตามไม่ว่าจะสร้างสรรค์งานศิลป์และถ่ายภาพออกมาได้สวยแค่ไหนก็ตามหากบทไม่ได้เรื่องแล้วภาพยนตร์ก็จะหมดคุณค่าและความสนุกลงไปในทันทีแต่ The Prestige มีบทภาพยนตร์ที่มีลีลาพริ้วไหวมากครับนับว่าผู้กำกับและทีมงานตีโจทย์แตกในส่วนนี้เพราะตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนถึงตอนจบเหมือนเราได้นั่งดูมายากลชั้นยอดดีๆนี่เองพอถึงจุดสุดยอดของการแสดงกลที่เรียกว่า The Prestige ก็ทำให้ผู้ชมชื่นชอบชื่นชมตื่นเต้นและมีความสุขอย่างเต็มอิ่มทำให้ลุกขึ้นปรบมือให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเลย

ข้อคิดที่ได้: โลกนี้เป็นโลกของการแลกเปลี่ยน"ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี" ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจจะทำอะไรลงไปต้องคิดให้รอบคอบและระมัดระวังให้มากเพื่อป้องกันไม่ให้ผลที่เกิดตามมาจากการกระทำนั้นกลับมาให้โทษกับตัวเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ทุกเรื่องพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีได้ตลอดดังนั้นคิดให้มากและไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจะทำอะไรลงไปครับ ชีวิตของเราไม่ใช่มายากลหรือการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ว่าหากพลาดแล้วก็เริ่มใหม่กันได้ง่ายๆ เราย้อนเวลาไม่ได้ครับดังนันจึง"ไม่มีคำว่าแก้ตัว"มีแต่ทำใหม่เพื่อแก้ไขความผิดพลาดเดิมเท่านั้น

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

[แนะนำ] In Bruges

สำหรับเรื่องนี้ขอบอกว่า

"สวย" หนังถ่ายภาพออกมาค่อนข้างสวยครับดูแล้วอยากไปเที่ยวเลย

"ร้าย" เป็นหนังตลกร้าย ที่ยิงมุกแรงๆมาเป็นระยะพอให้มึนเล็กๆ

"แรง" เรื่องราวในเรื่องแรงดีครับหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเราคงหาทางออกให้กันและกันได้ยาก

"ลึก" ปูพื้นความลึกให้กับตัวละครได้ดีครับทำให้บทสรุปในตอนท้ายค่อนข้างทรงพลัง

ผมชอบเมืองในเบลเยี่ยมนะครับออกไปเดินตอนเช้าๆในลานคนเมืองนี่บรรยากาศเหมือนเทพนิยายดังที่ในหนังเค้าว่าไว้ ร้านกาแฟเล็กๆข้างทางและบ้านเรือนที่ปลูกติดๆกันเป็นแพดูแล้วแปลกตาดีชอบจัง

Rolling Eyes

No Country for Old Man

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีอะไรจะพูดที่มากไปกว่าที่ว่ามัน"ลึก"ครับ ลึกมากจนคนธรรมดาแบบเราๆ เข้าถึงได้ยากพอสมควรในเรื่องของการตีความสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในเรื่องและบทพูดที่คนเขียนบทคงจะคิดว่า "เออ บทแบบนี้นี่แหละเจ๋ง เขียนไปแบบนี้กูได้ Oscar ชัวร์เพราะว่ากรรมการดูจบแล้วคงจะงง พองงแล้วเดี๋ยวก็ให้รางวัลเราเองแหละ" อันนี้คงต้องไปถามคนเขียนบทแล้วพี่ว่าบทพูดของลุงทอมก่อนจบเรื่องนี้เค้าหมายความว่าไง เพราะว่าคนล้านแปดแสนสามหมื่นกับอีกห้าสิบสองคนที่เข้าไปดู(หุหุหุ ข้อมูลแน่นดีป่ะพี่ มั่วแบบแน่นๆ นะ)ออกโรงมาก็คงจะงงพอๆ กับคณะกรรมการนั่นแหละ แต่ก็คงกลัวคนอื่นจะหาว่าเราไม่เจ๋งเลยต้องพูดออกมาในทำนองที่ว่า "เออ เจ๋งจริงแฮะเรื่องนี้" ทั้งหมดนี้ผมล้อเล่นนะ หุหุหุ Laughing

การตีความหมายของหนังนี่คงแล้วแต่ประสบการณ์และก็ความอ้าตต(เสียงประมาณพี่โน้ตเดี่ยวฯ)ของคนตีความครับ ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะคิดยังไงหรือคนเขียนบทจะบอกอะไรกับเรา ของเพียงเราดูแล้ว"ได้"หลังจากเสียตังค์เข้าไปดู ส่วนจะได้อะไรก็อีกเรื่องนึงนะครับ หุหุหุ

สำหรับเรื่องนี้สิ่งที่ผม"ได้"ก็คือ"ปม"อันเกิดมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่และผู้ปกครองที่ทิ้งไว้ให้กับเด็กครับ แม้ว่าเค้าจะโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้วหรือแม้แต่จะแก่จะเข้าโรงอยู่รอมร่อแต่ปมที่มีอยู่ในใจก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน เด็กโตมาจะเป็นคนแบบไหนผู้ปกครองนั่นแหละที่เป็นคนสร้างขึ้นมาเองด้วยหนึ่งสมองและสองมือของท่านครับ

ตัวละครของ Javier Bardem ที่ชื่อว่า Anton Chigurh นี่ก็โรคจิตแท้ๆ ครับท่าน ผมว่าคงติดอันดับโรคจิตหนึ่งในสิบตลอดกาลของของ Hollywood แน่เลยหละ บทโหดคอดๆ แต่ชื่อก็หวานคอดๆ เหมือนกันคนบ้าอะไรชื่อน้ำตาล หุหุ ตัวนี้ก็มี"ปม"อยู่ในใจที่ไม่กล้าจะแสดงความรู้สึกและความต้องการของตนเองออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ แต่พอพึงเวลาที่พอเหมาะเขาก็จะแสดงออกมาโดยที่ไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรเลยว่าคนอื่นจะได้รับผลอย่างไร ในที่นี้ผลที่คนอื่นได้รับก็คือความตายนั่นเอง บางทีก็ดูเหมือนว่าเค้าจะให้คนอื่นได้เลือกบ้างเหมือนกันนะโดยที่เค้าจะให้โยนเหรียญเป็นทางรอดหากว่าทายถูก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตัวChigurhเองมีคำตอบอยู่แล้วว่าต้องการจะทำอะไรกับเหยื่อคนนั้น จะฆ่าหรือว่าจะปล่อย เหมือนกับที่เหยื่อคนนึงบอกกับตัว Chigurh ว่า "เหริยญมันไม่ได้ให้คำตอบหรอก แต่เป็นตัวคุณนั่นแหละ"

คนที่มีลักษณะแบบนี้นั้นมีปมในใจที่ติดมาจากผู้ปกครองแน่ๆ ครับแต่ปมนั้นจะเป็นอะไรนี่ไม่ทราบเหมือนกันแต่นี่แหละครับความลึกของบทที่ทำให้เรื่องนี้ได้ Oscar มาครองตั้งหลายตัวแน่ะ ความลึกที่ว่านี้คือมิติของตัวละครว่ามีปูมหลังมายังไงทำไมถึงได้โรคจิตคอดๆ แบบนี้ ในเรื่องนี้ไม่ได้บอกที่มาให้รู้ครับผมเลยต้องเดาเอาเอง หุหุหุ

ส่วนตัวละครของลุงทอมเรานี่ที่ชื่อว่า Ed Tom Bell กับบทพูดปิดท้ายเรื่องที่พล่ามไปเรื่อยถึงความฝันที่มีภาพของ"พ่อ"ในวัยหนุ่มที่อยู่ในนั้น ภาพของพ่อในฝันคือภาพที่อยู่ในจิตใต้สำนึกอันเกิดมาจากความประทับใจว่าพ่อจะอยู่ช่วยแกเสมอทุกครั้งในยามที่แกต้องการ ภาพของพ่อนี้คือ"ปม"ดีที่อยู่ในใจแก และตอนนี้แกกำลังต้องการให้พ่อช่วยให้พ้นจากสิ่งค้างคาในใจของแกส่วนจะค้างอะไรนั้นหากใครยังไม่ได้ดูลองไปหามาดูครับ แกคงรู้สึกว่าคนแก่ๆ แบบแกนั้นไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่นแล้วแม้แต่พ่อที่เคยช่วยแกมาตลอดยังไม่ช่วยแกเลยอะไรประมาณนี้ นี่ก็คงเป็นที่มาของชื่อเรื่องที่ว่า No Country for Old Men ลุงทอมแกคงเซ็งชีวิตเต็มทน ดูจากสีหน้าและแววตาของแกในตอนจบได้ครับ เฮ้อ น่าเห็นใจ

พอดูหนังเรื่องนี้จบสิ่งที่ผมได้ก็คือ"ปม"ดีจากพ่อของ Ed Tom Bell ที่มาจากบทพูดส่งท้ายในหนังและ"ปม"ด้อยของ Anton Chigurh ที่มาจากผู้ปกครองที่เลี้ยงมาอย่างดีมากๆ จนทำให้พี่แกมีทรงผมที่เท่ห์คอดๆ และโรคจิตได้สุดยิดขนาดนี้ หุหุหุ Laughing

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

T h e D a r k K n i g h t : S u p e r h e r o w h y s o s e r i o u s ?



หนังซุปเปอร์ฮีโร่ออกมาเยอะจริงๆ ครับช่วงนี้ดูกันฉ่ำไปเลย ล่าสุดก็เรื่องนี้ "อัศวินรัตติกาล" หลังจากที่ถูกเจ้าของกระทู้กระตุ้นต่อมความอยากจนพองโตได้ที่ก็ถึงเวลาไปดูซะที

ถือว่าทำออกมาได้ดีมากครับเมื่อเทียบกับหนังแนวนี้อีกหลายๆ เรื่อง ช่วงหลังมานี้รู้สึกเหมือนกับว่า Hollywood พยายามทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่ให้ออกมาสมจริงมากที่สุดบางเรื่องก็ดีบางเรื่องก็ออกมาแย่ สำหรับ Christopher Nolan ผู้กำกับสุดยอดฝีมือคนนี้ถือว่าฝีมือไม่ตกเมื่อเทียบกับตอนทำ Batman Begins ซึ่งผมชอบมาก พอมาถึงภาคต่อนี้เค้าทำได้ดีกว่าเดิมซะอีกครับอันนี้ต้องชมและก็คงมีหลายๆ คนคิดเหมือนกับผมทั้งในประเทศไทยและที่อเมริกาจนทำให้เรื่องนี้ขึ้นอันดับ 1 ไปแล้วตามความคาดหมาย

เนื้อหา: สรุปสั้นๆ ว่า"หนัก"ครับ หุหุหุ เอาเด็กไปดูด้วยอาจจะแรงไปนิดสำหรับบางฉากแต่โดยรวมถือว่าออกมาดีครับ ตัวละครทุกตัวนั้นผู้กำกับให้ที่มาที่ไปของบุคลิกและนิสัยออกมาได้อย่างชัดเจนมีการพัฒนาบุคลิกตัวละครได้เป็นขึ้นเป็นตอนดีครับ นักแสดงส่งบทซึ่งกันและกันได้ดีมากคนคัดเลือกตัวแสดงนี่เจ๋งจริงๆ หามาแต่ละคนนี่เข้ากับบทมากเลยไล่ตั้งแต่ Christian Bale, Heath Ledger, Aaron Eckhart สามตัวแสดงหลักและอีกหลายๆ คนซึ่งก็นับว่าเป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งสิ้นเช่น ดาราพันบุคลิก Gary Oldman คุณลุงอัจฉริยะ Morgan Freeman และก็ The Great Michael Caine ที่แสดงเป็น Alfred ที่เล่นจนทำให้เชื่อได้ว่าต้องมีพี่เลี้ยงแบบนี้สิ Bruce Wayne เลยสามารถออกมาต่อกรกับเหล่าร้ายในยามราตรีได้อย่างสมเหตุสมผลไม่ได้เก่งเกินคนปกติมากเกินไป

การออกแบบชุดในภาคนี้ทำออกมาได้ดีจนมีคำชมและคำด่าตั้งแต่หนังยังไม่ทันได้ลงโรงเลยถือว่าเยี่ยมครับในเชิงการตลาด เพราะว่าไม่ว่าจะชมหรือว่าด่าก็แสดงว่าชุดนั้นออกแบบมาได้โดนใจแต่จะโดนยังไงนี่อีกเรื่อง หุหุหุ แต่ผมชอบนะเหมือนเป็น Batsuit ใน Combat Mode ดูทะมันทะแมงและคล่องตัวดีครับ เครื่องแต่งกายของตัวละครอื่นๆ ก็เจ๋งครับชุด Joker สีม่วงนะฮ้าก็ทำออกมาดูดีทะมัดทะแมงเข้ากับหุ่นของ Heath Ledger ชุดสูทของ Harvey Dent/Two-Face ก็ดูขรึมหนักแน่นดูแล้วจริงจังเข้ากับบุคลิกของตัวละครมาก



ที่เด่นสุดๆ เลยสำหรับเรืองนี้ก็คงต้องยกนิ้วโป้งทั้งสี่โป้งหมดตัวเลยให้กับ Heath Ledger ครับแสดงได้เนียนมาก สะท้อนภาพของคนที่ต้องเจอเหตุการณ์แรงๆ ทั้งชีวิตออกมาได้ดี ตา Heath แกแสดงทั้งตัวครับทั้งหน้าตาท่าทางออกหมดเวลาที่สวมบทบาทอย่างนี้สิครับเลยทำให้เครียดมากขนาดนั้น ผมว่า Jack nicholson ตอนเล่นเป็น Joker นี่แสดงได้แจ๋วนะพอมาเจอตา Heath นี่ลุง Jack ก็ลุง Jack เหอะอายม้วนได้เหมือนกันแหละเพราะหากจะมีตัวร้ายซักตัวที่เป็นคู่ต่อกรที่เก่งที่สุดของ Batman บุคลิกก็ต้องออกมาแบบนี้เลยโดยเฉพาะตอนที่แกเลียฝีปากนี่ผมขอชมจากใจเลย ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตา Heath ไปทำการบ้านมายังไงเลยรู้ว่าคนที่ถูกกรีดปากนั้นต้องเลียปากเป็นระยะๆ ทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ ที่ถูกพี่ชายเตะปากฉีกแต่ไม่ได้ฉีกเว่อร์แบบ Joker นะครับ หุหุหุ ตอนนั้นนี่ทำเอาผมต้องเลียแผลที่ปากเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัยกว่าจะแก้ได้นี่ก็หลายปีเหมือนกัน ถือว่าตา Heath เจ๋งครับที่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ธรรมดานี้ได้เลยทำให้บท Joker ที่แกเล่นออกมาลึกมาก

คนอื่นๆ ก็แสดงได้ดีนะครับผมว่าแสดงได้ดีมากหมดทุกตัวเลยหละ หากจะมีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ซักเรื่องที่เข้าชิงหนังในสาขาหนังยอดเยี่ยมละก็ผมเชียร์เรื่องนี้ครับ บทลึกดีแถมมีบทสนทนาคมๆ ให้ได้ฟังเป็นระยะๆ อีกด้วย



สรุป: หนังเรื่องนี้ยาวพอควรครับแต่ก็ไม่น่าเบื่อเลยเครียดกันได้ตลอดตั้งแต่เริ่มเรื่องให้มันได้อย่างนี้สิพ่อ Nolan นายแน่มาก หุหุหุ ความลึกของบทสนทนาและคำพูดคมๆ ที่มีให้ฟังก็เจ๋งดีครับ เทคนิคทางด้านภาพที่สมจริง การถ่ายภาพนี่สะท้อนชื่อเรื่องออกมาได้ดีครับถ่ายออกมาได้มืดตามอารมณ์ของหนังและสวยมากครับแต่ว่า Gotham city นี่เป็นชื่อเล่นของ New york แต่ดูจากในหนังแล้วพวกคงไปถ่ายที่ Chicago ที่ผังเมืองดูดีมากกว่าเหมือนที่เคยทำมาในภาคทีแล้ว แต่ขอบอกว่าถ่ายภาพเมืองตอนกลางคืนออกมาได้สวยงามมากครับทำให้ภาพของฉากกลางคืนออกมาดูดีเพราะว่าที่นั่นเค้าให้ทุกตึกเปิดไฟประมาณ 30% เพื่อทัศนียภาพที่สวยงามในตอนกลางคืน ดูเค้าทำสิเปลืองไฟน่าดู แต่เพราะเหตุนี้แหละเลยเข้ากับหนังของเราเลยเพราะพระเอกมักจะออกมาล่าเหยื่อตอนดึกๆ หุหุ ฉากการต่อสู้ก็ทำได้ดีครับดูรุนแรงสมจริงดี เพลงประกอบของสองผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ Score คือ Hans Zimmer&James Newton Howard ทำออกมาได้เยี่ยมครับได้อารมณ์มืดๆ ดี

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เราไม่ควรจะจริงจังกับงานที่ทำมากจนเกินไป ขอเพียงทำทุกอย่างให้เต็มที่เต็มกำลัง เคร่งครัดได้แต่อย่างเคร่งเครียดเพราะว่าหากเราจริงจังมากเกินไปแล้วเมื่อไหร่ที่ผลของงานและเพื่อนร่วมงานไม่เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ หากเราทนกับมันไม่ได้ทำนบกั้นน้ำโหในใจอาจจะทลายออกมา เมื่อนั้นแหละไม่เพียงแต่คนอื่นจะเดือดร้อน แต่ที่เดือดร้อนมากกว่าก็คือตัวเราเอง คนเราไม่มีคำว่าแก้ตัวครับเพราะว่าเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ดังนั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันดีกว่าเนอะ อย่าไปจริงจังกับชีวิตนักเลยครับ เหมือนกับคำพูดติดปากที่ Joker ชอบพูดว่า

w h y s o s e r i o u s ? Laughing

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

H A N C O C K ฮีโร่ชั้นเทพ(หรือเปล่า)



สองสามเดือนมานี้มีหนัง Superhero มาให้เราได้ดูกันสองสามเรื่องติดต่อกันเพราะว่าเป็นช่วงของเทศกาลหนัง Summer ตามสถิติแล้วจะเป็นช่วงที่คนในอเมริกาดูหนังกันมากที่สุดโดยเฉพาะวันในหยุดสำคัญอย่างเช่น Independenceday วันประกาศอิสรภาพของเมกาในวันที่ 4 กรกฎาคมที่ถึงกับมีการเอามาตั้งเป็นชื่อหนังสุดฮิตตลอดกาล ID4 อีกด้วยซึ่งก็มีพระเอกหนุ่มผิวใสกิ๊ง Will smith เล่นเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง
ในปีนี้อีกเช่นกันมีการเปิดตัวหนัง Superhero ที่ชื่อว่า Hancock จะด้วยบังเอิญหรือไม่ก็ตามก็มี Will smith เล่นเป็นตัวนำอีกครั้งแถมชื่อพระเอกในเรื่องก็คือ John Hancock ผู้ที่ลงนามประกาศอิสรภาพให้กับประเทศอเมริกาในวันที่ 4 กรกฎาคมปี 1776 ฝ่ายการตลาดก็ช่างสรรหาเสียจริงเลือกทั้งชื่อเรื่องเลือกทั้งเวลาเปิดตัว ไม่ธรรมดานับถือๆ แถมเลือกเรทให้เป็น PG-13 อีกต่างหากผู้ปกครองต้องเป็นคนพาเด็กไปดูด้วย ผมว่าถูกต้องมากครับที่ทำแบบนั้นเพราะหลายฉากต้องการคำอธิบายจากผู้ปกครองให้แก่เด็ก ถือว่ายิงนกทีเดียวได้ทั้งครอบครัว แน่จริงๆ หุหุหุ



หนังเปิดเรื่องด้วยการไล่ล่าบน Freeway 110 กลางเมืองแอลเอเพื่อปูพื้นตัวละครให้ผู้ชมได้ทราบถึงบุคลิกภาพส่วนตัวของพระเอกซึ่งที่ทำได้ค่อนข้างกระชับและอธิบายความเป็น Hancock ฮีโร่ที่แหวกแนวฮีโร่คนอื่นได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็เดินเรื่องไปเรื่อยๆ มีฉาก action โผล่มาเป็นระยะ มีการใส่บทพูดขำๆ ออกมาเพียบในช่วงแรกของหนัง แอบเนือยในช่วงกลางเรื่องแล้วก็กลับไปสรุปท้ายให้กับหนังได้ค่อนข้างดี แต่ผมว่าผู้กำกับและคนเขียนบทพยายามมากไปนิดที่ใส่ความลึกให้กับตัวละครโดยให้เล่นกับอารมณ์หลายๆ แบบ สำหรับหนัง Superhero นั้นการเล่นกับอารมณ์หลากหลายเช่นนี้ผมว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่เพราะคนที่เข้าไปดูคงคาดหวังว่าจะได้เจอฉาก Action มันส์ๆ มีฉากพังบ้านเมืองกันให้ถล่มทลายให้ดูตามแบบฉบับของหนังแนวนี้ที่ทำมาก่อนหน้าแต่ยกเว้น HULK ภาคแรกที่พี่อังลีกำกับไว้เรื่องนึง เพราะว่าเรื่องนั้นกลายเป็นหนัง Drama นำเสนออัตชีวประวัติของ Bruce banner และ The Hulk ไปเลย แต่ผมชอบนะถือว่ากล้าดีแถมมีเล่นมุมกล้องแบบอ่านการ์ตูนอยู่อีกต่างหาก หุหุหุ Very Happy

Hancock เป็นฮีโร่นอกคอกก็ว่าได้เพราะแกเล่นแหวกกฎของการเป็นฮีโร่ทิ้งซะเกือบหมดคือทั้งติดเหล้า ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่น สนใจแต่ตัวเอง พูดคำสบถคำตามด้วยเด็กๆ และชาวบ้านชาวเมืองก็ไม่ค่อยปลื้มแถมออกจะเกลียดแกอีกซะด้วยซ้ำไปตรงนี้แหละครับน่าสนใจดี ผมว่าตาวิลแกเท่ห์ดีครับ



ในความรู้สึกของผม Hancock เหมือนกันโฆษณายาวๆ เรื่องนึงเพื่อนำเสนอวิถีชิวิตของความเป็นอเมริกันชนเแบบเต็มๆ มีการอัดสินค้าของเมกาเข้าไปเพียบ เลือกออกโรงฉายในช่วงวันหยุดวันชาติอีกต่างหาก แถมชื่อเรื่องก็เป็นชื่อของคนที่ลงนามประกาศอิสภาพด้วย อีกอย่างเศรษฐกิจไอ้กันค่อนข้างแย่เลยต้องกระตุ้นให้ใช้สินค้าของตัวเองหน่อยเพราะถูกสินค้าของอาหมวยพี่ยุ่นน้องแดจังกึมเข้าไปตีตลาดซะเยอะเงินเลยไหลออกประเทศเป็นจำนวนมหาศาล อุ้ย ขอโทษครับลืมตัว รีวิวหนังจะกลายเป็นวิเคราะห์เศรษฐกิจไปซะแล้ว หุหุหุ

ประเด็นที่เค้านำเสนอค่อนข้างชัดในเรื่องของความเป็นอเมริกัน หนังเริ่มจากแอลเอเมืองทางฝั่งตะวันตกที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่เมื่อก่อนภาพที่คุ้นตาในเมืองแอลเอก็คือมี homeless แบบที่พระเอกของเราเป็นในช่วงแรกของเรื่องเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมดปัจจุบันได้ถูกเคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว homeless เป็นกลุ่มบุคคลที่สังคมรังเกียจที่ถูกมองว่าคิดเอาแต่ได้ ขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรอาศัยตั๋วแลกอาหารจากรัฐฯ ที่เอาเงินภาษีมาจ่ายให้ อาศัยอยู่ในรถ Mobile home โทรมๆไปวันๆเพราะหากซื้อบ้านรัฐจะตัดเงิน ไม่ยอมทำมาหากินอะไรเลย สภาพของพระเอกในช่วงแรกในหนังก็เป็นแบบนั้นแถมไม่สนใจด้วยว่าผลของสิ่งที่ตัวเองทำจะเดือดร้อนคนอื่นยังไง เช่นเข้าไปช่วยคนแล้วทำให้ตึกรามบ้านช่องรถราพังหมดแถมมีด่าคนที่ไม่พอใจกลับอีกต่างหาก แต่พอเจอคนที่เห็นคุณค่าของตัวเค้า คนที่เชื่อมั่นว่าเค้าสามารถเป็นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ให้รู้จักรับผิดชอบต่อผู้อื่น ชมผู้อื่นทุกครั้งหากเค้าทำความดี คนแบบตัวละครของ Jason Bateman ที่แสดงเป็น Ray นักประชาสัมพันธ์มือเยี่ยม(หรือเปล่าหว่า)ได้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของตัว Hancock จนกลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมในที่สุด สุดท้ายหนังของเราก็ไปจบลงที่ NYC นิวยอร์คซิตี้ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจทางฝั่งตะวันออกของประเทศครบสมบูรณ์ทั้งสองฟากฝั่ง หุหุหุ

ตาวิลก็รักษามาตรฐานกวนโอ๊ยได้ดีแต่พอจะต้องมาเป็นฮีโร่แบบเต็มตัวแกก็ทำได้แจ๋ว วิลเป็นดาราคนนึงที่เล่นบทได้หลากหลายมากแถมเลือกบทที่จะเล่นเก่งอีกต่างหาก ส่วนตัวละครอื่นๆ เช่นสาวชาวแอฟริกาใต้ Charlize Theron ที่สวยไม่สร่างและเล่นได้สมกับเป็นดาราที่มีรางวัล Oscar ประกันคุณภาพ ตัวประกอบทุกตัวก็เล่นได้ดีครับหลายๆ ตัวแสดงได้น่ารักน่าชังอยากรู้ว่าเป็นไงลองไปดูเองละกัน



สรุป: Hancock เป็นหนัง Superhero ที่แปลกจากเรื่องอื่นพอสมควรฉาก action ที่มีอยู่ก็ลงตัวดีแต่ก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรมากมายเพราะว่าเดี๋ยวนี้หนังแนวนี้ที่ใช้ CG แบบเจ๋งๆ ก็มีออกมาเยอะ ที่ผมดูแล้วประทับใจจากเรื่องนี้ก็คือการพัฒนาตัวละครที่ทำได้ค่อนข้างดีนะหากไม่ใช่หนัง Superhero แต่เปลี่ยนเป็นหนัง Drama แทนละก็มีสิทธิ์ลุ้น Oscar เลยหละเป็นเล่นไปเพราะมีอะไรให้เล่นเยอะแต่ว่าไม่เอามาเล่นซะงั้น พอดูจบแล้วก็ให้ความหวังว่าเราสามารถจะเป็นไปได้มากกว่าที่เราเป็นอยู่หากรู้จักเสียสละและนี่คือสิ่งที่รัฐบาลอเมริกันกำลังต้องการจากประชาชนของเค้ามากในตอนนี้ สัญลักษณ์ของ Hancock ก็คือนกอินทรีหัวล้านซึ่งก็คือสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกานั่นเองที่อยู่ทั้งบนหมวกไหมพรมและบนชุดของ Hancock แถมมีนกตัวเป็นๆ ให้ดูในฉากจบอีกจนผมรู้สึกเหมือนว่าดูมังกรหยกอยู่ จงใจใส่เข้าไปซะจริงๆ คนเรา

Hancock ไปไม่สุดในทั้งสองด้านที่ผมได้บอกไว้คือทั้งเรื่องของฉาก Action และ Drama ตามที่ควรจะเป็นแต่ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะครับผมชอบมากกว่า The Incredible hulk ซะอีกแต่ว่าสองแนวที่มีอยู่ในเรื่องมันออกจะขัดๆ ไปกันนิดนึงเลยทำให้ภาพรวมๆ ออกมาไม่ค่อยจะดีนัก ดูแก้เบื่อพอได้ครับ หุหุหุ - -'

Good job Hancock!

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

WALL-E รักเปลี่ยนโลกของหุ่นขี้เหงา



ผู้กำกับ: Andrew Stanton
เรื่อง: Andrew Stanton, Pete Docter
บทภาพยนต์: Jim Reardon

เรื่องย่อ: Wall-E หรือย่อมาจาก Waste Allocation Load Lifter Earth-Class เป็นหุ่นยนต์เก็บอัดขยะในยุคที่โลกกลายเป็นถังขยะใบใหญ่่ ซึ่งอยู่ตามลำพังกับแมลงสาบเพื่อนยากอีกหนึ่งตัวกับมีทีวีและหนังเพลงรุ่น 60s เป็นเพ่ือนแก้เหงา จนกระทั่งวันนึงมีหุ่นสาวสวยก้าวเข้ามาแล้วได้เปลี่ยนชีวิตของเค้าไปตลอดกาล

บทและเรื่อง: ถือว่าเขียนเรื่องออกมาได้ดีนะครับด้วยประสบการณ์ของ Andrew Stanton ที่ผ่านงานระดับเทพมาหลายต่อหลายเรื่องเช่น Finding Nemo, Monster inc., Toy Stories, A Bug's Life เท่าที่ทราบมา Wall-E เป็นเรื่องที่อยู่ในใจของเค้ามานานแล้วแต่โดยเนื้อหาหากว่ากันตามตรงเนื้อเรื่องไม่เอาใจตลาดเลยดังนั้นเค้าจึงต้องรอให้ผลงานพิสูจน์คุณค่าของตัวเค้าก่อนแล้วจึงย้อนกลับมาทำเรื่องนี้ในภายหลัง ซึ่งถือว่าเค้าคิดถูกนะครับไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ดูผลงานแอนิเมชั่นดีๆ แบบนี้เป็นแน่

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่องถือว่า Jim Reardon[The Simpsons]ผู้เขียนบทเก็บได้ดีครับเช่นเรื่องของสัมผัสของมือที่สามารถจะสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เนื่องจากการสื่อสารในส่วนของคำพูดของหุ่นทำได้จำกัดภาษาร่างกายเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งแต่ก็ติดตรงที่ว่าหุ่นไม่ได้มีสิ่งต่างๆ ที่สามารถแสดงออกให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงอารมณ์ต่างๆ เช่นตา ปากหรือสีหน้าได้เหมือนคน การออกแบบภาษาท่าทางของทีมออกแบบจึงเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากครับด้วยดวงตา มือและเท้า(หรือเปล่า)ของตัวละคร Wall-E, EVE และเพื่อนพ้องที่โลดแล่นอยู่บนจอสามารถทำให้ผมหัวเราะ ลุ้น และตื้นตันไปกับพวกเค้าได้เป็นอย่างดี แถมมี iPod วางบน Dock หน้าทีวีด้วยแถมเสียง Restart เครื่องของ Wall-E เป็นเสียงของ Mac ด้วยนี่เจ๋งจริงแต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะว่า Steve Jobs เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Pixar หุหุหุ



เสียงพูดของ Wall-E ที่แม้จะเอ่ยอะไรออกมาไม่มากนักแต่ก็สามารถทำให้เด็กๆ ที่ไปดูพูดตามได้ไม่ยากนัก(WALLLEEEEEE... EVEEEEEEE) เมื่อมาดูเครดิตถึงไม่แปลกใจเพราะได้พ่อมดทางด้านเสียงของ Hollywood ที่ผมชอบมากตั้งแต่สมัยเริ่มบ้าหนังคือ Ben Burtt มาทำเสียงให้กับเจ้าตัวน้อยนี้ บางคนอาจจะถามว่าตาเบนนี่ใคร เค้าก็คือคสร้างสรรค์เสียงประกอบพิเศษของ ILM หรือ Industrial Light and Magic ในสังกัดของ Lucas film แล้วก็ออกมาเดี่ยวในภายหลัง ตาเบนเคยทำเสียงพิเศษให้กับหนังระดับเทพทางด้าน Sound effect หลายๆ เรื่องที่พวกเรารู้จักกันดีเช่น Indiana jones ทุกภาค Star wars และอีกมากมายประกันความเก๋าด้วยสอง Oscar ด้าน Best Effects, Sound Effects Editing จาก E.T. และ Indiana Jones and the Last Crusade ผมเห็นหน้าเจ้าตัวน้อยนี้ทีไรทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Short Circuit ทุกครั้งเลยสิ แอบดีใจอยู่ลึกๆ ที่เค้าจะเอามา Remake ใหม่แต่ก็แอบลุ้นอยู่ด้วยเพราะเกรงว่าจะทำออกมาได้ดีไม่เท่ากับ version ต้นฉบับ

เพลงและหนังประกอบที่ใช้: เพลงพราะดีนะครับได้บรรยากาศของยุค 60s ดีขัดกับตัวภาพในหนังหน่อย แต่ก็ทำให้ไม่น่าเบื่อเพราะเพลงและหนังในยุคนั้นนี่ผมว่าคอดอาร์ทและสามารถสื่อถึงอารมณ์ที่นุ่มนวลได้ดี Wall-E เลือกภาพยนต์เพลงเรื่อง Hello, Dolly ที่นำแสดงโดย Barbra Streisand เป็นแกนเดินเลยทำให้หนังเรื่องนี้นุ่มนวลขึ้นมากเลยครับ



สรุป: ทั้ง Wall-E และ EVE ต่างก็ทำหน้าที่ตามหาบางสิ่งอยู่เช่นเดียวกันจนในที่สุดทำให้ทั้งคู่ได้รู้่ว่าสิ่งที่ตนเองตามหานั้นอันที่จริงแล้วก็คือความรักที่มีให้ซึ่งกันและกันนั่นเอง รักที่เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้ หนังพูดถึงความรักในหลายมิติเช่นความรักระหว่างหนุ่มสาว เพื่อน พ่อแม่ที่มีต่อลูก งาน สิ่งแวดล้อมและสำคัญที่สุดความรักที่มีต่อ"โลก"ของเรานั่นเอง ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เราทุกคนต่างก็มีเช่นเดียวกัน ก็ขอให้ช่วยกันดูแลสิ่งเหล่านี้ให้ดีมอบความรักให้กันและกันอย่างเต็มที่ก่อนจะสายจนเกินไป

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับผม Smile

Slumdog Millionaire: ชะตาฟ้าลิขิต..หรือ?

ผู้กำกับ: Danny Boyle, Loveleen Tandan(co-director: India)
บทภาพยนต์: Simon Beaufoy
จากวรรณกรรมที่ชื่อว่า Q & A ของ: Vikas Swarup
นักแสดง: Dev Patel, Freida Pinto, Ayush Mahesh Khedekar, Azharuddin Mohammed Ismail, Tanay Chheda, Ashutosh Lobo Gajiwala, Tanvi Ganesh Lonkar, Rubiana Ali
เพลงและสกอร์: A.R. Rahman

อาทิตย์ก่อนเมื่อได้ทราบผลรางวัล Oscars มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกวาดรางวัลไป 8 สาขาได้แก่

Best Motion Picture of the Year
Best Achievement in Directing
Best Achievement in Cinematography
Best Achievement in Editing
Best Achievement in Music Written for Motion Pictures, Original Score
Best Achievement in Music Written for Motion Pictures, Original Song <-- ถูกเสนอเข้าชิงสองเพลง
Best Achievement in Sound
Best Writing, Screenplay Based on Material Previously Produced or Published

ก็เลยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ธรรมดาแน่ๆแต่อีกใจก็นึกสงสัยว่าหนังแขก(แต่คนอังกฤษกำกับ)จาก Mumbai หรือ Bombay ที่รู้จักกันไปทั่วโลกว่านี่คือ Bollywood เมืองที่แม้แต่ Hollywood ยังอายเพราะมีหนังใหม่ให้ดูกันวันละสามเรื่องเป็นอย่างน้อยและประชากรในเมืองเป็นดารากันเกือบทั้งเมืองนั้นนี้มี"ดี"ตรงไหน? คำตอบที่ได้ไม่ใช่มีดีที่ซุปแต่ว่ามันมีมากกว่านั้นคือว่ามันมี"วิญญาณ"อยู่ในนั้นครับ



Slumdog Millionaire มีวิญญาณของอินเดียอยู่ในทุกองค์ประกอบไล่ตั้งแต่นักแสดงที่เล่นได้สมจริงดีมากทุกคนโดยเฉพาะ Ayush Mahesh Khedekar กับ Rubiana Ali ที่เล่นเป็นจามาลและลาติก้าตอนเด็กทั้งสองคนนี้รับบทเด็กสลัมได้เป็นธรรมชาติดี ภาพที่โลดแล่นให้ได้ดูบนจอหาก Capture เป็นภาพน่ิงแล้วนี่ทิ้งไม่ได้เลยครับเพราะภาพดูมีชีวิตมากๆ

บทภาพยนตร์ที่นำมาจากหนังสือชื่อ Q & A ที่นำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆในประเทศอินเดียมาผูกเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ Theme ของเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจน มีโยนสลับไปมาระหว่างเกมส์โชว์และชีวิตจริงของจามาลไหลรื่นและมีลูกเล่นจนเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ยากจึงทำให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจและน่าติดตาม เพลงประกอบของ A.R. Rahman เป็นส่วนหนึ่งที่น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่งครับ Score ที่แต่งขึ้นมาใหม่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีระหว่างเพลงพื้นเมืองของอินเดียกับ beat สมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกหรือเพลงช้าที่เป็น theme ของพระเอกนางเอกที่ฟังแล้วได้อารมณ์สดชื่นมากโดยเฉพาะเพลงปิดเรื่องที่ชื่อว่า "Jai yo" หรือว่าไชโยในภาษาไทยเราที่ขึ้นมาได้จังหวะพอดีและลงตัวอย่างสุดๆ




หากใครอยากจะดูหนังที่หนักแต่เล่าแบบสบายๆ เปิดเรื่องได้น่าสนใจ ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม พร้อมทั้งบทสรุปในตอนท้ายที่ลงตัวทั้งจังหวะและเรื่องราวแล้วละก็ไม่น่าพลาดครับสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ Slumdog Millionaire แล้วคุณจะชอบเหมือนผม หากมีคะแนนเต็มสิบเรื่องนี้ผมให้สิบเอ็ด


D : D E S T I N Y เ ร า นี้ เ อ ง ที่ ลิ ขิ ต

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Rolling Eyes

Across the Universe : มนต์รัก The Beatles

ชื่อหนัง: Across the universe
ชื่อไทย: รักนี้คือทุกสิ่ง
ผู้กำกับ: Julie Taymor
บท: Dick Clement& Ian La Frenais...

นักแสดง: Evan Rachel Wood, Jim Sturgess, Joe Anderson, Dana Fuchs, Martin Luther, T.V. Carpio...



A l l y o u n e e d i s l o v e

ยุค 60s(Sixties) ช่วงเวลาแห่งเสรีชน ความรักข้ามเชื้อชาติ ยาเสพติด สงคราม การประท้วงและเพลงร็อคที่ถูกนำเสนอในภาพยนต์หลายต่อหลายเรื่องในมุมมองที่แตกต่างกันไป สำหรับเรื่องนี้เป็นการนำเสนอยุค 60s ในอีกรูปแบบนึงคือถูกนำเสนอในรูปแบบของ Musical โดยมี Julie Taymor ผู้กำกับที่ผ่านงานละครบรอดเวย์มา รับประกันคุณภาพของเค้าด้วยหนึ่งรางวัล Tony Award ที่ได้จากละครเพลง The Lion King(1998) เลยคิดว่าภาพยนต์เรื่องนี้คงจะน่าสนใจไม่น้อยแถมเพลงที่นำมาใช้ในการเดินเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพลงของ The Beatles วงดนตรีร็อคระดับตำนานจากฝั่งอังกฤษอีกต่างหาก ผมยังไม่เคยเจอหนัง Musical ที่เอาเพลงของสี่เต่าทองมาดำเนินเรื่องมาก่อนเลยหากใครเจอก็บอกด้วยนะครับนึกว่าให้วิทยาทานครับ

ไหนๆ ก็เอาเพลงจากฝั่งอังกฤษมาใช้แล้วก็คงต้องหนีบเอาดาราอังกฤษมาแสดงด้วยซึ่งก็คือ Jim Sturgess พระเอกหนุ่มหน้ามนสไตล์อังกฤษแท้ๆ กับนางเอกสุดน่ารักใบหน้าสไตล์อเมริกันจ๋าลูกครึ่งฝรั่งเศสกับเยอรมันคือน้องหนู Evan Rachel Wood แฟนสุดเลิฟของ Marilyn Manson(น่าเสียดาย)นั่นเองที่แฟน Greenday คงคุ้นหน้าคุ้นตาเธอดีจาก Music Video เพลงดัง Wake Me Up When September Ends ที่แสดงคู่กับอดีตแฟนของเธอ Jamie Bell พระเอกจาก Billy Elliot พร้อมด้วยดาราประกอบอีกคับคั่ง ขอบอกว่าคับคั่งจริงๆ ครับเพราะมีฉากม็อบหน้าทำเนียบ เอ้ย! ม็อบต้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร เอ้ย! ม็อบต้านสงครามเวียดนามที่เป็นเอกลักษณ์ของยุค 60s อยู่ในหนังด้วย ในส่วนของเสื้อผ้าของนักแสดงในเรื่องนี้ทำได้ปราณีตมากครับจนได้เข้าชิงรางวัล Oscar ในหมวดของ Costume Design เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ด้วยแหละเจ๋งป่ะ เกริ่นนำมาพอสมควรแล้วได้เวลาเข้าเรื่องของเราซะทีเนาะ หุหุหุ Laughing

เริ่มเรื่องด้วยเพลง Girl ที่พระเอกหนุ่มจากเมืองท่า Liverpool ของเราร้องเพลงอยู่บนชายหาดด้วยอารมณ์ประมาณเพลงเปิดเรื่อง Moulin Rouge ทำให้ลังเลเล็กน้อยว่าเอ..ต้องมาเจอโศกนาฏกรรมในตอนจบอีกหรือเปล่าเนี่ย อันนี้ไม่บอกครับต้องไปดูเอง หุหุหุ อ้อ พระเอกนางเอกและตัวละครทั้งหมดร้องเพลงเองนะครับ เสียงทุกคนนี่พอออกเทปได้แบบไม่ขัดเขินเลยแหละ Soundtrack ของเรื่องมีเพลงดีๆ อยู่เยอะพอควรครับ แฟน Beatles อาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ยังไงไปลองหามาฟังดูก่อนนะครับ ขอบอกว่าในเรื่องนางเอกเสียงดีมากแถมน่ารักสุดๆ อีกด้วย ภาพยนต์ของเราก็เดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ ครับแต่ไม่ได้น่าเบื่อนะ
หนังของเราเริ่มต้นจากความรักอันแสนสดชื่นที่มีอยู่ของตัวแสดงนำจากสองฟากมหาสมุทร Atlantic ผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่มีสังคมในยุค 60s ของอเมริกาเป็น background ดำเนินเรื่องสลับกับการเข้าเพลงที่ตัวแสดงมาสลับกันร้องที่ต้องชมเลยว่าทำได้พอเหมาะพอดีมากๆ ครับ อันนี้คงต้องชมผู้กำกับและคนเขียนบทที่เข้าเพลงได้ถูกจังหวะดี ไม่รู้สินะเพลงหลายๆ เพลงนี่ผมฟังๆ ไปนี่อารมณ์ที่ได้ประมาณว่านั่งฟัง U2 อยู่ยังไงยังงั้นแถมมี Bono นักร้องคนโปรดของผมอีกคนมาร่วมแสดงแถมร้องเพลงให้ตั้งสองเพลงแน่ะคือเพลง I am the Walrus (ไม่รู้คิดได้ไงชื่อเพลงนี้ชอบจัง)กับเพลง Lucy in the Sky ไหนๆ ก็เอาเพลงของสี่เต่าทองมาใช้แล้วชื่อของพระเอกนางเอกก็ต้องมาจากเพลงของ The Beatles ด้วยคือ Jude และ Lucy นั่นเองหากใครเคยดู I am Sam คงพอจะจำได้ว่าพระเอกของเรื่องก็ชอบสี่เต่าทองมากจนตั้งชื่อลูกว่า Lucy เหมือนกัน

Theme ของเรื่องเท่าที่ผมดูสรุปได้สองส่วนคือเรื่องของความรักและความผิดหวังที่ผสมกันได้ลงตัวพอดี จากช่วงแรกของหนังที่เริ่มด้วยความรักที่หอมหวานสดชื่น มาตึงเครียดในตอนกลางด้วยสภาวะสงคราม,การประท้วงและการพลัดพราก จนถึงบทสรุปของหนังที่ผมว่าทำได้ดีมากๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว ส่วนจะจบยังไงนั้นลองไปหาดูครับรับรองว่าหากใครอยากดูหนังที่แนวๆ ออกอาร์ตบ้างบางฉาก มีเพลงประกอบเพราะๆ ในบรรยากาศที่หดหู่ผสมด้วยความสดชื่นพองามละก็ลองไปหามาดูครับ เรื่องนี้มีหลายๆ อารมณ์ให้ได้ซึมซาบเลยหละเด็ก Emo และแฟนของสี่เต่าทอง(บางส่วน)น่าจะชอบ ดูจบแล้วอยากจะร้องตะโกนให้ก้องทั้งฟ้าว่า "All you need is Love"

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Smile

Stardust ดวงดาว ความรัก ความหวัง



ชื่อไทย: สตาร์ดัสต์ ศึกอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์รักจากดวงดาว

ผู้กำกับ: Matthew Vaughn
เขียนบท: Matthew Vaughn, Jane Goldman
Producer: Matthew Vaughn, Lorenzo Di Bonaventura, Neil Gaiman
เพลงประกอบ: Ilan Eshkeri
นักแสดง: Charlie Cox, Claire Danes, Michelle Pfeiffer, Robert De Niro, Peter O'Toole, Sienna Miller



ดวงดาว ความรัก ความหวัง

ครั้งหนี่งปรัชญาเมธีได้กล่าวไว้ว่า "เราเป็นมนุษย์เพราะเราได้แต่จ้องมองดวงดาว หรือว่าที่เราได้แต่จ้องมองดวงดาวก็เพียงเพราะเราเป็นมนุษย์ฉะนั้นหรือ" ช่างไร้สาระเสียนี่กระไร
จริงๆ แล้วควรจะถามว่า "ดวงดาวได้มองกลับลงมาดูเราบ้างหรือไม่"ต่างหาก...


จากนิยายภาพขายดีของ Neil Gaiman ผ่านการกำกับของ Matthew Vaughn จนออกมาเป็นภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงชั้นดีออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกในที่สุด ส่วนเค้าทั้งคู่จะเป็นใครมาจากไหนนี่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันแต่ว่าสิ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่าระหว่างนั่งรอเครื่องบินอยู่ที่เมกาเผอิญเหลือบไปเจอ นสพ. LA times ลงว่าขณะนี้มีหนังนอกสายตาเรื่องนึงกำลังซดหมัดกับหนังฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่องบนตาราง Box office อยู่และหนังฟอร์มยักษ์ที่ว่านี้ล้วนแต่เป็นหนังที่ผมชอบทั้งสิ้นเช่น Bourne Ultimatum และ Transformers เป็นต้น เลยทำให้ผมเริ่มสนใจแถมมีนางเอกสุดน่ารักที่ชื่อว่า Claire Danes เล่นด้วยเลยทำให้ต่อมอยากดูของผมทำงานหนักมากในตอนนั้น



เมื่อได้ดูก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ หลังจากหนังจบแล้วผมรู้สึกสดชื่นมากๆ เหมือนกับว่าได้หยุดพักผ่อนสบายๆ หลังจากกรำงานหนักมาทั้งปีอะไรแบบนี้แหละ บอกก่อนครับว่าเนื้อหาของเรื่องนี้สามารถเดาตอนจบได้ไม่ยากแต่ที่ยากก็คือว่ามันจะเดินไปหาตอนจบที่รู้อยู่แล้วนั้นได้อย่างไรต่างหาก เพราะในเรื่องผู้กำกับได้ใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปอย่างมากมายทั้งความอัศจรรย์ ความรัก ความเศร้า ฉากบู๊และบทตลกที่มีไม่มากไม่น้อยเกินไปแถม Score ของ Ilan Eshkeri นี่ติดหูมากครับฉากไหนเล่นกับอารมณ์อะไรเค้าก็ใส่เพลงลงไปให้กับเรื่องได้รื่นและงดงามตามแบบของหนังแฟนตาซีได้ดี ด้านล่างมีลองให้โหลดไปฟังกันดูหนึ่งเพลงครับเป็นเพลงที่ขึ้นมาในช่วงพัฒนาแคแรคเตอร์ของตัวละครที่ชื่อว่า Tristan พระเอกของเรื่องที่รับบทโดย Charlie Cox กับการพัฒนาความรักระหว่างพระเอกและนางเอกของเรา ผมว่า Score เพลงนี้นี่เป็นเหมือนบทสรุปของหนังทั้งเรื่องก็ว่าได้คือมีทั้งความสดชื่น ความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยรัก ลึกล้ำในจินตนาการและมีช่วงเร่งจังหวะสำหรับใช้กับบทบู๊เจืออยู่ด้วยบางๆ

เรื่องย่อ: ดวงดาวที่ต้องการจะรู้จักความรัก หนุ่มน้อยชาวบ้านที่พร้อมจะทำอะไรให้กับคนรักได้ทุกเรื่อง ศึกชิงบัลลังก์ระหว่างเจ้าชาย สลัดอากาศจอมโหด(หรือเปล่า) แม่มดกับยาอายุวัฒนะ การต่อสู้เพื่อแย่งดวงดาวมาครอบครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและอื่นๆ อีกมากมาย นี่คือสิ่งทีคุณจะเจอในภาพยนตร์ยาว 127 นาทีเรื่องนี้

การแสดง: การแสดงของนักแสดงทุกคนทำได้เยี่ยมครับเพราะเล่นอัดเอาดาราระดับแนวหน้าและว่าที่แนวหน้าของ Hollywood เข้าไปเพียบเช่น Peter O'Toole, Robert De Niro, Michelle Pfeiffer, Claire Danes, Charlie Cox และ Sienna Miller โดยเฉพาะลุง Bob ที่รับบทเป็นกัปตัน Shakespeare สุดโหดที่แม้ว่าอาจจะออกมาเพียงไม่กี่ฉากแต่ด้วยความเก๋าของลุงแกนี่เล่นเอาผมยิ้มไปจนถึงหัวเราะทุกครั้งที่โผล่มาเลยหละอยากรู้ว่าทำไมใครยังไม่ได้ดูลองไปหามาดูครับ Charlie Cox พระเอกของเรื่องถือว่าสอบผ่านกับบทพระเอกซื่อๆ ที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก Claire Danes กับบทของ Yvaine(หากออกเสียงนี่ภาษาไทยไม่เพราะเอามากๆ เลยครับ หุหุ)หรือน้องดาว ที่ยิ้มแต่ละทีนี่เล่นเอาใจแทบจะละลายแถมเรื่องนี้น้องเค้ามีออร่าด้วยนา น่าเสียดายที่ว่าอายุของน้องดาวเยอะมากไปนิดหากเอาน้องเค้าไปเข้าเครื่องลดอายุให้เท่ากับตอนที่เล่น Romeo&Juliet ได้นี่จะลงตัวมากๆ เลยครับ ส่วนป้า Michelle Pfeiffer กับบทแม่มดสาวใหญ่ที่ทั้งน่าชังและน่าสงสารก็เล่นได้ไม่มีที่ติครับ นักแสดงคนอื่นๆ เล่นได้พอเหมาะกับบทบาทที่ตนได้รับ แถมด้วย Sir Ian McKellen(Gandalf ณ. Lord of the Rings, Magneto จาก X-men)ที่มาให้เสียงบรรยายภาษาไทย เอ้ย อังกฤษด้วย Laughing



บทภาพยนตร์: สำหรับผมก็ถือว่าผ่านนะครับสำหรับหนังแฟนตาซีที่ใส่จินตนาการของผู้เขียนได้ไม่จำกัดแบบนี้ Stardust เดินเรื่องได้กระชับดีผู้เขียนบทใช้เวลาในแต่ละฉากไม่มากนักเพราะหนังมีรายละเอียดเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากนะครับเพราะกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มครอบครัวหากลงรายละเอียดมากเกินไปคงจะทำให้มีเจ้าหนูจำไมอยู่เต็มโรง หุหุหุ นี่คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เรื่องนี้แลกหมัดกับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆ ได้เพราะในช่วงนั้นหนังสำหรับครอบครัวไม่มีลงโรงเลยเท่าที่จำได้
ผมว่าจะทำหนังแฟนตาซีที่มาจากนิยายขายดีให้ออกมาเยี่ยมนี่ยากนะแต่เรื่องนี้นี่ถือว่าทำได้ดีครับแม้ว่าจะมีหลายหลากอารมณ์มากแต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของหนังสะดุดเลยแม้แต่น้อย บทอาจจะเว่อร์บ้างก็ไม่ว่ากันครับหนังแฟนตาซีนี่เนอะคงไม่มีฉากกาีรซักค้านเอาเหตุเอาผลกันในศาลปกครองหรอก หุหุหุ

บทสรุป: หากอยากดูหนังรักแฟนตาซีที่เปี่ยมด้วยอารมณ์สดชื่นไม่ต้องใช้ึความคิดอะไรมากมายนัก บทบู๊แบบพอดี บทตลกพองาม เพลงประกอบเพราะๆ ละก็ Stardust เป็นอีกตัวเลือกนึงที่คุณต้องไปหามาดูครับ แม้จะดูเหมือนว่าผู้เขียนบทได้ใส่อะไรเยอะแยะเข้าไปในเรื่องแต่กลับทำให้หนังมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นจากความหลากหลายที่มีนี่แหละ ผมอาจจะให้รายละเอียดในเนื้อเรื่องได้ไม่เยอะเพราะว่าพิมพ์ออกมาจากความประทับใจที่มีจากเรื่องนี้ หากใครยังไม่ได้ดูลองหามาดูครับกับหนังที่ดูเอาสนุกและเพลิดเพลินคุณอาจจะเป็นอีกคนที่ชอบเรื่องนี้เหมือนกับผมก็ได้

"The Fairy tale that won't behave เทยนิยายที่ไม่วางมาด" คือบทสรุปสั้นๆ สำหรับเรื่องนี้



ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

https://www.yousendit.com/download/R3oweUNITmFFd2ZIRGc9PQ <--- หากใครอยากลองฟัง Score Rolling Eyes

Elizabethtown กล้าที่จะล้ม



ผู้กำกับ: Cameron Crowe
บท: Cameron Crowe
นักแสดง: Orlando Bloom, Kirsten Dunst, Susan Sarandon, Jessica Biel

คืนนี้ว่างๆ เลยหยิบเอาหนังเก่าบนหิ้งมานั่งดูหลังจากกรำงานหนักมาทั้งวันหลังจากเลือกอยู่นาน 5 นาทีก็เจอเอาเรื่องนี้ที่ผมรู้สึกว่าดูแล้วมีกำลังใจดีเลยหยิบเอามาดูอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังมีแรงทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ สู้ๆ งานนี้เพื่อ L3000 หุหุหุ นอกเรื่องเรื่อยเลยผมนี่

เรื่องย่อ: Drew Baylor เล่นโดยโจรสลัดหนุ่ม Orlnado Bloom หนุ่มนักออกแบบรองเท้าในบริษัทช่ือดังในรัฐ Oregon หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการทำให้บริษัทเจ๊งเป็นพันล้านกับรองเท้าที่เค้าออกแบบจึงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายบนจักรยานออกกำลังกาย(สร้างสรรค์มากๆ สมแล้วที่เป็นนักออกแบบ)แต่ว่าถูกขัดจังหวะโดยพี่สาวที่โทรเข้ามาแจ้งข่าวว่าพ่อเสีย จากนั้้นเค้าเลยจำต้องเดินทางไปจัดการเรื่องศพที่ Elizabethtown, Kentucky บนเครื่องเค้าได้เจอแอร์สาวน้อยน่ารักที่ชื่อ Claire Colburn ซึ่งเล่นโดยขวัญใจผมน้อง kiki หรือว่า Kirsten Dunst ผู้ที่สอนให้เค้าได้รู้จักมองโลกในอีกแง่มุมนึงและทำให้ชีวิตเค้าเปลี่ยนไป

การแสดง: นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีครับโดยเฉพาะดาราสาวใหญ่เจ้าของรางวัล Oscar Susan Sarandon เล่นเป็นแม่ที่โรคจิตหน่อยๆ แต่ว่าพอมาตอนหลังบทที่เธอแสดงทำให้ซี้งได้เหมือนกันเล่นเก่งจริงๆ อย่างนี้ไม่ริบรางวัลคืน หุหุหุ พระเอกนางเอกของเราเล่นเข้าขากันได้ดีมากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสองคนทำให้เชื่อสนิทเลยว่ารักกันจริงๆ หากสังเกตุดูแววตาของทั้งคู่จะบอกได้ครับว่าคนที่รักกันแต่ไม่เอ่ยออกมานี่แววตาของคู่รักนั้นน่าจะออกมาประมาณไหนพระเอกนางเอกของเราถือว่าสอบผ่านครับผม ตัวประกอบทุกคนซึ่งมีเป็นจำนวนมากเลยก็เล่นได้ดีครับ โดยเฉพาะหนูน้อยที่เล่นเป็นลูกชายญาติพระเอกเล่นได้เหมือนกันเป็นแฟนเพลงพันธุ์แท้ของพ่อเค้าจริงๆ เลย โดยเฉพาะตอนช่วงท้ายของเพลง Free bird ที่เล่นในงานรำลึกถึงพ่อพระเอกนี่เจ้าหนูเล่นได้ดีมากครับ แม้จะออกมาแค่แป๊บเดียวแต่ก็เด่นมาก



เพลงประกอบ: ตรงนี้แหละที่เป็นจุดที่ดีที่สุดของหนังของ Cameron Crowe ผู้กำกับสุดเซอร์คนนี้ เค้าตั้งใจสรรหาเพลงที่ชอบใส่เข้าไปเพียบเรียกได้ว่าแทบทุกฉากที่ต้องการทำอารมณ์ Crowe จะใส่เพลงที่มีความหมายตรงกับบทในช่วงนั้นๆ ได้อย่างพอเหมาะพอดีมิเสียแรงที่เป็นอดีต DJ หากอยากรู้ว่าชีวิตของผู้กำกับสมัยหนุ่มๆ อารมณ์ประมาณไหนลองหาหนังเรื่อง Almost famous มาดูครับ หนังที่แกกำกับและเขียนบทเองนี่เซอร์ดีผมชอบทุกเรื่องเลยเพราะจะมีบทขำๆ แทรกเป็นช่วงๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ดูหนังของแกแล้วสบายใจแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นหนังชีวิตที่หนักเอาเรื่องเหมือนกัน
เพลงบรรเลงประกอบก็ได้เมียสุดรักมาทำให้เรียกได้ว่าหนังของ Crowe เป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัวอย่างแท้จริง งานเพลงของ Nancy Wilson ทำได้ดีเหมือนกันหลายๆ เรื่องที่เธอทำมาผมชอบงานของเธอที่ทำเพลงให้สามีผู้กำกับตั้งแต่ Jerry Mcguire เป็นต้นมาเลยหละ เรื่องนี้เสียงกีตาร์ใสๆ ของเธอก็ทำให้หนังสดชื่นมีชีวิตชีวาดีครับ

หนังของ Cameron Crowe ทุกเรื่องจะมีเพลงดีๆ ในยุค 70 อยู่เยอะมากครับ นอกจากเพลงของเมียรักแล้วก็มีเพลงของศิลปินในดวงใจของเค้าคือ Tom petty อยู่ด้วยทุกเรื่่องไปจนเป็นขาประจำไปแล้วก็ว่าได้ ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้ Tom ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy จากเพลง Square one อีกด้วย ส่วนรางวัล Critics Choice ก็ถูกเสนอเข้าชิงสามรางวัลคือ Best Composer โดยเมียแก Nancy Wilson , Best Song ของวง I Nine ชื่อเพลง Same In Any Language ซึ่งตา Crowe แกแต่งเองและก็รางวัลสำคัญที่ได้เสนอชื่อเข้าชิงเหมือนกันคือ Best Soundtrack


การถ่ายภาพ: ถ่ายออกมาได้สดใสดีครับตรงนี้เป็นเอกลักษณ์ของ Cameron Crowe เลยก็ว่าได้เพราะว่าทุกเรื่องที่แกกำกับภาพออกมาสดใสดี ทำให้ดูแล้วสดชื่นดูและก็รู้สึกอบอุ่นไปในขณะเดียวกันซึ่งไม่ค่อยเจอผู้กำกับคนไหนทำได้แบบนี้นะครับ Theme ของแต่ละเรื่องที่แกกำกับจะสะท้อนออกมาโดยภาพของหนังและทุกเรื่องที่แกกำกับบอกได้เลยว่าแกตั้งใจกับมันมากทำให้งานทุกชิ้นออกมาปราณีต อยากให้ดูฉากจบของเรื่องนี้ครับแกถ่ายออกมาได้สวยและสดใสมากเลยทั้งๆ ที่เป็นฉากในงานของตลาดเกษตรกรในชนบทของอเมริกาที่ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจแต่แกก็ทำออกมาให้ดูแล้วน่าสนใจได้ด้วยภาพที่บรรจงถ่ายทอดผ่านกล้องออกมา

สรุป: หากคุณล้มเหลวในชีวิตในตอนนี้ลองยิ้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่ กล้าที่จะล้มให้ดังกว่าเดิม ยิ้มสู้กัับความล้มเหลวนั้นจนทำให้คนที่อยู่รอบข้างต้องนึกในใจว่า "เฮ้ย มันยังยิ้มอยู่ได้ไงวะ" นี่แหละจึงจะเรียกได้ว่าเป็น "ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง" เหมือนประโยคในช่วงปิดท้ายเรื่องที่ว่า "Those who risk Win" ผู้ที่กล้าเสี่ยงเท่านั้นจึงจะชนะ เสี่ยงที่จะลุยกับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ผลเป็นไงไม่รู้แต่ที่รู้แน่ๆ หากกล้าเสี่ยงก็หมายถึงเราได้ชนะแล้วในระดับนึง ที่ว่าชนะคือชนะใจตัวเองที่สามารถก้าวพ้นความกลัวไปได้ สู้ๆ ครับพี่น้อง



ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ

Tropic Thunder

ผู้กำกับ: Ben Stiller
บทภาพยนตร์: Ben Stiller, Justin Theroux, Etan Cohen
เรื่อง: Ben Stiller, Justin Theroux
นักแสดง: Ben Stiller, Robert Downey Jr., Jack Black, NIck Nolte, Tom Cruise, Matthew McConaughey


วันนี้ว่างเลยมาหาหนังดูหน่อยก็เจอเรื่องนึงที่เตะตาน่าสนใจมากเลยตัดสินใจดูเพราะว่าตัวเอกสามคนถือได้ว่าเป็นแม่เหล็กเรียกคนดูได้อย่างดีคือ Ben stiller, Robert Downey Jr., และก็ Jack Black บอกตามตรงว่าไม่ได้คาดหวังอะไรทั้งสิ้นเพราะไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยที่เลือกดูก็เพราะตัวดาราล้วนๆ เลยครับเช่น

Ben Stiller เป็นดาราตลกคนนึงที่ผมชอบเค้าสามารถแสดงให้ผู้ชมหมั่นใส้น่าสงสารและขำได้ในเวลาเดียวกัน อีกอย่างเค้าเป็นดาราตลกที่เล่นบทชีวิตได้ดีมากเสียดายที่ติดภาพว่าเป็นดาราตลกไม่อย่างนั้นคงได้มีลุ้นรางวัลกับคนอื่นได้อย่างชิวๆ แน่ เรื่องที่ผมชอบที่สุดของเค้าก็คือ There's Something About Mary ที่เล่นได้ธรรมชาติมากอีกอย่างในเรื่องนี้ Cameron Diaz แสดงได้น่ารักมากๆ

Jack Black ตลกบ้าระห่ำที่มีพรสวรรค์ในการใช้เสียงเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือว่าพากย์หนัง หากใครได้ดู Kungfu Panda คงจะบอกได้ว่าเค้าพากย์ได้มันส์ขนาดไหนและเรื่องอื่นๆ ก็เล่นได้กวนประสาทมาก ขอแนะนำ Tenacious D in: The Pick of Destiny ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่เท่าไหร่แต่รับรองว่าขา Classic Rock คงจะชอบได้ไม่ยาก

Robert Downey Jr. คนนี้ไม่ต้องพูดถึงสำหรับความสามารถในการแสดง แม้ว่าจะเจอข้อหาเรื่องยาอยู่พักนึงแต่ก็ถือได้ว่ากลับมาเปิดตัวได้อย่างสวยงามทำให้มายืนในแนวหน้าของดารา Hollywood ได้อย่างเต็มภาคภูมิ เรื่องหลังๆ ของเค้านี่รายได้ถือว่าแจ๋วทั้งหมดก็ว่าได้ เรื่องที่ผมโดนในช่วงหลังก็ iRon Man เพราะว่าเค้าเล่นได้ถึงแคแรคเตอร์ของ Tony Stark แบบสุดๆ

สำหรับพักหลังมานี้หนังล้อเลียนที่เรียกว่า Spoof มีออกมาเยอะแต่ในความคิดของผมขอบอกตามตรงว่าทำได้ไม่มี Class เอามากๆ ไม่เหมือนยุคแรกของ Spoof ที่ Mel Brooks ทำออกมาที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ Spaceball ที่ล้อ Star Wars ได้เป็นอย่างดี Airplane ก็แจ๋ว Naked gun ก็เข้าท่าแต่ล่าสุดที่ผมได้ดูรู้สึกว่าเป็นเรื่อง Meet the Spartans ที่ไม่ขำเอาซะเลย พอมาเจอเรื่องนี้ก็ไม่คิดว่าจะเป็น Spoof เลยมีโอกาสได้มาดูหากรู้มาก่อนอาจจะทำให้ผมเสียดายที่ไม่ได้ดูหลังล้อเลียนดีๆ อีกเรื่องนึง
ขอบอกว่ามุกที่มีในเรื่อง Tropic Thunder อาจจะไม่แรงมากจนทำให้คุณหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุดแต่ว่ามันมี Class ครับ เรื่องนี้ไม่ได้ล้อเลียนเฉพาะหนังสงครามที่มี Platoon เป็นแกนแต่ว่าล้อเลียนวงการ Hollywood แบบคันๆ หากใครติดตามข่าวคราวของดารา Hollywood อยู่เป็นประจำคงจะขำกับมุกที่มีในเรื่องได้ไม่ยาก นอกจากสามดารานำที่เป็นตัวเดินเรื่องตัวประกอบก็ไม่ธรรมดานับตั้งแต่ Tom Cruise, NIck Nolte หรือแม้แต่ Matthew McConaughey และอีกมากที่มาช่วยสร้างสีสันได้เป็นอย่างดีในทุกฉากที่ออกมาโดยเฉพาะ Tom Cruise ที่ขอบอกว่าเล่นแบบไม่กลัวเสียหล่อเลย สำหรับตัวประกอบอื่นๆ ก็เล่นได้แจ๋วครับแถมเรื่องนี้มีล้อกระเหรี่ยง God Army อีกต่างหากถือว่าทำการบ้านมาดีครับสำหรับคนเขียนบท

สรุป: หากช่วงนี้ไม่รู้ว่าจะดูหนังเรื่องอะไรก็ขอแนะนำเรื่องนี้ไว้เป็นอีกตัวเลือกละกันครับคงพอจะช่วยคลายความเครียดที่มีอยู่ในใจของแต่ละคนได้บ้างไม่มากก็น้อย เป็นหนังล้อเลียนที่ขอบอกว่าทำได้มี Class มากครับ หนังใส่ความสนุกลงไปแบบพอดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไปขอชมผู้กำกับคือ Ben Stiller และทีมงานด้วยใจจริงครับที่ทำให้ผมหัวเราะได้ในช่วงเวลาแบบนี้ Very Happy

ปล. บางฉากอาจจะแรงไปนิดผู้ปกครองควรพิจารณาหากพาเด็กไปชม

[เล่าสู่กันฟัง]อีติ๋มตายแน่

ผู้กำกับ: ยุทธเลิศ สิปปภาค
บท: อุดม แต้พานิช
นักแสดง: อุดม แต้พานิช, คริส หอวัง, อาซึกะ, เหมี่ยว ปะวันรัตน์, ชาติชาย งามสรรพ์, บอม สินเจริญ

เห็นกระทู้ในห้องเงียบๆขอปั่นหน่อยละกันครับ ผมพึ่งได้มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ของต้อมยุทธเลิศเรื่องล่าสุดนี้ในรูปแบบของ DVD ก็เลยอยากมาบอกเล่าเก้าสิบให้กับคนที่ยังไม่ได้ดูได้รับรู้ถึงเรื่องราวคร่าวๆของหนังไทยเรื่องนี้ซึ่งก็ขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่แฟนหนังไทยตัวยงแต่ว่าก็ดูบ้างหากคิดว่าหนังเรื่องนั้นๆน่าจะดี ที่ได้ดูบ่อยๆและรู้สึกประทับใจกับหนังไทยในยุคหลังๆก็หนังของค่าย GTH ซะเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของค่ายคือกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน สำหรับเรื่องนี้เป็นของค่ายสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งก็ทำหนังออกมาได้สมำ่เสมอมากในแต่ละปีก็จะมีหนังออกมาให้ดูหลายต่อหลายเรื่องบางเรื่องก็ถูกใจผมอยู่พอสมควรเหมือนกันแต่ว่าคงจะไม่ถูกใจคนดูส่วนใหญ่บ้างทำให้บางทีรายได้ของหนังเรื่องที่ผมชอบอาจจะไม่ค่อยดีมากนัก

สำหรับเรื่องอีติ๋มตายแน่นี้เป็นอีกเร่ืองที่ผมประทับใจเพราะว่าโดยส่วนตัวชอบงานของยุทธเลิศเป็นทุนเดิมอยู่บ้างแล้วไล่มาตั้งแต่บุปผาราตรีและอีกหลายๆเรื่องเพราะว่าเค้ามีมุมมองไม่ค่อยจะเหมือนใครในการนำเสนอภาพของสังคมไทยออกมาบนแผ่นฟิลม์และก็มีเอกลักษณ์ประจำตัวในงานศิลป์ของเรื่องผ่านมุมกล้องออกมาทำให้ดูแล้วก็แบบว่า "เฮ้ย! นี่หนังยุทธเลิศนี่" ภาพของหนังของยุทธเลิศจะดีเป็นฉากๆและหลายฉากก็จะทำออกมาแบบว่าได้อารมณ์ดิบๆดีซึ่งผมชอบนะ ในเรื่องอีติ๋มตายแน่นี้ยุทธเลิศเค้านำเสนอพัทยาออกมาได้ค่อนข้างดีคือว่าดูแล้วได้อารมณ์พัทยาคือได้อารมณ์สนุกแบบไม่เป็นทางการมากนัก ออกแนวดาร์คและก็มีความหลากหลายที่น่าสนใจลึกๆอยู่ในตัวของมันเอง การนำเสนอในส่วนของงานศิลป์นี่ได้ใจผมมากครับสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้



บทซึ่งเขียนโดยเดี่ยวไมโครโฟนมือหนึ่งของไทยเราก็เข้ากันได้ดีกับบุคลิกของหนังแบบยุทธเลิศ มีประชดประชันเสียดสีสังคมแบบคันๆพองามไม่กะจะเอาเป็นเอาตายกับใครแม้ว่าอาจจะตลกไม่ถึงขีดที่ผมหวังไว้แต่ก็พอรับได้ครับกับส่วนผสมที่พอดีของความสนุกและเนื้อหาที่คุณอุดมต้องการให้เราได้รับรู้ถึงวิถีชิวิตแบบ Pattaya's way ที่ว่าทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดเท้าถีบทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้ในสังคมที่เป็นเหมือน"จรเข้"คือพร้อมจะแหลกทุกอย่างที่ขวางหน้า เหตุหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณอุดมพึ่งผ่านการทุ่มแสดงเดี่ยว ๗ ไปไม่นานมุกส่วนใหญ่ที่คิดได้ในช่วงที่ผ่านมาก็คงจะเอาไปลงกับเดี่ยว ๗ หมดแล้ว จากที่ได้ติดตามมาทุกเดี่ยวผมว่าเดี่ยว ๗ ที่ผ่านมานี้เป็นเดี่ยวที่ Mature มากกว่าทุกครั้งและมีเนื้อหาที่ค่อนข้างจริงจังมากกว่าทุกทีก็เลยมีกลิ่นอายแบบนี้ติดมากับบทหนังเรื่องนี้อยู่มากเหมือนกัน อุดมได้เอาเรื่องราวการทำมาหากินในพัทยามาเล่าในแบบเบาๆซึ่งในความเป็นจริงแล้วสำหรับทุกองก์ของเรื่องอีติ๋มตายแน่นี้ไม่มีเบาเลยครับ

การแสดงของนักแสดงทุกคนเล่นกันได้ดีมากดูเป็นธรรมชาติและเกินธรรมชาติได้เป็นธรรมชาติดี เอ๊ะยังไง ก็คือว่าหนังแบบนี้มันต้องโอเว่อร์แอ็คไว้ก่อนและนักแสดงแต่ละคนก็โอเว่อร์แอ็คได้พอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป บทจะต้องเล่นโอเว่อร์ก็เว่อร์ได้ใจบทจะรับส่งอารมณ์แบบแรงๆกันก็ทำได้สมจริงจนทำเอาคนดูอินได้ไม่ยากเช่นฉากที่น้องติ๋มเข้ามาขอโทษตึ๋งนั้นนักแสดงส่งอารมณ์กันได้ดีครับทั้งอุดมและก็อาซึกะ ทั้งคู่แสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตาจนทำให้เชื่อได้สนิทใจเลยว่าน้องติ๋ม(อาซึกะ)ของเราสำนึกผิดจริงๆจนถึงกับต้องเดินเข้ามาขอโทษตึ๋ง(อุดม)ในห้องพักนักกีฬาและตึ๋งก็ให้อภัยกับน้องติ๋มด้วยใจจริง(ใครจะไม่ให้อภัยบ้างล่ะเนอะ ออกจะน่ารักและ..ปานนั้น) สำหรับฉากนี้ต้องชมอุดมครับที่ได้ข่าวว่าพยายามช่วยอธิบายให้นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่นได้เข้าใจอารมณ์ของบทในตอนนั้นแบบละเอียดทุกเม็ดไม่มีขาดตกบกพร่องกันเลยทีเดียว สำหรับคริสหอวังนั้นเล่นได้น่ารักน่ากัดคอเป็นอย่างยิ่งคนอะไรเล่นเป็นชาวเขาได้ดูดีมากๆ อีกคนที่อยากจะชมคือบอมสินเจริญที่เล่นได้เกินธรรมชาติได้เป็นธรรมชาติดีครับคือดูเป็นคนดีซ้าจนน่าเตะ ส่วนเจ้เหมี่ยวก็ไม่ต้องพูดถึงครับเล่นได้ดีมีมาตรฐานเหมือนเดิม



สรุป: ตอนจะเริ่มดูเรืองนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้อะไรมากไปกว่าความสนุกผ่อนคลายอารมณ์ซึ่งยุทธเลิศและอุดมก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับหนังไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไปและสะท้อนวิถีชีวิตในแบบชาวพัทยาได้ชัดเจนดี การแสดงของนักแสดงถือว่าดีทุกคนเลยครับอาจจะมีติดๆขัดๆตรงบทหน่อยแต่ก็เข้าใจคนเขียนบทคืออุดมเพราะว่าพึ่งผ่านการเค้นความคิดแบบโหดๆจากงานเเดี่ยวที่ผ่านมาแต่ก็สามารถเขียนบทออกมาได้ขนาดนี้ต้องขอยกนิ้วให้ครับ หนังแบ่งเป็นสามช่วงได้อย่างชัดเจนดีคือปูพื้น,เล่าเนื้อหาหลักและก็สรุปได้อย่างลงตัว เรื่องของเพลงประกอบก็เลือกเฟ้นหามาเป็นอย่างดีเข้ากับเนื้อเรื่องและช่วยเสริมอารมณ์ให้กับหนังในช่วงนั้นเป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะเพลงซึบารุที่หากผมฟังไม่ผิดก็คงเป็นพี่น้องสินเจริญนั่นเองที่ร้องหากฟังผิดก็ขออภัยและอีกเพลงก็คือเพลงอมตะของสายันต์ สัญญาคือเพลง "รักติ๋มคนเดียว"ที่ขึ้นมาตอนที่อุดมพระเอกของเราต้องการกำลังใจเป็นอย่างยิ่งก่อนจะขึ้นชกนัดสำคัญที่สุดในชีวิต(ในภาพยนตร์)
สำหรับข้อคิดที่ผมได้ก็คือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับที่เราต้องมีฮีโร่ในดวงใจเพื่อเป็นแรงกระตุ้นขับเคลื่อนให้เราสามารถพัฒนาชีวิตได้ดีกว่าที่เราเป็นและจะได้เป็นการวางแผนชีวิตในเบื้องต้นด้วย แต่ว่าก็ต้องเลือกฮีโร่ให้เป็นคือเลือกคนที่ดีและพยายามจะจับถูกคนๆนั้นให้ได้สกัดหาข้อดีของเค้าออกมา ให้มองข้ามเรื่องข้อบกพร่องของเค้าไปก่อนแต่ว่าห้ามมองข้ามข้อบกพร่องของตัวเองมิฉะนั้นเราจะดีกว่าที่เราเป็นอยู่ไม่ได้ ส่วนในเรื่องของความรักซึ่งคนเรามักจะมองข้ามคนที่รักเราไปหาคนที่เราคิดจะรักอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ของเราเองที่เป็นผู้ให้ความรักที่ยิ่งใหญ่อันไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น รักท่านให้มากครับรักท่านทุกวันไม่เพียงแค่จะนึกถึงท่านเฉพาะวันพ่อวันแม่หรือในวันแห่งความรักเท่านั้น อย่าให้ต้องกลับมานั่งคำนึงนึกถึงสิ่งมีค่าที่อยู่ใกล้ตัวในวันที่เสียมันไปเลย

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Rolling Eyes

Twilight: แวมไพร์ยุคนี้ Strawberry Cheesecake



ผู้กำกับ: Catherine Hardwicke
บท: Melissa Rosenberg
บทประพันธ์: Stephenie Meyer
นักแสดง: Kristen Stewart, Robert Pattinson, etc.

วันหยุดที่ผ่านมามีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่เค้าว่าแรงมากๆ ในเมกาแม้แต่บ้านเราก็เช่นเดียวกันแว่วมาว่าซัดไปกว่า 20 ล้านแล้วทั้งๆ ที่เปิดตัวไม่กี่วัน พอได้ดูตัวอย่างแล้วก็แบบว่า อืม..ถ่ายภาพสวยดีแฮะ อีกอย่างชอบนางเอกของเรื่องด้วยก็คือน้องหนู Kristen Stewart ที่ชอบเพราะว่าน้องหนูเธอเล่นหนังดีมากๆ ผมติดตามผลงานของเธอมาตั้งแต่ Panic room, Jumper และอีกหลายๆเรื่องรวมทั้งหนังฮิปปี้ทีเซอร์ที่ได้รับคำชมจากหลายเทศกาลหนังคือ Into the Wild ซึ่งแม้จะปรากฎตัวไม่นานมากนักแต่ก็เล่นได้ดีเหลื้อแสน หุหุหุ
Twilight ทำมาจากหนังสือชื่อดังของ Stephenie Meyer ที่ขายดีเอามากๆในอเมริกาและแม้แต่ที่บ้านเราเองก็ขายดีไม่แพ้กันเท่าที่ทราบตอนนี้หลายร้านขายจนหมดเกลี้ยงแผงเลยถือได้ว่ากระแสของหนังแรงมากโดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายของหนังที่เป็นผู้หญิงเป็นหลัก หนังสือชุดนี้ที่เรียกว่าชุดนี้ก็เพราะว่ามีอยู่สี่เล่มด้วยกันแว่วๆ ว่าจะมีเล่มที่ห้าออกมาดังนั้นรับประกันได้เลยว่าโดยรายได้ที่ทำมาขนาดนี้มีภาคต่อให้ดูกันอย่างแน่นอนสำหรับแฟนานุแฟนของหนังสือ, ดาราและก็ตัวของหนังเอง(หากโดนใจคนดู)

หนังได้กล่าวถึงสาวน้อยนางนึงที่ชื่อว่า Bella Swan ที่ต้องย้ายจากเมือง Phoenix รัฐ Arizona ที่แห้งแล้งล้อมรอบด้วยทะเลทรายแต่ทีมบาสเก่งได้ใจไปอยู่กับพ่อที่รัฐ Washington กรุณาอย่าสับสนกับกรุง Washington D.C. ที่เป็นเมืองหลวงของอเมริกานะครับเพราะว่ารัฐ Washington อยู่ทางฝั่งตะวันตกส่วนกรุง Washington D.C. อยู่ในฝั่งตะวันออกของอเมริกา สำหรับรัฐ Washington นี้ขึ้นชื่อในเรื่องที่ฝนชุกมากอากาศค่อนข้างอึมครึมทั้งปีในหนังก็มีพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตอนนึงแต่อากาศที่นั่นน่านอนจริงๆ ขอบอก หุหุหุ เข้าเรื่องของเราต่อดีกว่าเนอะ นางเอกของเราย้ายไปอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า Forks ที่บรรยากาศก็อึมครึมดีมากเหมาะสำหรับแวมไพร์จะไปซ่อนตัวเป็นอย่างยิ่ง(รู้ได้ไงหว่า) อ่อ เมืองนี้มีจริงๆ นะครับเห็นว่าตั้งแต่หนังสือออกวางแผงมีคนไปเที่ยวที่เมืองนี้กันเยอะมากและก็เพิ่มมากขึ้นเพียบหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉายทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวแต่อย่างใด(นี่แหละครับความแรงของเรื่องนี้) จากนั้นนางเอกของเราก็ได้เจอพระเอกที่ชื่อ Edward (Robert Pattinson) และครอบครัว Cullen ที่ขอบอกว่าหน้าตาดีกันทั้งบ้านไล่ตั้งแต่ตัวพ่อแม่ไปจนถึงลูกเลี้ยงทั้งหลาย แล้วก็เริ่มสานสัมพันธ์รักกันโดยที่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในเมืองคือมีคนถูกสัตว์ป่าฆ่าตายหลายรายในช่วงใกล้ๆ กันซึ่งคงเดาไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นฉากหลังของหนัง

ทีนี้ก็มาถึงตัวหนังในความเห็นของผมในฐานะที่ไม่ใช่แฟนหนังสือและที่ดูก็เพราะอยากจะรู้ว่าหนังมันดีอย่างไรจึงมีรายได้ขนาดนั้น ขอบอกว่าหนังเดินเรื่องได้แบบเรื่อยๆ มากครับแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อหรือว่าไม่ดีนะเพียงแต่ว่าสำหรับผมมันไม่โดนแค่นั้นเอง ว่าไปก็เห็นใจคนสร้างเหมือนกันเพราะว่าการที่จะทำหนังจากหนังสือให้ได้ดีนั้นยากมากถึงมากที่สุดเพราะต้องตัดส่วนสำคัญหลายๆส่วนออกทำให้บางช่วงที่น่าสนใจอาจจะถูกตัดทิ้งออกไปได้ แต่ก็มีหลายฉากทำได้ดีครับเช่นฉากเปิดตัวพระเอกและครอบครัวหรือแม้แต่เปิดตัวกลุ่มแวมไพร์ตัวร้ายที่สโลว์ซ้าจนนึกว่ากำลังดูหนัง John Woo อยู่ ดีที่ไม่มีนกพิราบบินผ่านหน้ากล้องไม่อย่างนั้นละก็ใช่เลย หุหุหุ ตอนที่เล่นเบสบอลกันก็เข้าท่าภาพที่ถ่ายออกมาสวยมากครับ เพลงประกอบก็เป็นอีกส่วนที่แจ๋วกำลังจะซื้อ Soundtrack มาฟังอยู่ครับเพราะเพลงดีๆ มีเยอะเลยทีเดียว กลุ่มเป้าหมายของเรื่องก็คือกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงและก็แควนๆ ที่ถูกลากมาดูกับคุณเธอเป็นหลักดังนั้นหากคุณไม่ใช่กลุ่มนี้ละก็ไปดูเรื่องอื่นก่อนก็ได้ครับเช่น องค์บาก 2 เป็นต้น ขอบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง Action อย่างที่หนังตัวอย่างหลอกไว้แต่ว่าเป็นหนังรักโรแมนติกที่ขายภาพสวยเพลงเพราะและหน้าตาพระเอกนางเอกและตัวประกอบที่ทั้งสวยและหล่อจนทำเอาผี Strawberry Cheesecake ที่มาดูกันเป็นกลุ่มกรี๊ดเป็นระยะในตอนที่พระเอกผู้ร้ายหรือใครก็ตามโผล่ออกมาจนอาจทำให้คุณต้องตกใจได้

เอาเป็นว่าหากคุณอยากพาใครซักคนไปดูหนังแวมไพร์รักโรแมนติกที่อาจจะถูกใจคุณเธอละก็เรื่องนี้ก็ไม่น่าทำให้คุณผิดหวัง สำหรับผมก็คือว่าผ่านครับเป็นหนังแวมไพร์ที่มีฉีกแนวจากเรื่องอื่นอยู่บ้างนิดนึงตรงที่แวมไพร์ออกมาเดินกลางวันแสกๆ ได้ ดูไปก็อดเทียบกับหนังแวมไพร์หลายๆ เรื่องที่ผมชอบไม่ได้เช่น Bram Stoker's Dracula หรือแม้แต่ Ven Helsing ที่ดูเอาสนุกมากกว่าเรื่องนี้พอสมควรแต่จะเทียบกันก็ถือว่าไม่ยุติธรรมเพราะว่าคนละแนวกัน การที่จะทำหนังจากหนังสือให้ดียากมากครับทางออกที่ดีหากจะเอาหนังสือมาทำหนังก็คือทำเป็นซีรีย์ทางทีวีไปเลยเพราะสามารถใส่รายละเอียดต่างๆ ลงไปได้อย่างเต็มที่อีกอย่างตอนนี้คนก็หันมาดูซีรี่ย์ทางทีวีมากขึ้นด้วย สำหรับเรื่องนี้ไปดูก็ไม่เสียดายแต่ว่าไม่ได้ดูก็ไม่น่าจะเสียดายอีกเช่นเดียวกัน เอ๊ะ ยังไง อย่างน้อยดูแล้วทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยครับจากที่หดหู่กับสถานการณ์บ้านเมืองมาหลายวัน

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่านางเอกน่ารักมาก หะหะหะ ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Very Happy

Son of Rambow: มิตรภาพ ความเชื่อ ความรักและจินตนาการ



ผู้กำกับ: Garth Jennings
บท: Garth Jennings
นักแสดง: Bill Milner, Will Poulter etc.

เห็น Banner ของหนังเรื่องนี้ตามเวปมานานแล้ววันนี้พึ่งได้มีเวลาว่างมาดู โดยชื่อก็เตะตาทำให้น่าดูตั้งแต่แรกเห็นเพราะเดาไม่ออกว่าหนังจะออกมาเป็นยังไง แต่พอได้มานั่งดูเล่นๆ ปรากฎว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลยแฮะ

เรื่องย่อ: Will Proudfoot เด็กน้อยที่เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการและชอบวาดรูปภาพฝันที่มีออกมาเป็นภาพในสมุดหรือแม้แต่ผนังห้องน้ำในโรงเรียนเป็นการระบายความอึดอัดในใจเพราะเกิดในครอบครัวที่อยู่ในกลุ่มของผู้ที่เชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกที่ชื่อว่า The Brethren หรือ The Brother เนื่องจากต้องการความบริสุทธิ์ของวิญญาณสมาชิกของ The Brethren ต้องไม่โกหกไม่ดูหนังหรือว่าฟังเพลงอันจะทำให้จิตด่างพร้อยได้ จนวันนึง Will ก็ได้พบกับเด็กแสบที่ชื่อว่า Lee Carter ซึ่งตั้งใจจะทำหนังสั้นไปประกวดในรายการ Screen test ของ BBC ด้วยฝันที่จะเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่คนนึง สถานการณ์ได้พาให้ Will มีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง First blood ที่ Lee ไปแอบถ่ายมาจากในโรงโดยบังเอิญ จนทำให้จินตนาการอันมีอยู่อย่างเปี่ยมล้นในใจของ Will ต้องระเบิดออกมาในที่สุด

หนังเดินเรื่องในยุค 80s ที่สังคมโลกเริ่มปรับตัวที่จะเปลี่ยนเป็นยุคที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ดังนั้นการเขียนบทถือว่าฉลาดมากที่เอาความขัดแย้งหลายๆ อย่างมาเล่นได้ทำให้บทน่าสนใจ การตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ทำได้ดี การตัดต่อที่ค่อนข้างลงตัวทำให้หนังไม่น่าเบื่อ เพลงประกอบก็แจ๋วครับฟังแล้วสดชื่นดีทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างจริงจังของหนังเบาลงได้มาก

ดาราแค่ละคนเล่นดีมากดูแล้วลื่นไหลไปตามบทที่เขียนออกมาได้เข้าท่าดีไม่เหมือนกับหนังอเมริกันที่คุ้นเราเคยกันมาที่พอเริ่มเรื่องก็แทบจะบอกได้แล้วว่าจะไปจบยังไงแต่หนังทางฝั่งอังกฤษไม่ใช่แบบนั้น มีความจริงจังและบทตลกร้ายๆ แทรกให้หัวเราะได้เป็นระยะไม่มากไม่น้อยเกินไป หากใครสนใจหนังเล็กๆ ที่ไม่ใช่หนังในกระแส ทำออกมาได้ปราณีตและตั้งใจก็ลองหามาดูกันได้ครับผม



สรุป: คนเราต่างคนต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ในการทำงานอะไรสักชิ้นนึงหากเรารู้จักนำจุดเด่นของทีมงานแต่ละคนมาผสมผสานกันก็จะได้ผลงานชิ้นเยี่ยม การทำงานเป็นทีมสำคัญแม้ว่าจะค่อนข้างยากที่จะเอาความคิดของหลายๆ คนมาใช้ในงานชิ้นเดียวให้ออกมาราบรื่น วินัยเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมสามารถทำงานด้วยกันได้โดยที่เกิดปัญหาน้อยมากที่สุด ตัวละคร Lee เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยรักษากฎเกณฑ์อะไรแต่ว่าพอถึงเวลาทำงานเค้ารับผิดชอบและจริงจังกับมันมากจนทำให้ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ส่วน Will ก็เป็นเด็กหัวอ่อนที่ใครให้ทำอะไรก็ทำหากเป็นเรื่องจริงๆ เด็กแบบนี้ค่อนข้างมีโอกาสจะเสียคนได้ง่ายมากเพราะแทบจะไม่มีความคิดอะไรเป็นของตัวเอง แต่ในเรื่อง Will มีการพัฒนาความคิดของตัวเองดีโดยอาศัยคนรอบข้างและเหตุการณ์แรงๆ ที่ต้องเจอเป็นแบบให้ ส่วนผสมของสองตัวละครหลักนี้ทำให้หนังออกมาลงตัว

ข้อคิดที่ได้: พอดูหนังจบก็มานั่งนึกในใจว่า ทีม ความรัก กำลังใจ วินัย ความรับผิดชอบ ผสมกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีพอเหมาะทำให้คนเรามีคุณค่า หากมีสิ่งที่ผมกล่าวมาครบไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะ"ทำ" ความเชื่อก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้โดยราบรื่นและมีเป้าหมาย ต้องรู้จักเลือกที่จะเชื่อโดยไม่ทำให้ตัวเราต้องกังวลและกดดันมากเกินไป และความเชื่อต้องทำให้เรารู้จักพัฒนาตนเองโดยต้องไม่มีการโทษคนอื่นหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นต้องเชื่อให้เป็นครับ เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เชื่อโดยไม่ขัดแย้งดัง Tagline ของเรื่องนี้ที่ว่า Make Believe. Not War.

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Smile

Rock n Rolla งานแนวๆ(อีกชิ้น)ของกายริทชี่

ผู้กำกับ: Guy Ritchie
บท: Guy Ritchie
นักแสดง: Gerard Butler, Mark Strong, Tom Wilkinson, Toby Kebbell etc..

ไม่รู้ว่าจะมีใครชอบงานของกายริทชี่แบบผมบ้างหรือเปล่าผมว่าหนังของแกแนวดีเป็นแนวที่แบบว่าอั๊วะจะเอาแบบนี้ลื้อมีปัญหาป้ะ ดูๆไปหากเป็นผู้สูงอายุอาจจะอ้วกก่อนดูจบเพราะว่าตัดสลับภาพและเหตุการณ์แบบหวือหวาผสมจังหวะสโลว์ของภาพที่เป็นเอกลักษณ์มาก อีกอย่างที่น่าจดจำสำหรับหนังของตาริทชี่นี่ก็คือเพลงประกอบที่ใช้เพลงในช่วงปี 70-80 เป็นแกนนำฟังแล้วมันดิบและถึงอารมณ์มากๆ การเขียนบทของเค้าก็จะเน้นแบบว่าเล่าเรื่องอะไรก็ได้สี่ห้าเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะมีสาระเต็มไปด้วยความรุนแรงพร้อมกับประชดประชันหยิกแกมตบเป็นระยะๆและก็ไม่ได้เกี่ยวเนื่องอะไรกันเลยให้เรารับรู้ จากนั้นก็จะดึงเข้ามาผูกกันแล้วนำไปขมวดปมให้เจ็บกึ๋นกันเล็กๆในตอนจบให้สะใจพองาม

สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกันถือว่ากายริทชี่ก็ยังรักษาเอกลักษณ์ไว้เป็นอย่างดี หนังเล่าถึงเลนนี่โคลหัวหน้ามาเฟียที่มีศิลปะในการใช้คนให้ทำในสิ่งที่เค้าต้องการอยู่เสมอโดยมีอาร์ชี่มือขวาที่ซื่อสัตย์เป็นตัวตามงานและเก็บงานและมี The Wild bunch กลุ่มกวนโอ๊ยที่ทำงานสกปรกผ่านอาร์ชี่ไปหาเลนนี่อีกต่อ เมื่อเหตุการณ์นำให้เลนนี่,อาร์ชี่และพวกต้องเข้าไปพัวพันกับเศรษฐีนักพัฒนาที่ดินอดีตมาเฟียรัสเซียเจ้าของทีมบอลชื่อดัง(สนามสีแดงๆ)พร้อมสมุนอดีตทหารโดยมีขี้ยานักร้องเพลงร็อคเอนโรลเป็นตัวเชื่อมเรื่องมันก็เลยวุ่นวายเต็มไปด้วยอารมณ์ขันร้ายๆและความรุนแรงที่ถูกปล่อยเข้ามาเป็นระยะจนนำไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่จบแบบเจ็บกึ๋นเช่นเดิม

ทีมแคสติ้งของกายริทชี่นี่ขอบอกว่าไม่ธรรมดาแต่ละคนที่สรรหามารับบทนั้นแสดงได้เป็นธรรมชาติมากและก็มีอย่างนึงที่ขาดไม่ได้ก็คือต้องกวนโอ๊ยด้วยถึงจะมีบุญได้เล่นหนังของแก(ฮ่า..) สำหรับเรื่องนี้ตัวที่เด่นที่สุดของยกให้ Mark Strong ที่รับบทเป็นอาร์ชี่ที่แสดงได้ถึงกึ๋นมากหากใครเคยดูเรื่อง BODY OF LIES คงจะจำหัวหน้าหน่วยข่าวกรองชาวจอร์แดนที่มาดดีสุดๆได้คนนั้นก็คือนาย Strong นี่แหละ สำหรับนักแสดงตัวอื่นๆก็แสดงได้กวนโอ๊ยได้ตามมาตรฐานของกายริทชี่ทุกคน

หนังของกายริทชี่แม้ว่าจะไม่มีสาระอะไรมากมายนักแต่ก็ยากที่จะลืม แม้ว่าหนังแบบ twist ending หรือจบแบบหักมุมจะไม่เหมาะสำหรับการดูหลายๆรอบเพราะว่าจุดสุดยอดของมันเราได้รู้แล้วแต่ว่าหนังของกายริทชี่จะมีมุมอะไรเล็กๆน้อยๆที่บางที่เรามักจะมองข้ามไปเนื่องจากว่าต้องมานั่งจับรายละเอียดที่ถูกยัดเยียดมาให้แบบเยอะมากๆ แต่พอได้กลับมาดูซ้ำก็จะทำให้เราได้รู้ว่าผู้กำกับชาวอังกฤษที่เจ๋งพอจะเป็นสามีของมาดอนน่าได้นั้นมีอะไรดีๆและครีเอทีฟมากๆอยู่ในหัวของแกอยู่เยอะพอดูเลยครับ

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดลงไปแม้ว่ามันจะล่วงเลยไปนานจนกลายเป็นอดีตไปแล้วก็ตามแต่สุดท้ายผลของส่ิงที่เราได้กระทำลงไปนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นส่ิงที่ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเลือกทำแต่สิ่งดีๆกันดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องเสียใจกับสิ่งที่ไม่มีวันจะย้อนกลับมาให้เราได้แก้ไขได้อีก อย่างที่เคยบอกไว้ครับว่า"คนเราไม่มีคำว่าแก้ตัว มีแต่ทำใหม่ให้ดีกว่าเดิมเท่านั้น" อีกอย่างการโกหกหลอกลวงนั้นอย่าได้ทำเป็นอันขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัว เพราะยิ่งอยู่ใกล้เรามากหรือรักเรามากหากจับโกหกของเราได้เมื่อไหร่ผลกระทบที่มีต่อจิตใจของเค้าจะรุนแรงมากกว่าถูกคนอื่นโกหกหลายร้อยหลายพันเท่า ดังนั้นตอบแทนความดีให้คนที่อยู่กับเราด้วยความจริงใจและซื่อตรงจะดีที่สุด(เผื่อวันหลังขออนุมัติงบไปซื้อของเล่นใหม่ๆจะได้ง่ายๆ ฮ่า..)

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับทุกท่าน Rolling Eyes

[ความประทับใจ] The Hurt Locker : ตู้เก็บความเจ็บปวด

กำกับโดย: Kathryn Bigelow
บท: Mark Boal
กำกับภาพ: Barry Ackroyd
ตัดต่อ: Chris Innis, Bob Murawski
นักแสดง: Jeremy Renner, Anthony Mackie, Brian Geraghty, Guy Pearce, Ralph Fiennes , David Morse, Christian Camargo

ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่องนึงที่นักแสดงก็ไม่ใช่ดาราใหญ่อะไรแต่เดินเรื่องได้กดดันดีจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอะไรกดดันๆ ดูบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากเบาๆ ให้หนัก เรื่องนี้นำเสนอมุมมองของทหารที่ต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เอ้ย ในประเทศอิรักโดยเน้นไปที่หน่วยเก็บกู้ระเบิดที่มีชื่อหน่วยว่า Explosive Ordnance Disposal (EOD) ภาระกิจหลักก็คือถ้่าได้รับแจ้งว่าพบวัตถุระเบิดหน่วยนี้แหละที่ต้องเข้าไปจัดการเก็บกู้ซะ ทำให้แต่ละคนในหน่วยมีความกดดันเป็นอย่างมากทั้งในตัวงานและก็สภาพแวดล้อมของประเทศที่ต้องเข้าไปทำงาน

ถ้าพูดถึงความประทับใจที่มีต่อเรื่องนี้ถ้าไม่นับหนังแบบเบาๆ ที่เค้าเอามาให้ดูแล้วในบรรดาหนังหนักๆ ที่ได้ดูตลอดปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ประกาศผลออสการ์ของปีก่อนมาจนถึงต้นปีนี้มีเรื่องนี้แหละที่จบได้ใจมากๆ แล้วก็คิดว่าถ้าจะได้ออสการ์ติดมือบ้างก็ไม่แปลกใจอะไรเพราะว่าเข้าชิงตั้ง 9 สาขารวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีด้วย(น่าให้เหมือนกันนะ หุหุ) ดังนี้

1. Best Motion Picture of the Year
2. Best Achievement in Directing
3. Best Achievement in Editing
4. Best Achievement in Music Written for Motion Pictures, Original Score
5. Best Achievement in Sound
6. Best Achievement in Sound Editing
7. Best Achievement in Cinematography
8. Best Performance by an Actor in a Leading Role
9. Best Writing, Screenplay Written Directly for the Screen

หนังดำเนินเรื่องดีทำให้ไม่น่าเบื่อแม้ว่าฉากแอคชั่นแบบสุดขีดจะไม่มีแต่ว่าให้ความรู้สึกกดดันผ่านสีหน้าและแววตาของนักแสดงที่ผู้กำกับภาพเก็บมาได้แจ๋วจริงๆ บทก็ดีโดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนี่มีอะไรซ่อนให้คิดอยู่เยอะเลยแถมตอนจบก็สรุปได้ลงตัวดีจริงๆ เป็นหนังชีวิตที่มีบทแอคชั่นชวนกดดันอยู่เป็นระยะ ใช้มุมกล้องแบบ handheld เพื่อเพิ่มความอัดอัดให้กับคนดูซึ่งก็คือว่าทำได้ดีและกล้องก็ไม่แกว่งมากเหมือนหลายๆ เรื่องที่ใช้มุมกล้องแบบนี้ อีกอย่างที่เข้าท่าก็คือเน้นใช้แสงธรรมชาติเยอะมากเพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับบท

ที่ต้องชมอีกอย่างก็คือคนตัดเลือกนักแสดง( Mark Bennett )ที่เลือกตัวแสดงได้เยี่ยม มีตัวละครหลักอยู่สามคนแต่ว่าเฉลี่ยบทให้ตัวประกอบได้ดี มีคนนึงซึ่งแสดงโดย Christian Camargo ที่เคยเล่นซีรี่ย์ DEXTER แม้จะออกมาแค่สามฉากแต่ก็สามารถช่วยเสริมความหนักให้กับตัวแสดงหลักได้ แถมด้วยดาราชั้นนำระดับแนวหน้ามาเป็นดารารับเชิญด้วยอีกต่างหากซึ่งบางท่านก็เคยได้เข้าชิงออสการ์มาแล้ว เช่น Ralph Fiennes และ Guy Pearce

พอดูจบแล้วก็ทำให้ต้องมานั่งคิดอะไรหลายๆ เรื่องเหมือนกัน เช่นเรื่องของหัวหน้าทีมที่ต้องทำหน้าที่แบกรับลูกน้องไว้ด้วยดังนั้นไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรลงไปแม้ว่าจะใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นหลักในการคิดแต่ยังไงผู้ที่ได้รับผลของเรื่องนั้นเต็มๆ จากการตัดสินใจของเราก็คือลูกน้องของเราเองนั่นเองดังนั้นไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรลงไปต้องรอบคอบให้มาก มีผู้ใหญ่ท่านนึงเคยสอนผมไว้ว่า "ลูกน้องมีไว้รับชอบแต่เจ้านายมีเอาไว้รับผิด" ไม่ใช่มีลูกน้องไว้รับผิดเจ้านายเอาไว้รับชอบ อีกเรื่องก็ต้องมานั่งคิดเช่นกันก็คือว่าคนบางคนในหน้างานที่ตัวเองทำนั้นกล้าตัดสินใจได้สารพัดเรื่องไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่ไหนก็สามารถรับมือได้สบายๆ แต่พอมาถึงเรื่องชีวิตประจำวันของตัวเองเช่นว่าวันนี้จะกินข้าวกับอะไรดีกลับไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรหรือทำอะไรขอแค่ให้เรารู้ว่าเราทำสิ่งนั้นไปทำไม ตัวเอกของเรื่องคือ Jeremy Renner ที่เล่นเป็น SSG William James แม้ว่าตอนแรกจะไม่รูว่าตัวเองนั้นทำงานนี้ไปเพื่ออะไรแต่สุดท้ายเค้าก็รู้ด้วยตัวของเค้าเองในที่สุด ว่าจริงๆ แล้วเค้าต้องการอะไรในชีวิตนี้ในมุมมองของทหารคนหนึ่ง ทหารคนที่ต้องใส่ชุดเกราะเคฟล่าร์หนักเพื่อกันสะเก็ดระเบิดและเกราะหนักนี้เองที่เป็นเสมืือนเป็นตู้ล็อคเกอร์ซึ่งเก็บเอาความเจ็บปวดของตัวผู้ใส่ที่เก็บสะสมจากคนรอบข้างเอาไว้ข้างในไม่ให้มันแสดงออกมา..

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ Rolling Eyes

Knowing ตามสูตรเกินไปมั้ย

ผู้กำกับ: Alex Proyas
บท: Alex Proyas, Ryne Douglas Pearson, Juliet Snowden, Stiles White, Stuart Hazeldine
กำกับภาพ: Simon Duggan
นักแสดง: Nicolas Cage, Chandler Canterbury, Rose Byrne, Lara Robinson

หลังจากเมื่อคืนเจอภาพยนตร์แนะนำ Funny games จากเพียวเชลซีเข้าไปทำให้งงไปครึ่งวันบ่ายแก่ๆวันนี้เลยขอเพิ่มความมึนให้กับตัวเองโดยมาดูภาพยนตร์ที่กำลังขึ้นหิ้งอยู่บน Box office ของ US ที่ชื่อว่า Knowing ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกหน้าตายเจ้าของรางวัลออสการ์นิคเคจหลายของปู่คอปโปล่าผู้กำกับ the Godfathers นั่นเอง

หนังเร่ิมต้นเมื่อ 50 ปีก่อนที่โรงเรียนประถมแห่งนึงในแมสซาจูเซ็ต(Massachusetts)ที่คุณครูประจำชั้นได้ให้เด็กๆวาดรูปสิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกแก่คนในอนาคตจากนั้นจะเอาไปบรรจุลงไป Time capsule เพื่อบรรจุลงในพื้นหน้าโรงเรียนแล้วค่อยเปิดอีกทีในอีก 50 ปีให้หลัง แต่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Lucinda Embry เธอได้ทำอะไรที่มากกว่านั้นคือได้เขียนกลุ่มตัวเลขมากมายให้คุณครูได้นำไปบรรจุลงไปจากนั้นเธอก็หายตัวไปเมื่อคุณครูได้ตามหาก็เจอเธอกำลังเอานิ้วขูดประตูเพื่อบอกอะไรบางอย่างแก่คนในอนาคตและนี่ก็คือที่มาของเรื่อง จากนั้น 50 ปีก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก John Koestler ศาสตราจารย์แห่ง MIT(Massachusetts Institute of Technology) และ Caleb ลูกชายต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเลขชุดนี้โดยบังเอิญ(หรือเปล่า) ซึ่งตัว John เองเชื่อว่า"ในโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ"ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วหนังก็พาเราไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หายนะต่างๆให้ชุ่มอกชุ่มใจไปจนจบเรื่อง

เรื่องนี้อยากจะบอกว่าได้อารมณ์หลากหลายมากจนไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงออกมาให้พอดีได้ เพราะว่าดูๆไปเหมือนนั่งดูหนังของนายมาโนชชยามาลาลผสมกับหนังแนวหายนะหลายต่อหลายเรื่องที่ผ่านๆมาแล้วเช่น Deep impact, Contact, The day after tomorrow etc.. บวกกับเอาความเชื่อทางศาสนามาเล่นด้วยทำให้ผมรู้สึกว่าบทมากเกินไปนิดๆยิ่งบทสรุปที่เหมือนกับว่าทำตามสูตรมากไปหรือเปล่าทำให้ตอนจบไม่ค่อยสวยนัก แต่สิ่งที่น่าชมก็คือ effect ครับแม้จะไม่ใช่ส่ิงแปลกใหม่เพราะเดี๋ยวนี้ CG ก้าวล้ำหน้ามาไกลพอสมควรแล้วแต่ว่ามุมมองในการนำ CG มาใช้ในเรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างทำออกมาได้บีบคั้นและกดดันพอสมควร ขอชมผู้กำกับภาพ Simon Duggan ครับที่ทำภาพอุบัติภัยต่างๆในเรื่องดูน่ากลัวดีจริงๆเริ่มตั้งแต่ฉากเครื่องบินตกที่อยากบอกว่าคิดได้ไงถึงทำภาพได้น่ากลัวขนาดนั้น

โดยภาพรวมๆของหนังถือว่า Alex Proyas ทำหน้าที่ผู้กำกับได้ดีผมชอบผลงานของแกมาตั้งแต่ The Crow ในปี 2538 ส่วนในตอนหลังๆนี้งานของแกที่เข้าตาก็มี I, Robot ซึ่งถือว่าทำฉาก Action ได้เข้าท่ามากๆเรื่องนึง สำหรับเรื่องนี้ก็อีกเช่นกันฉากกดดันอารมณ์ถือว่าเยี่ยมแต่ก็ติดตรงที่บทอย่างท่ีบอกไว้จึงทำให้ประเด็นของเรื่องมีหลายประเด็นเกินไปจึงทำให้รู้สึกว่าหนังไม่สุดเลยซักด้าน ส่วนนักแสดงเริ่มตั้งแต่นิคเคจก็เล่นได้ตามมาตรฐาน(ของแก)เหมือนเดิมท่ายืนอ้าขากางแขนเล็กน้อยของแกทำให้แอบนึกถึง National treasures ขึ้นมาตะหงิดๆ ดาราเด็กสองคนที่เล่นก็โอเคคนอื่นก็เฉลี่ยๆไปตามบทที่ได้รับ เรื่องนี้ไม่มีตัวดาราคนไหนเล่นได้แบบน่าจดจำเป็นพิเศษเลยยกเว้น CG(บางฉาก)กับน้องพระเอก Nadia Townsend แม้จะโผล่มาบางฉากแต่ก็น่ารักดี

ข้อคิดจากเรื่อง: อดีตแม้เราจะทำอะไรกับมันไม่ได้แต่"อนาคตนั้นเรากำหนดได้" ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ถูกต้อง 100% เพราะตราบใดเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น"เรา"เปลื่ยนแปลงมันได้เสมอเพียงแต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่เท่านั้นเองดังนั้นวางแผนให้ดีละกันนะก่อนจะก้าวเดินออกบ้านไป

K n o w i n g " w h a t t o d o " i s e v e r y t h i n g . . .

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลงครับ Rolling Eyes

[ Review ] Ray Samuel Audio The Apache

ขอเคารพนัก DIY, Modify, C&D, R&D ทุกคนครับที่ทำให้โลกนี้ได้มีอุปกรณ์ที่สร้างความสุนทรีย์ทางด้านเสียงออกมา ทุกคนล้วนได้ชื่อว่าเป็นนักพัฒนาด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตัวเอง วงจร เพื่อเค้นเอาศักยภาพที่แท้จริงของเราออกมาให้โลกได้รับรู้ จะได้เป็นตัวอย่างของการกล้าคิดกล้าทำกล้าตัดสินใจแก่เด็กรุ่นหลังสืบไป


นำเรื่อง: เกือบสามสิบปีก่อนเมื่อคุณยายซื้อซาวน์เบาท์ให้ผม เป็นครั้งแรกที่เสียงเพลงในแบบสเตริโอทำให้ผมตื่นเต้นแบบสุดๆ เพราะว่าเสียงจากหูฟังตัวซ้ายและขวาแยกออกจากกันอย่างชัดเจนซึ่งเป็นของแปลกใหม่มากสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างผม นับได้ว่าซาวน์เบาท์เครื่องน้อยสีเหลืองตัวนั้นเป็นแรงบันดาลใจจนทำให้ผมต้องมาเล่าเรียนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ในที่สุด

การที่จะทำให้วงจรภาคขยายมีเสียงออกมาแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไปนักเพราะมีวงจรอยู่ไม่กี่แบบไม่ว่าจะเป็นคลาส A B AB หรือไม่ว่าจะเป็นคลาสอะไรก็ตามแต่เพราะมีหลักการในการออกแบบที่ตายตัวอยู่แล้ว ที่ยากก็คือส่วนผสมที่คลุกเคล้าอยู่ในวงจรนั้นที่ทำให้เสียงที่ออกมากลมกล่อมถูกหูถูกใจผู้ฟัง เรื่องนี้เป็นศาสตร์และศิลป์มากๆ ดังนั้นผมจึงรู้สึกเคารพทุกคนที่ตั้งใจออกแบบให้มีวงจรภาคขยายหรือที่เรียกกันติดปากว่าแอมป์ออกมา ไม่ว่าแอมป์ตัวนั้นจะมีราคาค่าตัวเท่าไหร่หรือใช้วงจรแบบไหนก็ตามทีเพราะคนที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีความ"รัก"ในสิ่งที่ตัวเองทำแม้ว่าบางครั้งจะทำออกมาเพื่อหวังผลทางการค้าก็ตามแต่ความคิดแรกที่เค้าทำวงจรออกมาผมเชื่อว่าเค้าต้อง"รัก"ที่จะทำมันก่อนเป็นอันดับแรกทุกคนไป

Ray Samuel ก็เป็นอีกคนนึงที่เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานทางด้านนี้ออกมาและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในเรื่องของคุณภาพและความทนทานของผลิตภัณฑ์ในวงกว้าง ชื่อของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นของเค้าก็ตั้งชื่อได้คิกขุอาโนเนะดีไม่ว่าจะเป็น The Tomahawk, The Hornet, The Predator, Stealth, The Apache หรือแม้แต่ B52 อันเป็นรุ่นที่แรงและแพงสุดในตระกูลของ Headphone-pre amp ภายใต้ตรา Ray Samuel Audio ผมว่าเสียงนี่คงจะทำให้ความรู้สึกกระจุยกระจายกระเจิดกระเจิงเหมือนกับเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิหลังถูกหย่อนเจ้า Little boy ลงไปในสมัย WWII แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงงานอีกชิ้นนึงของตา Ray ก็คือ The apache ที่ผมได้รับความกรุณาจากคุณคิมให้มาดูแลเนื่องจากคุณคิมมี Order เข้ามาจากฝั่งยุโรปเลยจำต้องยกพื้นที่ทางโซนอเมริกาให้ผมดูแลแทนชั่วคราวถึงถาวรไปก่อน Very Happy

การออกแบบ: หน้าตาของเจ้าคอปเตอร์จู่โจมลำนี้ดูแข็งแรงดีครับผม แยกเป็นสองชิ้นคือส่วนของภาคขยายและภาคจ่ายไฟ หน้าปัดเรียบหรูทำจากอลูมินั่มไสขึ้นรูปสีขาวดูสะอาดตาพร้อมลายสกรีนที่เห็นได้ชัดเจนดีครับดูมีค่าสมราคา

มีปุ่มเลือกแหล่งสัญญาณอยู่สองหมวดคือ Balanced และ Single ended หมวดละสองตัว ปุ่มที่ใช้เป็น LED สีแดงเมื่อไหร่ที่กดเลือกก็จะสว่างให้เราได้รู้ว่าตัวแอมป์รับ input จากแหล่งใด อีกอย่างเมื่อไหร่ที่เลือก Input แล้วขั้วต่ออื่นๆ ที่ไม่ถูกเลือกจะถูกตัดลงกราวน์ไปเพื่อกันการสัญญาณข้ามช่องหรือที่เรียกว่า Cross talk เพื่อความบริสุทธิ์ของสัญญาณที่ออกมา

ด้านหน้ามีรูเสียบ Headphone ทั้งแบบ Single ended และ Balanced พร้อมตัวเลือกปรับ Gain สามระดั�

ข้อมูลทางเทคนิคเผื่อว่าอยากจะทราบ

Input impedance: 50K
Output impedance: Headphone amp, 8-2K
FreQ Response: 5-100K
Channel separation: Dual mono
Output signal strength: up to 10 volt
THD: less than .0002

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
Cans: ATH L3000, ATH W5000, GS1000
CD: C.E.C. 3300R
PCs: Mac mini, PC custom made by OmoNemo
DAC: bel canto DAC3
DAC-AMP: Musical fidelity x-can v8

สาย Digital: Kimber ADGL Silver XLR
สายสัญญาณ RCA: Homegrown Silver Lace
สายสัญญาณ XLR: Cardas Golden Reference
สายไฟ: Kimber PK10, AC Custom Made by Omonemo
สาย USB: Kimber B-bus USB



ความประทับใจแรก: กล่องกระดาษที่ใส่ทำออกมาดูดีครับผม แยกออกเป็นสองชิ้นเพื่อความสะดวกในการประกอบติดตั้งพร้อมโฟมกันกระแทก ต้องขอขอบคุณคุณคิมที่เก็บรักษาของเอาไว้เยี่ยมมาก แม้กล่องก็เก็บไว้ในสภาพดีมาก

ความเป็นดนตรี: Apache ตอบโจทย์ข้อนี้ได้ดีมากครับฟังเพลงได้หลากหลายแนวดีแต่ก็ขี้ฟ้องมากถึงมากที่สุด แผ่น CD หากทำ Master มาไม่ดีเจ้านี่ฟ้องเลยหละ ส่วนไฟล์ที่ิ Rip มาต่ำกว่า 192K นี่ไม่ต้องพูดถึงครับฟังแทบจะไม่ได้เพราะหยาบและมีเกรนแตกในช่วงความถี่สูงและต่ำในบางเพลง แต่กับไฟล์ที่ Rip มาดีๆ นี่แจ๋วเลยครับผมอาจจะฟังไม่เพลินหรือเพราะเท่า CD แต่ก็โอเคเลยหลายเพลงพอฟังแล้วขยับขาตามโดยไม่รู้ตัว แต่ดูเหมือนว่า Pop, R&B, Rock กับ Electro จะเข้ากับเค้าได้ค่อนข้างมากกว่าอย่างอื่นคงเป็นเพราะการตอบสนองความถี่ที่ทำได้ฉับไวของ apache นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Classic Rock นี่ก็โอมากๆ เสียงของเครื่องสายก็พริ้วไหวดีครับ ฟังไปเพลินๆ เวลาผ่านไปไม่รู้ตัวเลย ( CDs: Queen Greatest hits, Grease OST, Fresh! EMI, Dire straits: Brother in arms Remaster, Clair Marlo: Let it go, David Arkenstone: The Celtics book of days, Various Artists: WOW integrity's Worsh!p, That things you do OST / Files: Alison Krauss: Now that I've find you, Across the Universe OST, Frente!: Marvin the album, Whigfield: Now 1995 )

เสียงความถี่ต่ำ: ต่ำลึกนี่ลงได้ลึกดีมากครับไม่มีครางเลยจากเพลง Why so serious ? ช่วงนาทีที่ 3.23 (The Dark knight OST) เสียงทิมปะนีก็หนักดีมาก ( Raiders March: John Williams ) เสียงกระเดื่องมีเนื้อหนังดีครับแม้ว่าจะฟังจากหูอย่าง W5000 อันนี้อัศจรรย์เพราะผมไม่คิดว่า W5000 จะให้เบสออกมาได้ขนาดนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ W5000 ฟังเพลงร็อคมันส์ขึ้นมาทันที (Welcome to paradise: Greenday, Maroon5: Sunday Morning, I'm just a kid: Simple Plan, This moment: Disturbed ) เสียงความถี่ต่ำแบบสังเคราะห์ก็สะอาดดีครับ (Gallery: Mario Vazquez, Is it you: Cassie, Say ok: Vanessa Hudgens) ความถึ่ต่ำของ Apache กระชับไม่บวมเก็บตัวเร็วไม่หนืด แต่ว่าเบสช่วงบนน้อยไปนิดๆ โดยเฉพาะเมื่อฟังจาก GS1000 และ W5000

เสียงกลางและความสด: ไม่หวานเหมือนกับหลอดแต่ว่าสดฉ่ำมีชีวิตชีวา เพลงร้องเป็นเพลงส่วนใหญ่ที่ผมฟังเป็นประจำทีแรกก็เกรงว่า Apache จะให้เสียงร้องออกมาไม่ได้เหมือนกับแอมป์หลอดที่เคยครอบครอง แต่เมื่อเทียบกับ x-can v8 ที่ใช้เสียงร้องค่อนข้างหวานฉ่ำ Apache แลกหมัดได้สบายๆ เผลอๆ มีชนะคะแนนในบางยกด้วยครับผม

เมื่อเทียบกันระหว่าง L3000 กับ W5000 กลางที่ Apache ให้กับ W5000 ฉ่ำสู้ L3000 ไม่ได้เพราะมวลของ L3000 มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ( Spanish Harlem: Rebecca pidgeon, Blackbird: Evan Rachel wood, Where are you Christmas: Fatih hill, Remembering you: The chronicles of Narnia OST, Only hope: Mandy moore, And it feels like: Leann Rimes, Told you so: Jesse McCartney ) แต่ว่ากลางของW5000 เปิดมากกว่าโดยบุคลิกของตัวหู เสียง Sax สดมากแถมแผดดังออกมาอย่างมีชีวิตทำให้ฟัง Jazz แล้วอินได้ไม่ยาก ( Principles of Desire: Russ freeman & The Rippingstons, Tell mama: Stanely thomas Keiser )

เสียงสูง: เสียงของหลายๆ เพลงจากแผ่น The Sheffield Jazz Experience ทั้งเสียงเครื่องดนตรีที่เป็นโลหะ เครื่องสายและ Percussion หลายๆ ชิ้นออกมาแผ่วพริ้วดีครับ แต่ว่าปลายเสียงออกจะห้วนไปนิดนึงตรงนี้เป็นจุดอ่อนของแอมป์แบบ Solid State ครับ ซึ่งโดยคุณภาพของเสียงสูงที่ออกมาจาก Apache ถือได้ว่าทำได้ดีครับผม ฟังจาก W5000 นี่พริ้วมาก

ตำแหน่ง บรรยากาศ มิติและเวทีเสียง: Apache ให้เวทีเสียงไม่กว้างมากนักแต่ตำแหน่งของชิ้นดนตรีแม่นยำ เพราะการออกแบบที่เป็น Dual-mono เรื่องการแยกช่องสัญญาณซ้ายขวาจึงเป็นไปอย่างเด็ดขาด เสียงที่ไม่เหลื่อมกันทำให้ตำแหน่งมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นหากฟังจากแผ่นพวกแสดงสดนี่จะฟังออกได้อย่างชัดเจน สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในระหว่างเล่นของนักดนตรีได้ไม่ยาก ตำแหน่งมิติหน้าหลังทำได้ดีครับแม้ว่าการฟังจากหูฟังจะรับรู้เรื่องนี้ได้ยากกว่าลำโพงที่ตั้งตำแหน่งไว้ดีก็ตาม

การต่อแบบ Balanced เทียบกับ RCA ตรงที่ผมฟังแล้วสังเกตุถึงความต่างได้อย่างชัดเจนก็อยู่ตรงบรรยากาศรายล้อมครับ เสียงจากการแสดงสดที่ออกมาให้ได้ยินมีบรรยากาศรายล้อมที่ดี มีอากาศอยู่รายรอบตัวโน้ตที่ได้ยิน เสียงสะท้อนจากผนังที่ทำให้เรารู้ถึงขนาดของ Hall ได้อย่างชัดเจน เมื่อฟังจากแอมป์หลายๆ ตัวที่ผ่านมาช่องว่างระหว่างตัวนักดนตรีและเสียงสะท้อนจากผนังเหมือนมีหมอกหรือควันมาบังเอาไว้ Apache เองก็มีสภาพแบบนี้อยู่เช่นเดียวกันในการฟังจากการต่อแบบ RCA เมื่อสลับไปฟังจากขั้ว XLR เจ้าหมอกควันที่ว่านี้หายไปครับ แม้ว่าเหมือนจะไม่มีความสำคัญอะไรมากนักแต่ความรู้สึกที่ผมได้เหมือนดู DVD จากขั้ว Component แล้วเปลี่ยนไปเป็น HDMI 1080 dpi อะไรแบบนั้น ทำให้ความชัดของเสียงและตำแหน่งเครื่องดนตรีมีเพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ ( Secret Island: Stanely thomas Keiser, The Weavers: Reunion at Carnegie hall, After midnight: LThe Mcneely/levin/ Skinner Band ) อีกอย่างเสียงจากการต่อแบบ Balanced จะถอยหลังออกไปมากกว่าการต่อแบบ RCA ทำให้ฟังแล้วสบายมากกว่า ไม่อึดอัดกับเสียงที่ล้ำออกมาข้างหน้ามากเกินไป

รายละเอียด: เสียงนักร้องที่แผดออกมามีไดนามิกสมจริงดีมาก เสียงลมที่ผ่อนออกมาตอนหมดเสียงร้อง เสียงลิ้นแตะเพดานปากหรือว่าเสียงลมหายใจเบาๆ ของ Evan Rachel Wood ในเพลง Blackbird นี่จากที่เคยได้ยินอยู่แบบมัวๆ ออกมาชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ เสียงนักดนตรีขยับตัวก่อนเริ่มเล่นของเพลง Spanish harlem และจากแผ่นแสดงสดอีกหลายๆ แผ่นมีให้ได้ยินอย่างชัดเจน บางแผ่นฟังบ่อยแต่ก็มีบางเสียงที่รอดผ่านหูไปได้ Apache ทำให้ผมได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยเหล่านั้นครับผม



สรุป: Apache เป็นแอมป์ตัวที่ตอบโจทย์ผมได้เกือบครบมีขาดอยู่อีกนิดๆ ซึ่งก็คงต้องเติมอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อความสมบูรณ์ของเสียงตามที่ผมต้องการ เสียงของ Apache เปิด ไดนามิกดีมาก ตอบสนองความถึ่ได้กว้าง ความถี่ต่ำเจ๋ง ขาด Upper bass เล็กน้อย กลางเปิด สด ฉ่ำ แหลมพริ้วแต่ปลายห้วนไปนิดเดียวจริงๆ รายละเอียดเข้าขั้นเทพ โดยรวมดีที่สุดตั้งแต่เคยฟัง Headphone amp มา(ผมฟังมาไม่มาก) แล้วก็คงจะหยุดอยู่ตรงนี้สักพักนึง หากจะหาอะไรมาเพิ่มในอนาคตคงจะเป็นหู Electro แบบ TakeT หรือว่า STAX ซักคู่ผมก็คงจบแล้วหละ Smile

บทส่งท้าย: จากที่ผมพิมพ์มาทั้งหมดในเบื้องต้นนั้นถามว่ามีความสำคัญหรือไม่กับการฟังเพลง ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าสำคัญสำหรับบางคนและไม่สำคัญสำหรับอีกหลายๆ คนครับ สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่กล่าวมาขึ้นต้นก็เลยต้องไปเสาะแสวงหาเครื่อง วิธีพัฒนาหรืออุปกรณ์วิเศษอีกมากมายมาใช้กับชุดเครื่องเสียงที่ใช้อยู่เพื่อเสริมให้ได้รับรู้สิ่งทีผมกล่าวมาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับบางทีก็มาถามตัวเองเหมือนกันว่า "เอ.. เราจะฟังเครื่องหรือจะฟังเสียงกันแน่" คำตอบที่ผมได้ก็คือก็ทั้งคู่นั่นแหละ ฟังเครื่องว่ามันบอกอะไรกับเรามั่ง สามารถจะรีดศักยภาพของมันออกมาได้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ มันต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเรามากแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ฟังเสียงที่ออกมาจากชุดของเราว่าเพราะมากเพียงใดไปด้วย บางครั้งฟังแล้วก็เครียดบางครั้งก็ฟังแล้วผ่อนคลายแต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางอย่างแรกมากกว่าเพราะงานที่ผมเคยผ่านมาทำให้ต้องเป็นแบบนี้

แต่ก็มีบางอารมณ์ที่ไม่สนใจอะไรเลย เสียบหูเข้ากับเครื่องแล้วก็นั่งดื่มด่ำกับเสียงที่ออกมาให้ผมได้ยินอย่างมีความสุข ช่วงนี้ผมเริ่มจะทำอย่างหลังบ่อยขึ้น รู้สึกดีนะครับที่สามารถทำแบบนั้นได้บ่อยๆ คนเรามีหลายอารมณ์ครับอยู่ที่ว่าอารมณ์ไหนแล้วทำอะไรถึงจะมีความสุข ไม่ผิดหรอกครับที่จะซื้อหาของแพงๆ หรือว่าทำขึ้นมาใช้เอง จะชอบฟังเพลงแนวไหนหรือว่าชอบเสียงที่ออกมาอย่างไร ชอบแบบเดิมๆ หรือว่าโมดิฟาย ขอเพียงแค่ให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำโดยไม่"กระทบตนเองและผู้อื่น" จะให้ดีลองหาเวลาหลบไปอยู่เงียบๆ กับทิวเขาสายน้ำ หลับตานั่งฟังเสียงธรรมชาติดูบ้างผมว่ามันสุขสุดๆ เลยละครับ ผมทำบ่อยไม่เชื่อลองดูได้ ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับผม Smile


ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.raysamuelsaudio.com/products/apache

[Review] Musical Fidelity X-can v8 & X-PSU v8

พึ่งได้เจ้าตัวน้อยนี้มาไม่นานก่อนที่เจ้าของเค้าจะมาหิ้วไป เลยต้องเอามาลองใช้งานดูซักหน่อยเผื่อว่าอาจจะเจอของดีที่ราคาไม่โหดมากมายนักสำหรับนักเล่นหูและเล่นตาหลายๆ ท่านในบอร์ดวัยรุ่นแห่งนี้ Smile

System ที่ใช้ทดสอบ: CD C.E.C 3300R, Mac mini, เครือง PC Custom(ประกอบเอง)อีกเครื่องนึง, สาย KImber Kable ADSL XLR Digital, IC HGA Silver lace, หูฟัง GS1000, ATH W5000

การออกแบบ: เรียบง่ายดีครับ ด้านหน้ามีเพียงปุ่มปรับ Volume ขนาดใหญ่และ Selector เลือกแหล่งจ่ายสัญญาณทั้ง USB และ Line ให้เท่านั้น อ่อ ตัวนี้ใช้เป็น DAC ได้ในตัวด้วยนะครับผม หนัก 2.5 กก. เฉพาะ DAC กับ Headphone amp.

บุคลิกของเสียง: ผมใช้ X-can v8 เฉพาะภาค Headphone amp ก่อนโดยต่อมาจาก DAC3 ผ่านสาย Silver Lace ของ HGA พบกว่าเสียงของ v8 นุ่มๆ ครับสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ออกแนวละมุนเหมาะกับเพลง Easy listening, Jazz, Acoustic ไม่ค่อยเหมาะกับร็อคเท่าไหร่อาจเป็นเพราะบุคลิกของหูฟังของผมทั้งสองตัวด้วยก็มีส่วน แต่ยังไงผมว่าไม่เหมาะกับร็อคแน่นอนครับ ความเร็วและ Dynamic ที่ออกมาค่อนข้างหนืดนิดๆ แต่ก็ไม่ยืดยาดนะครับเมื่อเทียบกับอดีตแอมป์ Darckvoice 332 ตัวโมของผม อีกอย่างอาจจะไม่เหมาะกับใครที่ใช้หูที่มีบุคลิกเสียงออกมาในแนวอุ่นหรือมืด ตระกูล Senn อาจจะต้องมองข้ามไปก่อนแต่ก็ไม่แน่นะครับยังไงลองไปหาฟังดูก่อนได้ ตัวแทนในไทยอยู่ที่เอลป้าชอว์ ชั้น 3 อัมรินทร์พลาซ่า



ความถี่ต่ำ: เนือของ Mid bass มีมากพอควรเลยครับทำให้ W5000 มีเนื้อมีหนังขึ้นมาเลย กับ GS1000 นี่ไม่ต้องพูดถึงครับผม Deep bass ลงได้ต่ำดีจากการลองฟัง Soundtrack The Dark knight : track1 Why so Serious? ประมาณนาทีที่ 3.35 ดูนะครับ ปวดหูหนึบๆ เลยหละ หุหุหุ

เสียงกลาง: ดีมากครับ เสียงร้องของป๊อดจากเพลง"ช่วงที่ดีที่สุด"นี่หวานออดอ้อนพอได้เลยครับ เสียงนักร้องหญิงนี่หวานมากครับสำหรับผู้ที่ชอบเสียงแบบออดอ้อนนี่รับรองไม่ผิดหวังเลยซึ่งก็เป็นไปตามบุคลิกของแอมป์ลูกผสมอยู่แล้ว ตัวนี้เป็นทั้งหลอดและโซลิดเสตทครับ เสียงร้องที่ออกมามีความฉ่ำอยู่ในเนื้อเสียงแถมมาด้วยนิดๆ

เสียงสูง: ไปได้ไกลครับไม่จัด ฟังได้นานไม่ล้าหูเลย แต่หางเสียงยังรู้สึกว่าน่าจะไปได้อีกนิดนะ หากเปลี่ยนหลอดคงจะดีขึ้น

เวทีเสียง: ไม่กว้างมากมายนักแต่ก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ตำแหน่งเครื่องดนตรีนี่่สามารถบอกได้ไม่ยากว่าอะไรอยู่ตรงไหนแต่ก็ยังไม่ความมัวตรงขอบเสียงอยู่บางๆ เหมือนมีหมอกมาบังอยู่แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ฟังแล้วผ่อนคลายครับผม

ภาค DAC: ถือว่าดีนะครับเมื่อดูจากราคาที่ไม่แพงมากนักของ v8 เมื่อเทียบกับ DAC รุ่นพ่อนี่อาจจะพริ้วไหวและมีความเป็นดนตรีมากไม่เท่าแต่ก็ถือว่าแจ๋วครับ หากใครใช้ Com เป็นแหล่งจ่ายสัญญาณหลักผมว่าตัวนี้ก็เข้าท่าดี ฟังเพลินดีมากครับเหมาะสำหรับฟังเวลาทำงานดึกๆ หุหุหุ



ภาคจ่ายไฟ: ตัว Adapter ที่ให้แถมมานี่ให้เสียงออกมาแค่พอใช้ครับ หากจะรีดศักยภาพของเจ้าตัวน้อยนี้ออกมาให้เต็มที่นี่ต้องใช้ X-PSU v8 ตอนนี้กำลังจะลองเอาภาคจ่ายไฟภายนอกที่โมดิฟายแล้วมาลองต่อดูว่าคุณภาพเสียงที่ออกมาจะดีกว่า Adapter ที่แถมมาหรือว่าด้อยกว่า X-PSU แค่ไหนก็รออีกนิดละกันครับผมไม่ค่อยว่างเลยจริงๆ เลยช่วงนี้ หากได้ผลยังไงจะรีบมา Update ข้อมูลให้โดยด่วนเลย

สรุป: DAC amp ตัวนี้ฟังแล้วสบายใจดีครับผม ฟังได้สบายๆ ในราคาที่แพงพอได้เมื่อรวมภาคจ่ายไฟที่ราคาเกือบจะเท่า DAC เสียงออกมานุ่มละมุนเหมาะกับเพลงร้อง, pop, Jazz, Acoustic ที่มีเครื่องดนตรีไม่มากชิ้นนัก เบสลึกดีใช้ได้แต่ก็มีติดหนืดอยู่บ้างซึ่งพอทดแทนกันได้กับเนื้อของเสียง Mid bass ทีี่ได้มา รายละเอียดดี เวทีเสียงไม่กว้างนักแต่ก็ไม่แคบ

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ Laughing

[Review] Rudistor RP010B

เกริ่น: เมื่อผมได้ฟังเครื่องเสียงที่เค้าบอกว่าดีเป็นครั้งแรกความรู้สึกที่มีในตอนนั้นก็คือว่า"ทำไมเสียงมันจืดจังหว่า ที่ปรับเสียงก็ไม่มี ราคาก็แสนแพง" ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ลึกๆ ในใจ จนเวลาผ่านไปนานพอควรเมื่อต้องทำมาหากินเกี่ยวกับเพลงเลยได้ฟังดนตรีสดอยู่ทุกคืน ในบางวันที่นักดนตรีเค้ามาซ้อมกันก็จะเข้าไปนั่งฟังจนพอจำเสียงของเครื่องดนตรีได้บ้าง บางครั้งที่นึกครึ้มก็ขึ้นไปเล่นเองมั่งแล้วแต่ว่าในคืนนั้นมันส์กับอารมณ์ของตัวเองขนาดไหน และหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะหาโอกาสไปฟังดนตรีแนวอื่นเช่นพวก jazz ตามคลับต่างๆ หรือไม่ก็แอบไปฟังวง Orchestra เล่นตามศูนย์วัฒนธรรมหรือไม่ก็ตามหอประชุมที่เค้าเปิดให้เข้าไปฟัง ที่ทำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อหามาตรฐานให้กับตัวเองในเรื่องของเสียงเพราะสงสัยใคร่รู้ว่าเครื่องเสียงที่ว่ามันดีนั้นมันดีอย่างไรและให้เสียงออกมาแบบไหน

วันนึงบุญพาวาสนาส่งให้มีโอกาสได้ฟังชุดเครื่องเสียงบ้านราคาประมาณ 3 ล้านบาทเสียดายที่ผมจำยี่ห้อของแต่ละชิ้นไม่ได้เพราะฟังมานานแล้ว เป็นการนำเอาเครื่องรุ่นสุดยอดของหลายยี่ห้อมาจัดชุดไว้ให้ได้ลองฟังในงาน Hi-end Audio Show ครั้งแรกของประเทศไทย ชุดนั้นประกอบไปด้วย CD transport ตัวเท่าโต๊ะพร้อม DAC ขนาดไล่เลี่ยกัน Pre-amp Dual-mono หนึ่งตัว Power-amp mono อีกสอง และลำโพงสูงประมาณ 2 เมตรอีกหนึ่งคู่พร้อมสายสัญญาณและสายไฟขนาดประมาณงูตัวเขื่องๆ อีกหลายเส้น ระหว่างที่นั่งฟังอยู่นั้นก็ได้คำตอบว่าเครื่องเสียงดีๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คือว่าชุดนี้ให้ขนาดของเครื่องดนตรี มิติและเสียงที่ออกมาสมจริงเป็นอย่างมาก เสียงไม่บาดหูเหมือนที่เราชอบฟังตอนยังเด็ก(เค้าบอกว่าเมื่อเล็กคนเรายังโง่อยู่ พอโตมายิ่งโง่หนักกว่าเดิม หุหุหุ) เสียงที่ได้ยินมันกลมกล่อมบอกไม่ถูกซึ่งบางทีหากเราคุ้นกับเสียงที่จัดๆ อาจจะบอกว่าเสียงจืดได้แต่จริงๆ ไม่ใช่เลยครับที่ฟังดูเหมือนว่าจืดก็เพราะเสียงของแต่ละย่านมันพอดีมากต่างหาก ตั้งแต่นั้นมาจึงเข้าใจว่า "เสียงแบบนี้นี่เองที่เค้าเรียกว่า Hi-Fi หรือ Hi-fidelity" ซึ่งแปลแบบกระเหรี่ยงว่ามีความถูกต้องสูง คือเสียงเหมือนกับมีวงดนตรีจริงๆ มาเล่นให้ฟังอยู่ตรงหน้าของเรานั่นเอง

บทนำ: ในช่วงสองสามอาทิตย์นี้ผมถือว่าผมโชคดีมากครับที่ได้มีโอกาสได้ฟังเครื่องเสียงเมพๆ หลายชุดเลยซึ่งเจ้าภาพก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหนคุณ ค.. ของเรานี่เอง ทำให้ผมได้ปิดหูเปิดใจรับเสียงของอุปกรณ์หลายต่อหลายชิ้นมาเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลถาวรส่วนตัว ชิ้นล่าสุดก็คือผลงานชิ้นสุดยอดของกระทาชายชาวอิตาเลียน Dr. Rudi Stor นั่นเองซึ่งแกก็โม้ไว้ในเวปของแกว่าเครื่องที่แกออกแบบนั้นอุปกรณ์ทุกชิ้นสั่งโดยตรงมาจากผู้ผลิตและบางชิ้นก็สั่งทำมาเฉพาะสำหรับ Rudistor เท่านั้นเพื่อคุณภาพแบบสุดๆ แกยังบอกอีกว่าปรัชญาในการผลิตของ Rudistor ไม่ใช่เพียงแค่ให้เสียงที่"ดีกว่า"แต่ว่า"ดีเท่ากับเสียงจริงๆ กันเลยทีเดียว" ก็ว่ากันไปครับของอย่างนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ หุหุหุ แต่ที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับบริษัทของแกก็คือว่าบุคลากรทุกคนต้องเคยเกี่ยวข้องกับดนตรีมาไม่ทางใดก็ทางนึงไม่โดยตรงก็โดยอ้อมและอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งที่จะต้องออกไปหาดนตรีสดฟังเพื่อที่จะได้ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาเป็นดั่งที่แกคุยไว้

ข้อมูลทางเทคนิค:
Maximum Output: 1500 mW
Inputs: 1 - line balanced or Unbalanced
Bandwidth: 2Hz-100 KHz within 0.2db
Gain: 6-25 db adjustable factory preset typical 12dB
THD: <> 95db
Noise Floor: -116dB ( IEEE 20Khz band preset)

เทคโนโลยี: Solid State Quad Mono
Amplification Class: Always A-Class
Channel L-R Balance ( pot at 50%): 0.02 db
ขนาด cm: 45(กว้าง)x30(ลึก)x12(สูง)
น้ำหนัก: 14 กก.

System ที่ใช้ทดสอบ:
Cans: ATH L3K, Senn HD650+Equinox XLR, W5K+Equinox XLR, UE11 Pro.
CD : C.E.C. TL51XR Belt-drive CD
PC: Mac mini
DAC: Bel canto Dac3
Amps: Rudistor RP010B, RSA the Apache
Cables: Cardas Golden Reference XLR, Kimber AGDL Digital XLR, Kimber B-bus USB, Kimber PK10 power cable.



การออกแบบ: ทำออกมาได้แน่นหนาอลังการมากสมแล้วที่เป็นคนอิตาเลียน ที่โน่นมีของใหญ่ๆ อลังๆ ให้ดูเยอะครับผู้คนที่นั่นเลยคุ้นกับของที่มีมาตรฐานแถมมีดนตรีสดให้ได้ฟังกันอยู่ทั่วไปอีกด้วย ผมเคยไปเจอแผ่นหินปูถนนยุคโบราณกว้างประมาณ 2*2 ฟุตที่สร้างมาเป็นพันปีแล้วและตอนนี้ก็ยังใช้ได้อยู่สำหรับเจ้าแอมป์ตัวนี้ก็คงจะคล้ายๆ กันครับ Rudi ทำออกมาได้แข็งแรงสุดๆ ไปเลยหละ ที่ฝาหลังเครื่องมีแผ่น Stainless ปั๊มเป็นคำว่า Hic Sunt Leones ( here are the lions) ซึ่งมีจารึกไว้ในแผนที่ของชาวโรมันบรรพบุรุษของตา Rudi นั่นเองเพื่อบอกขอบเขตทางด้านทิศใต้ของอาณาจักรโรมันซึ่งอยู่ในทวีปอาฟริกา ตอนหลัง HSL ถูกนำมาใช้เป็นคำจำกัดความในการบอกขอบเขตของการสำรวจในที่ๆ ไม่มีใครเคยไปถึงมาก่อนและคงเหมือนกับเป็นการเปรียบเทียบไว้ว่า RP010B ทำให้ผู้ฟังได้ก้าวเข้าไปสู่โลกที่ยังไม่ได้รับการสำรวจมาก่อนทางดนตรี(เอาเข้าไป)และ S/N ที่ 080 ก็หมายความว่าตัวนี้เป็นตัวที่ 80 ของโลกนั่นเอง หน้าปัดเรียบหรูดูดุดันมากแถมเป็นสีดำอีกต่างหาก มีการเซาะร่องเป็นตัวหนังสือบอกรุ่นอยู่ด้านหน้าดูคลาสสิคดีจัง RP010B เป็นแอมป์หูฟังที่มีขนาดใหญ่มากครับตัวเกือบๆ เท่ากับแอมป์ PA เลยทีเดียว

ความประทับใจแรก: อยากบอกว่าเสียงของเจ้าตัวนี้มัน"จริง"ครับ ความสมจริงมีมากถึงมากที่สุดแถมยัง flat อีกด้วยซึ่งส่วนใหญ่พวกแอมป์หรือหูฟังที่ flat นี่ผมว่าฟังเพลงไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่นะแต่เสียงของมันออกมาถูกต้อง แต่สำหรับตัวนี้ไม่เป็นแบบที่ผมว่าครับใช้ฟังเพลงได้เพราะมากเลยหละโดยเฉพาะฟัง R&B นี่อื้ม..เมพขิงๆ ครับ อีกอย่างเสียงของตัวนี้ดุครับเนื่องจากกำลังขับเหลือเฟือเสียงทุกเสียงถูกดันออกมาเต็มๆ เหมือนที่ตา Rudi บอกไว้ว่าสินค้าของเราไม่มีคำว่ากั๊ก ขอบอกไว้ตรงนี้เลยละกันครับว่า Rudi นายเจ๋งจริง

เสียงเบส: นี่เลยครับพระเอกของงาน เสียงเบสที่ออกมานี่พอดีมากครับ เสียงต่ำของ RP010B หนักแต่พอดีคือไม่บวมหรือบางไปพอฟังกับ L3000 แล้วนี่ขอบอกว่าเจ้าหนู Apache ของผมดูด้อยไปเลยที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่าคุณภาพของเบสที่ออกมาสู้ RP010B ไม่ได้ ใครอยากรู้ว่าเบสหนักแต่พอดีเป็นไงแนะนำให้ซื้อหามาลองได้เลยผมบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ เท่าที่ผมเคยลองฟังมานี่หูฟังที่ให้เสียงกลองออกมาเหมือนกลองจริงๆ ก็มี GS1000 ที่ทำได้ใกล้เคียงว่ากันว่าแพ้แต่ R-10 เท่านั้น(เค้าบอกมา) สำหรับ L3000 ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่เหมือนกลองจริง 100% แต่ว่าให้เสียงต่ำที่มันส์ฟังสนุกและมีรายละเอียดดียิ่งพอได้เข้าคู่กับ RP010B ด้วยนี่เสียงต่ำออกมายิ่งกว่าดีครับผม เสียงหนักแน่นมีรายละเอียดและคุมจังหวะของโน้ตเบสได้แม่นมาก แยก deep mid upper bass ออกจากกันได้ชัดเจนพูดง่ายๆ ก็คือว่าเสียงของกระเดื่อง สแนร์ ทอมและเบสกีตาร์ออกมาเป็นชิ้นไม่มีเหลื่อมกันเลยแม้แต่น้อย ผมได้ลองเอา UE11 มาต่อกับ RP010B ดูซึ่งธรรมดาเจ้าตัวน้อยนี้เรื่องมากพอควรกับแอมป์ครับหากไม่ถึงจริงๆ นี่เสียงเบสออกมาไม่ได้เรื่องเลยหละแต่เมื่อต่อกับ RP010B นี่พอดีครับเบสไม่มากเกินจนล้นเหมือนที่เคยลองกับแอมป์หลายรุ่นที่ผ่านมา

เสียงกลาง: อิ่ม สดและฉ่ำ เสียงออกมาโทนเดียวกับแอมป์หลอดหากปิดตาฟังนี่แทบไม่รู้เลยละกันครับ RP101B ให้น้ำหนักดังค่อยของเสียงร้องได้ดีมากฟังแล้วรู้สึกว่านักร้องมีลีลาในการร้องโดยเฉพาะแผ่นการแสดงสดทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาทำให้ฟังแล้วสนุกไปตามบทเพลงที่ได้ยินได้ไม่ยาก เสียงเครื่องสายจากแผ่น Pure Aquaplus นี่พริ้วมากครับเมื่อเทียบกับความประทับใจในครั้งที่ผมได้ฟังจาก STAX+Woo GES แล้วแม้ว่าความพริ้วจะมากไม่เท่าซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบุคลิกของหูแบบ Electrostatic บวกกับแอมป์หลอด แต่เมื่อฟังจากหูฟังแบบไดนามิคกับแอมป์ SS แล้วให้เสียงกลางออกมาได้ขนาดนี้ผมว่าเยี่ยมมากครับ ฟังเสียงกลางจากแอมป์ตัวนี้คุณจะไม่เจอคำว่ากลางแห้งหรือว่าไดนามิคของเสียงร้องแผ่วเด็ดขาด

เสียงสูง: ผมมีความรู้สึกว่า Solid state amp ให้เสียงสูงพริ้วสู้แอมป์หลอดไม่ได้พอได้ฟัง RP010B แล้วนี่สงสัยผมคงจะต้องคิดใหม่ซะแล้วหละ รายละเอียดของเสียงสูงมีมากครับหางเสียงไม่ห้วนและลากไปได้ยาวกว่า Apache อยู่พอควร เมื่อฟังเสียงของเครื่องเคาะทองเหลืองในหลายๆ เพลงจากแผ่น Persuasive Percussion ทำให้รู้เลยครับว่าแหลมของ RP010B พร้ิวมาก ปลายเสียงของเครื่องเคาะที่เป็นไม้มีไดนามิคดีเจือด้วยความกังวานและใสกิ๊ง เสียงกระดิ่งนี่มีเรโซแนนซ์ของหางเสียงที่ยาวและพริ้วเช่นเดียวกับปลายเสียงของสายกีตาร์จากแผ่น Sound of Wood&Steel โดยเฉพาะเพลง Java man นี่จะชัดเจนมากครับ



มิติ เวทีเสียง บรรยากาศ ความเป็นดนตรีและการนำเสนอ: เพลง Jazz จะให้ความสดและมีความเป็นดนตรีสูงโดยเฉพาะกับแผ่นที่ตั้งใจอัดมาเป็นอย่างดีรวมไปถึงเพลง Country ก็เช่นเดียวกัน เพราะดนตรีในแนวที่ผมว่านี้ต้องอาศัยอารมณ์ในการเล่นสูงมากโดยเฉพาะท่อนเอื้อนของนักร้องและท่อน improvise ของเพลง Jazz หากชุดฟังเพลงนำเสนอออกมาได้ไม่ดีพอเสียงจะแห้งๆ ไม่มีชีวิตชีวาสุดท้ายก็จะจบลงที่ผู้ฟังเลื่อนมือไปเปลี่ยน track หรือไม่ก็เปลี่ยนเครื่องกันไปเลย แต่ในกรณีที่เราไปฟังการเล่น Jazz สดสถานที่แสดงส่วนใหญ่จะไม่กว้างมากนักทำให้นักร้องและนักดนตรีสามารถสื่อสารและเล่นกับอารมณ์คนดูได้ดีเวลาฟังแล้วจะอินได้ไม่ยากผมเคยเจอบางคนหลับตาฟัง jazz สดแล้วนำตาไหลออกมาก็มีครับแสดงว่าอินได้เข้าขั้น หุหุหุ พอผมเอาเพลง Jazz และ Country มาเปิดฟังกับ RP010B โดยเฉพาะแผ่นการแสดงสดหรืออัดมาสดๆ ทำให้ผมรู้ว่าไสยศาสตร์มีจริงครับ "แอมป์ตัวนี้สื่อกับผมได้แฮะ" ตอนที่ฟังกับ Apache ก็ไม่รู้สึกขนาดนี้แต่ว่าสำหรับ RP010B ขอบอกว่าใช่เลยครับอย่างนี้แหละการฟังดนตรีสด สำหรับลีลาของนักร้องแม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ว่าสามารถรับรู้ได้ครับ ผู้ใดที่โปรดเพลงในแบบแสดงสดและ Acoustic ละก็ขอแนะนำ

บางท่านอาจจะถามว่าแล้วถ้าหากเอามาฟังเพลงตลาดทั่วๆ ไปล่ะ ขอบอกว่าแจ๋วครับดังที่ผมเคยบอกไว้ว่าแอมป์ตัวนี้ให้เสียงที่"จริง" อารมณ์ของนักร้องและรายละเอียดที่ sound engineer บรรจงใส่เข้าไปตอน mix down นี่มีให้ฟังครบทุกเม็ด ส่วนใหญ่ก่อนที่จะอัดเป็นแผ่น CD ออกมาผู้ทำต้องเลือกการบันทึกเสียงครั้งที่ดีที่สุดเท่านั้นมาใช้ในการทำ Master ก่อนปั๊มแผ่นออกมา RP010B ทำให้เราได้ฟังเสียงเหล่านั้นแบบไม่มีคำว่ากั๊กด้วยกำลังที่มีมากเกินคำว่าพอและระบบ Quad-mono ของเครื่อง

ในการนำสัญญาณเข้าแบบ XLR จากแหล่งจ่ายสัญญาณจะแยกออกเป็นอิสระข้างละ 2 ชุดเพราะว่าขั้วแบบ balanced หนึ่งอันมีขั้วบวกขั้วลบและกราวน์ดแยกขาดจากกัน ในการออกแบบ Rudi บอกไว้ว่าเราสามารถจะใช้แหล่งจ่ายสัญญาณแบบใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Single ended หรือ balanced ก็ตามสามารถใช้งานได้หมดไม่เกี่ยง หากใช้หูแบบ Single ended ระบบของเครื่องก็จะเป็น Dual-mono แต่หากเป็น balanced หมดทั้ง input และ output แอมป์ก็จะใช้ภาคขยายทุกชุดที่มีพร้อมกันที่เรียกว่าระบบ Quad-mono เท่าที่ลองกับ HD650 ที่ใช้สาย SAA Equinox XLR ให้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เสียงของ HD650 เปิดและสะอาดขึ้นมาก

เวทีเสียงของ RP010B กว้าง แม้แต่ฟังจากหูแบบปิดหรือว่าหูที่มีเวทีเสียงไม่กว้างนักแบบ L3000 หรือ HD650 เมื่อฟังกับแอมป์ตัวนี้แล้วรู้สึกว่ากว้างน่าประทับใจเลยทีเดียว เวทีเสียงจะถอยหลังไปนิดๆ ทำให้ฟังได้นานไม่ล้าหู ตำแหน่งของเครื่องดนตรีแม่นยำเมื่อฟัง Orchestra วงใหญ่สามารถบอกได้ไม่ยากว่าอะไรอยู่ตรงไหนยิ่งใครที่ชอบฟังการแสดงสดของวง Orchestra ด้วยนี่รับรองว่าโดนครับหากได้ลอง ในช่วงโหมโรงของ Orchestra ที่เสียงของเครื่องดนตรีประโคมขึ้นมาพร้อมๆ กันนี่ตำแหน่งของแต่ละชิ้นยังนิ่งอยู่เหมือนเดิมไม่มีมั่ว ช่องอากาศระหว่างตัวโน้ตมีเหลือเฟือฟังแล้วไม่อึดอัด ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงดีมาก layer หน้าหลังก็ไม่มีบดบังกันเพราะความสะอาดของเสียงที่ RP010B มีให้

บรรยากาศรายรอบก่อนเพลงขึ้นนี่เงียบดีครับ ฉากหลังของเวทีเสียงมืดสนิท บรรยากาศโอบล้อมระหว่างฟังการแสดงสดเจ๋งมากสามารถรู้สึกถึงความกว้างของห้องอัดหรือ hall ได้อย่างชัดเจนในเวลามีเสียงก้องสะท้อนกลับมา สำหรับเพลงที่ใช้อุปกรณ์สังเคราะห์เสียงทำขึ้นมาในเพลงในแนว Electronica ก็ฟังสนุกดีบรรยากาศจำลองที่ sound engineer เล่นกับเพลงของเค้านี่พริ้ว มีลูกเล่นและมันส์มาก สำหรับร็อคนี่ต้องตัวนี้เลยครับเสียงและบรรยากาศแบบแสดงสดถูกอัดผ่านหูฟังออกมาแบบไม่มียั้ง ตอนฟัง Concert Simple plan, Greenday, Dashboard Confessional, Avril และ Linkin Park นี่ทำเอาอยากกระโดดตามไปเลยหละ Sound มันส์และแรงมากๆ ครับ

จากที่อ่านมาทั้งหมดนี้อาจจะฟังดูเวอร์ว่ามันจะดีอะไรได้กับทุกแนวเลยเหรอก็ขอบอกด้วยความสัตย์จริงว่าเนื่องจากเสียงของแอมป์ตัวนี้ "กลางและจริง" ทำให้ไม่ว่าจะเอาเพลงแนวไหนมาเปิดตั้งแต่ Classic Reggae Rock Pop R&B Electronica ไปยัน Acapella ก็ฟังได้เพราะ ถูกต้องและสนุกไปตามบุคลิกของแต่แนวเพลงเลยก็ว่าได้ แล้วข้อด้อยมีหรือเปล่าขอบอกว่ามีครับคือว่าราคาของมันแพงเกินแต่ด้วยคุณภาพที่ได้นี่หากใครมี L3000 ขอบอกว่านอกจาก DHA3000 ก็ตัวนี้แหละครับคู่แท้ของมัน

เทียบกับ RSA The Apache: ผมค่อนข้างพอใจกับเจ้าคอปเตอร์ศึกลำนี้อยู่มากนะครับแต่พอได้ฟัง Rudistor RP010B ก็ขอบอกตามตรงว่าในบางเรื่องนี่เจ้า Apache อายม้วนไปเลยเช่นการคุมเสียงในช่วงความถี่ต่ำที่ RP010B ทำได้ดีมากกว่าพอสมควร เสียงกลาง RP010B ก็เต็มกว่า รายละเอียดให้มามากพอกันแต่ที่สู้ไม่ได้คือว่าเสียงของ RP010B แบ่งออกเป็นชั้นๆ อย่างชัดเจนและมีความเป็น 3 มิติมากกว่าจึงทำให้เสียงของ Apache ติดแบนไปนิดๆ เวทีเสียงของ RP010B กว้างและลึกกว่า Apache อยู่เล็กน้อย



สรุป: ขอบอกว่า RP010B ให้เสียงที่ "จริง ถูกต้อง กว้างและหนัก" ครับ เป็นแอมป์ Solid state ที่ให้เสียงคล้ายกับบุคลิกของแอมป์หลอด เบสมีคุณภาพหนักแน่นมีรายละเอียด กลางฉ่ำสดไม่หวานมากเกิน แหลมพริ้วละเมียดทอดตัวยาวไม่บาดหู รายละเอียดระยิบ มีความเป็นสามมิติของเวทีเสียงสูง เวทีเสียงกว้าง อิมเมจไม่ใหญ่มากไป เหมาะสำหรับเพลงในแนวแสดงสดมากแต่ก็ไปได้ดีกับเพลงในแนวอื่นๆ ใช้ได้ดีกับหูฟังหลากรุ่นหลายแบบตั้งแต่ IEM ไปจนถึงหู FS แบบ Single end หรือว่า balanced

ครูของผมท่านสอนไว้ว่า

ถูก คือ ได้มาตรฐาน
ผิด คือ ไม่ได้มาตรฐาน
ดี คือ รู้ว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหนแล้วตั้งใจจะทำให้ได้เท่ากับหรือมากกว่าถูก
เลว คือ รู้ว่าผิดคืออะไรแล้วก็ตั้งใจจะทำให้ผิดหรือมากกว่าผิด


ในกรณีนี้ผมขอสรุปว่าทีมงานของ Rudi เค้ามีมาตรฐานในการฟังที่สูงมากแล้วก็ตั้งใจจะผลิตงานออกมาให้ได้มาตรฐาน ดังนั้นแอมป์ตัวนี้ที่มีชื่อยี่ห้อว่า Rudistor รุ่น RP010B เป็นแอมป์ที่"ดี"ตัวนึงเท่าที่มีการสร้างขึ้นมาในโลกใบนี้ครับ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับทุกคน Smile


เวปไซต์ที่เกี่ยวข้อง:
http://www.rudistor.com/soundsystems/RP010.htm



[Newbie's Review] Rudistor RP010B MkII : Quad Mono Headphone-Pre Amp.

Prologue: A decade and couple years ago I used to work in the club, that's the time I explored the music world that had me realized how cool the sound of live performance was, even though I quit the job for running my own business but the passion in the music still, so I get myself a small cans set-up that I could enjoy the songs from my CDs collection after work.

Sometimes I went out Cans Jam with my friends so we could share our thought on songs and learn the differences between sound signature of the Cans and amps from various manufacturers, for doing that, live performance experienced as well as an hours of observation still in need so we could defines how good&different the sound were.

Few weeks ago my good friend peeradonn give me an opportunity testing his Rudistor RP010B MkII with my Cans set-up and I kinda like it so I decide to share my expression with you guys.

My setup:
Cans: ATH L3K, Senn HD650+Equinox XLR, W5K+Equinox XLR, GS1K and UE11 Pro.
CD : C.E.C. TL51XR
PC: Mac mini
DAC: Bel canto Dac3
Amps: Rudistor RP010B, RSA the Apache
Cables: Cardas Golden Reference XLR, Kimber AGDL Digital XLR, Kimber B-bus USB, Kimber PK10 power cords.



First Impression: The size is huge for the headphone amp, the sound was Neutral and Real out of my L3K, I'd say it's more like the sound of lives performance from my Jazz collections and tubes like in sound signature, most of all the amp is slamming on Rocks. With the CD "The weaver's Reunion at Carnegie Hall 1963" the Soundstage is wide, deep and transparent, the Ambient is great, the background is black using both Balanced&Single-ended.

Bass: Punchy, tight, deep, detailed, the separation of deep mid and upper bass are outstanding, the PRaT[Pace Rhythm and Timing] is good, I think I'm in love with the fast & precise note in low area from the amp.

With full size cans both close & open the bass is great but how about an IEM? my UE11 has some problem with the boomy bass while plugged into many headphone amps but not this RP010B, the quantity and quality is perfect out of my UE11.

Midrange: The amp has excellent midrange, it's full, neutral, smooth, perfectly presented&warm, a bit recess so it's good for a long period listening session.

Comparing with the midrange of STAX SR-007A+Woo GES Maxed Electrostatic headphone amp, it's even in smoothness and shared almost the same sound signature but STAX setup is somewhat better.

The female voice out of my L3000 is full, lively and feel like the singer is standing right in front of me, especially Rebecca Pidgeon's "Spanish Harlem".

Treble: Silky, lively, extended and tamed my W5K tinny sound[before I had fitz modd]. I have to admit that I like the treble from the tube amp over solid state, I thought the treble of SS amp are edgy and also has a sibilant mid-hi but after the listening session with RP010B I have to change my point of views with all that.

The sound of cymbal, hi-hats and brass percussions are sharp and extend, the dynamic are fast as they should be, I could hear the clear long vibrating resonance after they've been hit as well as the sound of guitar strings from the CDs "Sound of Wood&Steel and Persuasive percussion", the focus of the higher notes are excellent.

Tonality: Smooth and Natural.

RP010B and RSA The Apache in Comparison: Using balance mode IMO they are par in details and image, RP010B excels Apache in Low freq, clarity, depth layering, The soundstage is more 3D and slightly wider than The Apache.




Conclusions: If you want the Musically, Neutral, Wide soundstage, Vividly detail and Tube like sound signature Solid state Amp, this is the amp for you.

IMO when I listen to the sound from my L3K connected with RP010B felt like I could "interact" with the sound that I've heard, as the feeling I had when listen to the musician play in Live performance, that's all I could say about the amp, Thank you for reading this far. "Enjoy your listening"

Thanks peeradonn, I'm agreed with you that this amp sound good with any Cans especially the dark ones, appreciated my friend.


For more info: HIC SUNT LEONES.....RP010

ผู้ติดตาม