วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Wilderbeast Society

วันนี้ออกไปสมุทรสงครามแต่เช้าเพื่อไปหาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจากนั้นขากลับก็วิ่งรถมาเรื่อยบรรยากาศสองข้างทางเงียบเหงาน่าดูแถมมีรถที่ใช้สำหรับกักขังผู้ต้องหาของตำรวจวิ่งเข้ากรุงเทพเป็นกลุ่มๆ ระหว่างวิ่งอยู่บนทางด่วนก็พอเห็นควันสีดำที่คงจะเกิดจากการเผายางมาจากฝั่งทางสวนลุมซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ได้เห็นรถขนผู้ต้องหาวิ่งเข้ากรุงเทพ

เมื่อเห็นอย่างนี้ก็มานั่งนึกๆ ถึงคำพูดของอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่ให้ภาพของบ้านเมืองตอนนี้ได้ค่อนข้างชัดว่าสังคมไทยเดี๋ยวนี้เป็นสังคม"ควายตื่น" เกิดอะไรขึ้นมาซักเรื่องนึงก็ฮือตามกันไปทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีโดย"ไม่มีสติกำกับ"เกิด"สุญญากาศทางความคิด"เลยทำให้ถูกชักจูงไปได้โดยง่าย สถานการณ์แบบนี้ถ้าเจอผู้นำกลุ่มที่ดีก็ดีไปแต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเพราะไม่รู้จักยั้งใจระงับอารมณ์พร้อมจะกรูกันไปทางไหนก็ได้ถ้ามีใครวิ่งนำไปก่อนเหมือนกับ Wilderbeast ในทวีปแอฟริกาที่ปีๆ นึงได้วิ่งกรูตามกันไปที่เรียกอย่างสวยหรูว่า The Great Migration จนพากันไปตายหมู่ที่หน้าผา บางปีนี่ตายกันเป็นล้านๆ ก็มี นึกอธิษฐานในใจว่าขอให้มีผู้นำกลุ่มที่ดีซักคนที่คิดได้ว่าตัวเองกำลังนำพาคนอีกเยอะแยะมากมายให้เสียชีวิตหรือไม่ก็นำพาให้คนสูญเสียสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์อยู่ได้หยุดการกระทำของตนเองซะ ส่วนตัววันนี้ก็เสนอแนวคิดบางเรื่องไปให้กับผู้นำกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไปแล้วก็จะนั่งรอดูว่าสิ่งที่ได้เสนอไปแล้วนั้นจะพอช่วยแก้ไขอะไรได้มั่ง เผื่อว่าจะช่วยเตือนสติ wilderbeast บางฝูงให้หยุดการกระทำที่ไม่สมควรซะแล้วบ้านเมืองจะได้สงบกันเสียที สุญญากาศทางความคิดจะได้ถูกทัศนคติที่ดีเติมเต็มเข้าไปแล้วประเทศจะได้ก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ สถานการณ์โลกในขณะนี้ถ้าประเทศไหนกำลังถอยหลังลงคลองอยู่นั้นโอกาสจะตามโลกให้ทันเป็นไปได้ยาก แม้ไม่ต้องถอยหลังลงคลองหรอกแค่เพียงหยุดอยู่เฉยๆ ไม่มีการขยับตัวอะไรที่เป็นการ"พัฒนาทางด้านสังคมความคิดและเศรษฐกิจ"แค่นี้ก็แย่มากพอแล้ว..

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยน้ำแข็ง

ประมาณยี่สิบปีก่อนเป็นช่วงที่มีความสุขมากๆ ช่วงนึงของชีวิตผมก็ว่าได้ครับ เพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่มีเวลาเป็นของตัวเองเยอะมากๆ แต่ความรู้สึกในตอนโน้นเหมือนกับว่าเวลามันน้อยเหลือเกิน แปลกอยู่อย่างว่าสมัยเรียนเรามักจะอยากจะจบกันพอจบมาทำงานแล้วก็นึกอยากจะกลับไปเรียนอีก หลายๆ ท่านก็หาทางออกโดยไปเรียนปริญญาโทหรือเอกเพิ่มหลังจากทำงานแล้วซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีครับขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมยิ่งถ้าได้ผ่านประสบการณ์ทำงานมาแล้วระยะหนึ่งนี่เหมือนกับไปต่อยอดให้แก่ตัวเองเพื่อเพิ่มเสริมเติมความรู้ให้ลึกยิ่งกว่าเดิมและที่สำคัญที่สุดก็คือได้เพื่อนเพิ่มขึ้นด้วยซึ่งตรงนี้อาจจะช่วยอะไรได้มั่งในการทำงานของเราให้ราบรื่นมากขึ้น

พูดถึงเพื่อนเมื่อนึกกลับไปสมัยโน้นก็พอมีกับเค้าบ้างอยู่เหมือนกัน ยิ่งเพื่อนสมัยเรียน ปวช. ด้วยนี่ความรู้สึกผูกพันจะแน่นแฟ้นมากเป็นพิเศษเพราะว่าได้ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกันในช่วงเวลาที่กำลังพัฒนาทางด้านความคิดและร่างกาย ตอนนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าวเพราะว่าเป็นหน้าร้อน พอร้อนทีไรก็อยากนึกถึงอะไรเย็นๆ ทุกทีไปเมื่อเอ่ยถึงความเย็นแล้วก็คงไม่มีอะไรดีกว่า"น้ำแข็ง"อีกอย่างที่นึกถึงได้ง่ายก็เพราะที่บ้านขายอยู่ โดยที่ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาปิดภาคเรียนฤดูร้อนผมมักจะพาเพื่อนไปทำงานที่โรงน้ำแข็งที่บ้านเนื่องจากพ่อแม่จะให้ดูแลโรงน้ำแข็งในช่วงนั้นเพื่อฝึกเราได้รู้จักรับผิดชอบแต่ที่ตัวเราเองต้องการมากกว่าความรับผิดชอบก็คือ"เงิน"ที่จะได้เอาไว้ใช้ในตอนเปิดเทอมหรือไม่ก็เพื่อเอาไปซื้อของอย่างอื่นที่ได้หมายตาไว้

ถามว่าเหนื่อยมั้ยดูแลโรงน้ำแข็ง ก็ขอบอกว่าเหนื่อยครับแม้ว่าของเราจะเป็นโรงน้ำแข็งขนาดเล็กก็ตามแต่่ว่าก็มีโรงเก็บขนาดใหญ่พอสมควรเอาไว้กักเก็บน้ำแข็งสำรองไว้ขายในช่วงสงกรานต์ที่ถือว่าเป็นช่วงที่ขายดีมากที่สุดของปีโดยที่แต่ละวันขายได้น้ำหนักเกินสิบตันเลยทีเดียว นอกจากเพื่อนๆ สองสามคนที่มาช่วยแล้วก็มีลูกน้องอีกสี่ห้าคนเอาไว้ช่วยกันชั่งหรือว่าแพ็คถุงน้ำแข็งให้ลูกค้าหิ้วไปใช้ได้โดยสะดวกโดยที่ราคาขายปลีกและส่งก็แตกต่างกันไปตามความคุ้นเคยและจำนวนที่ลูกค้าสั่ง

เนื่องจากว่าเครื่องผลิตของเรามีขนาดเล็กบางจังหวะก็ต้องเอารถออกไปซื้อน้ำแข็งในตัวจังหวัดและตรงนี้เองที่ได้ศึกษาภูมิปัญญาของชาวบ้านในการขนน้ำแข็งกลับไปยังท้องถิ่นของแต่ละคนแต่ที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือกรรมวิธีการจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งของคุณพ่อของผมเอง เนื่องจากว่าถ้าคุณพ่อได้เรียงน้ำแข็งแล้วมันดูเรียบร้อยและแน่นหนาอย่างที่เราเองก็ทำได้ไม่เท่าท่านเพราะความละเอียดและอดทนยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านเองได้ก่อร่างสร้างโรงน้ำแข็งมาด้วยหนึ่งสมองสองมือของเพราะเป็นเช่นนี้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องก็คือรายได้ที่เอาไว้เลี้ยงชีวิตและที่สำคัญที่สุดคือเอาไว้เลี้ยงดูครอบครัว สรุปให้สั้นก็คือ"งานที่ท่านทำคือชีวิตของท่าน"นั่นเอง

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าน้ำแข็งมัน"ละลาย"ถ้าการขนส่งไปในระยะทางใกล้ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่จะจัดเรียงยังไงก็ได้เพราะว่าปริมาณน้ำแข็งที่ละลายมีไม่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับที่บ้านของผมโรงงานที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหกสิบกิโลแต่ส่วนใหญ่ที่จะไปรับเองมักจะเป็นโรงน้ำแข็งใหญ่ในตัวจังหวัดที่ต้องขับรถไปประมาณเก้าสิบกิโลกันเลยทีเดียว และโดยระยะทางขนาดนี้ถ้าเราจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งไม่ดีแล้วละก็จะกลายเป็นเสียเวลาเปล่าเพราะว่ากำไรจะละลายไปหมดในระหว่างทางหรือแม้กระทั่งเข้าเนื้อตัวเอง สมัยโน้นคุณพ่อได้สอนผมให้ได้รู้จักเอาผ้ายางปูพื้นคลุมก่อนโดยจะปูผ้าคลุมไล่จากครึ่งกระบะที่ใช้เรียงถุงค่อนไปทางกระโปรงหน้ารถ จากนั้นเมื่อจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งเสร็จเรียบร้อยก็เอาผ้ายางนั้นตลบกลับมาคลุมไปทางฝาปิดท้ายกระบะจากนั้นก็มัดให้แน่นหนาเป็นอันเสร็จพิธี

ด้วยประสบการณ์ที่ท่านทำไม้มาก่อนแล้วที่บ้านก็เป็นจุดพักรถสิบล้ออีกด้วยทำให้คุณพ่อได้เห็นการมัดเงื่อนสารพัดแบบของเหล่าสิงห์รถบรรทุกรวมไปถึงประสบการณ์ตรงส่วนตัวทำให้คุณพ่อมัดเงื่อนสำหรับผูกผ้ายางได้แน่นเป็นพิเศษรับรองว่ามัดแล้วผ้ายางคลุมกระบะไม่มีหลุดปลิวออกมาจากที่ทางของมัน หลักการในการเรียงกระสอบใส่น้ำแข็งก็ไม่ยากเนื่องจากว่าน้ำแข็งอนามัยหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าน้ำแข็งหลอดนั้นถ้าอยู่รวมกันเป็นกลุ่มโดยมีผ้ายางเอาไว้เก็บความเย็นอยู่ภายนอกอีกชั้นนึงก็จะสามารถทำให้ละลายได้ช้าลง ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องให้มีช่องว่างระหว่างแต่ละกระสอบน้อยที่่สุดจึงจะทำให้น้ำแข็งละลายช้ามากขึ้นไปอีกเยอะเลย ดังนั้นหลักการที่จะเรียงกระสอบให้มีช่องว่างระหว่างแต่ละใบน้อยที่สุดก็คือ"ห้ามมัดปากถุงเป็นอันขาด"เพราะถ้าเมื่อไหร่เรามัดปากถุงการที่กระสอบจะขยับตัวให้เจ้ากับรูปกระบะตอนที่เราอัดเรียง(พิมพ์ถูกแล้วหละ เพราะว่าตอนที่จะวางลงไปในกระบะ ถ้าจะให้เกิดช่องว่างน้อยที่สุดต้องจับกระสอบอัดลงไปให้แบนแนบกับพื้นมากที่สุดจะว่าไปก็คล้ายๆ กับการเรียงกระสอบข้าวสารเพียงแต่ว่าเม็ดน้ำแข็งในกระสอบจะใหญ่กว่าข้าวสารทำให้เรียงยากกว่า แต่ยังไงก็ต้องระหว่างที่จะอัดลงไปให้ช่องว่างเหลือน้อยก็ต้องเพิ่มแรงทุ่มกระสอบลงไปพอสมควรเลยทีเดียว)จะเป็นไปไม่ได้

โดยปกติรถกระบะหนึ่งตันจะสามารถบรรจุน้ำแข็งแบบสบายๆ ได้น้ำหนักประมาณสองตันถ้าเรียงสูงหน่อยก็อาจจะได้ถึงสามตันกว่าๆ แต่ว่าจะอันตรายมากเกินไปในการขับขี่เพราะถ้าเมื่อไหร่น้ำหนักบรรทุกของรถมากเกินไปเวลาเข้าโค้งหน้ารถจะลอยทำให้หน้าปัด(ไม่ใช่ท้ายปัด)แล้วเราจะควบคุมทิศทางรถไม่ได้ซึ่งด้วยเหตุนี้เองอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ถ้าขับเร็วเกินไปหรือว่าไม่รู้จักผ่อนแรงและใช้กำลังของรถดึงให้ความเร็วลดลงก่อนจะเข้าโค้งซึ่งก็ต้องอาศัยความสังเกตและความระมัดระวังของผู้ขับขี่เองเป็นสำคัญ

สมัยโน้นทางสองเลนขึ้นเขารวมไปถึงโค้งสารพัดแบบระยะทางประมาณเก้าสิบกิโลพร้อมแบกน้ำหนักประมาณสองตันครึ่งตามปกติผมใช้เวลาเดินทางประมาณสี่สิบห้าถึงห้าสิบนาทีแล้วจะสูญเสียน้ำแข็งไปไม่ถึงห้าสิบกิโลที่ละลายไปในระหว่างทางท่ามกลางแดดจัดๆ ของฤดูร้อนเพราะวิธีการอัดเรียงกระสอบน้ำแข็งที่คุณพ่ออุตส่าห์สังเกตแล้วฝึกให้ผมได้รู้ว่าควรจะอัดเรียงยังไงถึงจะมีประสิทธิภาพ จนสุดท้ายก็เอาไปแนะให้ลูกจ้างเค้าทำเป็นทำให้ทุ่นแรงของเราได้(สถิติสูงสุดเท่าที่เคยทำคือคนเดียวคือรวดเดียวเอากระสอบเรียงได้ 70 ตัน เกือบตาย) สำหรับตัวผมเองถ้าจะให้ขับขี่ได้คล่องตัวแล้วช่วงต่อระหว่างเก๋งรถกับกระบะท้ายเป็นส่วนที่จะต้องเรียงกระสอบสูงกว่าทางด้านหลังอยู่นิดนึงเพราะน้ำหนักจะได้เฉลี่ยลงกลางรถพอดีทำให้ศูนย์ถ่วงและการเฉลี่ยน้ำหนักดีกว่าการอัดเรียงแบบราบเรียบเท่ากันจากหน้าไปหลังแต่หลังนี้จะดูเรียบร้อยกว่าเท่านั้นเอง

พิมพ์มาตั้งยืดยาวหาสาระไม่ค่อยจะได้แต่ก็ถือว่าเป็นความประทับใจอย่างนึงที่ผมมีในใจต่อคุณพ่อที่สอนให้รู้จักทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยหากอยากได้อะไรก็ต้องทำงานแลกมาทำให้รู้คุณค่าของเงิน เพราะแต่ละอย่างที่ได้มามันไม่ได้ง่ายเลย "หากครอบครัวไหนไม่ได้ฝึกให้ลูกต้องทำงาน(อย่างน้อยก็งานบ้าน)ถือได้ว่าทำร้ายลูกทางอ้อมก็ว่าได้"เพราะสุดท้ายเด็กอาจจะกลายเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเพราะจะไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรซักอย่างในบ้าน ถอดรองเท้าเสร็จก็เตะไว้ตรงที่ถอดรอแม่มาเก็บ เดินเข้าห้องถอดเสื้อเสร็จก็โยนโด่งเข้าไว้บนตู้ไม่รู้จักเอาไปใส่ตระกร้าเพราะรู้ว่าเดี๋ยวไม่คุณพ่อหรือแม่ก็คนใช้จะมาเก็บไปซักให้โตมาแม้เอาผ้าใส่เครื่องซักก็ยังทำไม่เป็น มีเวลาก็เอาไปเล่นเกมส์เพราะไม่มีความรู้สึกว่าต้องไปรับผิดชอบอะไรซักเรื่องเลยในบ้านของตัวเอง แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนอะ ว่ามั้ย

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถีบลงน้ำ vs มีพี่เลี้ยง

เมื่ออายุได้สิบขวบพ่อกับแม่ได้เปิดโอกาสให้ได้เผชิญโลกโดยการอัปเปหิผมให้ออกไปอยู่ที่โรงเรียนในตัวจังหวัดโดยให้ไปพักกับลูกพี่ลูกน้องกันถามว่ารู้สึกยังไงในตอนนั้นก็ขอบอกว่ารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้รักเราเลย ทำไมต้องส่งเรามาอยู่ไกลๆ ด้วยอยู่ที่บ้านนอกก็มีโรงเรียนให้เรียนทำไมต้องเข้ามาเรียนในตัวจังหวัดด้วยกับเรื่องน้อยใจอีกสารพัดเรื่องที่ประดาประดังเข้ามาในดวงใจเล็กๆ ของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เพราะความไม่เข้าใจเพราะที่ไม่มีใครบอกว่า"ทำไม"ถึงต้องส่งเรามาเรียนที่นี่ แม้เค้าจะบอกว่าโรงเรียนดีนะเรียนแล้วจะได้เก่งๆ ในหัวตอนนั้นเฝ้าแต่บอกตัวเองว่า"เราเองไม่ได้อยากเก่ง"เราเองต้องการแค่ได้วิ่งเล่นอยู่หลังบ้านหรือไม่ก็ขี่จักรยานเที่ยวในตัวตลาด(เหมือนฉากในหนังเรื่องแฟนฉัน)ก็เท่านั้น อีกอย่าง"แค่เปลี่ยนโรงเรียนจะทำให้เรียนเก่งได้ยังไง" มารู้ที่หลังตอนโตแล้วว่าการที่ได้เรียนในโรงเรียนที่ดีช่วยให้เรียนเก่งได้เพราะว่ามีครูที่ดีคอยดูแลสั่งสอนชี้แนะ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆ ที่มาจากครอบครัวที่ดีเพราะว่าถ้าครอบครัวไม่มีพื้นฐานที่แน่นแล้วก็คงไม่อยากจะปลูกฝังให้ลูกได้ไปอยู่ในที่ๆ ดีๆ มีมาตรฐาน ต้องขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ด้วยครับแม้ว่าท่านจะไม่ได้จบสูงนักแต่ก็พยายามให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของตัวเองถึงแม้ว่าจะต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อสิ่งนั้นก็ตาม


เมื่อย้ายที่อยู่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เพราะว่ายังไงคนเราก็มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากในการปรับตัวหรือว่าเอาตัวรอดแต่มันยากตรงที่จะทำยังไงให้เรียนได้เก่งตามที่พ่อแม่ได้หวังไว้ ในตอนนั้นพี่เลี้ยงก็ไม่มีเหมือนเพลงที่พี่กี้ร์ร้องไว้ แม้ว่าจะอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่เราเคารพนับถือเหมือนกับเป็นพี่ชายพี่สาวแท้ๆ ฝ่ายพี่ชายที่เป็นวัยรุ่นตัวเค้าเองก็ไปเรียนเทคนิคกลับมาก็ค่ำๆ พี่สาวอีกคนก็อยู่ . ปลายเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษกลับมาค่ำๆ อีกเช่นกัน ก็เหลือแต่ตัวเราเฝ้าหอมีเพื่อนก็คือหนังสือการ์ตูนโดราเอม่อนที่ไปเช่าจากร้านเช่าหนังสือใกล้ๆ หอหรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นแถวรอบๆ ที่พักก็เท่านั้น พอโตมาอีกนิดเพื่อนเริ่มมากขึ้นสังคมเริ่มโตพอตกเย็นก็ไปเที่ยวแถวๆ ตลาดเก่ากองต้า(ตลาดเก่าถนนริมท่าน้ำ)หรือไม่ก็ไปเดินห้างบ้างเข้าร้านหนังสือหานั่นนี่อ่านมั่งตามประสา หนังสือที่เข้าตาก็คือ"ต่วยตูนฉบับพิเศษ กับเอนเตอร์เทน"เอาไว้อ่านเรื่องที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เพราะชอบดูภาพยนตร์มากที่สุด แม้จะช่วยกับพี่ยกมอเตอร์ไซค์ข้ามรั้วหอเพื่อแบบไปดูหนังรอบดึกก็ทำมาแล้วคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าบ้าหนังมากขนาดไหน


แม้ว่าจะชอบเข้าร้านหนังสือก็ได้แค่ไปเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับบันเทิงซะเป็นหลักเพราะไม่รู้ว่าหนังสือแบบไหนที่เรียกว่าหนังสือดีแต่ก็ถือได้ว่าอย่างน้อยเราก็เป็นคนนึงที่รักการอ่านมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับสังคมและความรู้ทั่วไป เมื่อตอน .2 แทบจะเรียกได้ว่าจำแม่น้ำสายหลักๆ ได้ทั่วโลก แต่ละภูมิภาคทั่วโลกมีสภาพอากาศแบบไหนอยู่ในสมองน้อยๆ นี้เกือบทั้งหมดทำให้ได้รับคำชมเชยมาในการสอบเกี่ยวกับความรู้รอบตัวในระดับ .ต้นซึ่งก็แอบเก็บเอาไว้เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ เอาไว้ในใจ แต่ยังไงก็ตามความรู้ที่ตัวเองได้จำไว้ในสมองในตอนโน้นเหมือนกับว่าไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร


พอจบ .ต้นก็ต้องเปลี่ยนที่เรียนไปอยู่วิทยาลัยเทคนิคสภาพสังคมก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว จากกางเกงขาสั้นเปลี่ยนไปใส่เสื้อช็อปกางเกงขายาว จากผมสั้นเกรียนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นผมที่ยาวมากขึ้น มีความต้องการหลายๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นอีกนิดนึงแต่สภาพของเราในตอนโน้นจะว่าเด็กก็ไม่ใช่จะว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิงแต่ว่ากางเกงขายาวทำให้เรารู้สึกว่าโตมากกว่าเพื่อนที่เคยร่วมห้องเรียนในสมัย .ต้นมาที่แยกกันไปเรียนในโรงเรียนสายสามัญ จะว่าไปการเรียนสายวิชาชีพเหมือนกับการเรียนศิลปะแขนงหนึ่งแต่มีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่แตกต่างจากงานศิลป์ทั่วไปคือจะมีตัวเลขและสูตรต่างๆ ในการคำณวนเป็นแกนกลาง ความรู้ในการเอาตัวรอดในรูปแบบของเด็กสายอาชีพก็จะเป็นอีกแบบทำให้ต้องปรับตัวกันอีกครั้งแล้วก็ได้เปลี่ยนหอที่พักไปอีกที่ จากที่นั่นเองทำให้เปิดภาพของสังคมให้กว้างมากขึ้นได้รู้จักการพึ่งพาอาศัยพวก ได้รู้จักการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยุ่งยากทั้งในเรื่องของการเรียน การทะเลาะต่อยตีรวมไปถึงเรื่องของความรักแบบหนุ่มสาวแต่ก็เหมือนเดิมก็คือเวทีแห่งนี้ไม่มีพี่เลี้ยงเช่นเคยก็ว่ากันไปตามความคิดของเราเองว่าสิ่งที่ทำไปน่าจะดีหรือไม่ก็อาศัยพวกลากไปก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนถึงสมัยที่ต้องไปทำงานอยู่ในผับ


ถามว่าแล้วมองชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร ก็อยากจะบอกว่าเป็นโชคดีของตัวเองที่ถูกพ่อแม่ถีบลงน้ำให้รู้จักคิดเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเองทั้งเรื่องการเรียนและอย่างอื่นทำให้ไม่กลัวจะต้องเปลี่ยนที่อยู่เปลี่ยนสังคมไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถไปได้โดยที่ไม่มีความกังวลอะไรเลยแต่ว่าพรนี้ก็มีคำสาปติดมาด้วยเช่นกันก็คือว่า พอถึงจุดหนึ่งมันจะตันเพราะว่าพื้นฐานชีวิตไม่แน่นมากพอเนื่องจากไม่มีคนให้หลักการในการดำเนินชีวิต ได้แต่คิดอะไรได้ก็ทำไปแค่นั้น แต่ก็ยังโชคดีซึ่งถือว่าเป็นบุญเพราะจุดเปลี่ยนเมื่ออายุยี่สิบห้าที่เค้าเรียกว่าเบญจเพสที่หลายๆ คนบอกว่าเป็นช่วงอายุอันตรายแต่สำหรับผมเป็นช่วงอายุที่ทำให้ผมมาเจอครูดี และครูที่ผมคือว่าช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผมท่านนี้ก็พาผมไปพบไปเจอกับครูดีอีกหลายๆ ท่านรวมไปถึงราชบัณฑิตท่านหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำหนังสือให้ท่านหนึ่งเล่มอันเป็นความภาคภูมิในอย่างที่สุดที่หนังสือเล่มที่เราทำได้เอาเข้าไปในราชบัณฑิตยสภาซึ่งถือได้ว่าเป็นที่รวมปราชญ์ของแผ่นดินนี้เอาไว้ จากวันนั้นถึงวันนี้ด้วยความเมตตาจากคุณครูทุกท่านที่ได้เจอมาในช่วงชีวิตสิบปีหลังนี้ทำให้ผมได้รู้จักมองข้อดีของชีวิตตัวเอง ได้รู้จักไล่ที่มาที่ไปของนิสัยไม่ว่าดีหรือไม่ดี ได้รู้จักเอาความรู้และประสบการณ์ที่มีมาปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ ตอนนี้เลยทำให้ไม่ว่าเค้าจะให้ไปทำงานอะไรก็สามารถจะทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ความถนัดแต่ก็ทำตามที่เค้ามอบหมายมาไม่เกี่ยงเพราะอยู่ในส่วนงานที่รับผิดชอบในแก้ปัญหาและนำเสนอรายงานเข้าวงบริหารเป็นหลัก


ก็อยากจะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้รู้จักเอาตัวรอดได้รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รู้จักบริหารการเงินของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก กราบขอบพระคุณคุณครูในช่วงหลังของชีวิตที่สอนให้ผมมีหลักการ สอนให้ผมรู้จักคิดวางแผน สอนให้ผมรู้จักรับผิดและชอบในทุกสิ่งที่ตัวเองทำ


ระหว่างการถีบลงน้ำและการมีพี่เลี้ยงในการทำงานหรือแม้แต่การดำเนินชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ก็อยากจะบอกว่าในความรู้สึกส่วนตัวจำเป็นต้องมีทั้งสองอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าเราจะทำอะไร"จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงหรือว่าครูช่วยดูแลกำกับ" เพราะว่าแม้เราเองจะคิดว่าเราทำงานได้รอบคอบมากเพียงใดแต่ว่ายังไงก็มีจุดบอดที่เราไม่สามารถจะมองเห็นได้ จำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยงช่วยดูแลกำกับเพื่อช่วยประคับประคองให้เราสามารถจะอยู่รอดไปได้เป็นอย่างดี


"การถูกถีบลงน้ำ" ข้อดีคือเราจะโตเร็วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เยี่ยมแต่ว่าไปต่อในระยะยาวได้ลำบากเพราะไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอ พูดง่ายๆ คือต่อยอดจากที่มีอยู่ยาก

"การมีพี่เลี้ยง" แม้ว่าจะโตช้าหน่อยแต่ว่าค่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ แถมสามารถต่อยอดได้เพราะมีคนคอยแนะข้อผิดพลาดและจะมีความรอบคอบมากเป็นพิเศษสามารถพิจารณาตัวเองได้ง่ายเนื่องจากไม่ต้องกังวลกับภัยที่อาจจะเกิดกับตัวมากนักเพราะว่ามีคนคอยช่วยดูไว้เป็นเกราะอีกชั้นหนึ่ง แต่ในบางสถานการณ์การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอาจจะไม่ดีนักแต่ก็ถือว่ายังดีกว่าดุ่ยๆ ทำไปโดยไม่มีหลักซึ่งแม้จะทำงานให้ผ่านไปได้แต่มันก็ไม่ได้ดีนักหรอก


ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่คุณครูและพี่เลี้ยงทุกคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ครับ...

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เป็ดสีและไมตรีในใจ

นึกไงไม่ทราบพอนั่งสบายๆ แล้วนึกถึงสมัยเด็กตอน ป.3 ป.4 ที่ได้ไปตลาดกับแม่แล้วก็เห็นอาแปะเค้าเอาเป็ดเป็นสีๆ มาขาย มีทั้งสีฟ้า สีเขียว สีแดง ให้เลือกได้ตามชอบใจ พอเห็นปุ๊บก็ขอตังค์แม่ซื้อมาสามสี่ตัวเอาไว้เลี้ยงเป็น interactive toy หรือของเล่นที่มีชีวิตสำหรับเด็กบ้านนอก

ตกเย็นเลิกโรงเรียนก็มานั่งดูมันเดินไม่ก็พามันไปลงว่ายน้ำในคูหลังบ้านที่ติดกับผืนนาขนาดใหญ่ เราก็ไม่รู้หรอกว่าแค่เอาเป็ดมาเลี้ยงมันจะให้อะไรกับชีวิตได้บ้าง พอมาวันนึงได้มานึกถึงก็อยากจะกราบขอบคุณแม่จริงๆ ที่อุตส่าห์จ่ายเงินซื้อเป็ดสีพวกนี้ให้ แม้ว่าราคามันจะแพงกว่าเป็ดที่ขายตามร้านการเกษตรทั่วไปแต่คิดว่าแม่คงเห็นประโยชน์ของมันที่มากกว่าเป็นของเล่นให้ลูกเท่านั้น นึกไปนึกมาก็คิดว่าถ้าไม่ได้เป็ดที่แม่ซื้อให้นิสัยรักและเอ็นดูสัตว์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คงจะไม่มี

หลังบ้านที่บ้านนอกในสมัยโน้นเป็นเหมือนสวนสัตว์ขนาดเล็กมีไก่ กระต่าย เป็ด ห่าน ไก่ต๊อก หมู และก็สุนัขอีกสองสามตัวให้เอาไว้ดูเล่นเวลาเลิกเรียน จะว่าไปแทบทุกบ้านก็มีสภาพไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ในสังคมการเกษตรที่ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันแม้เราเองจะไม่ได้เกิดในครอบครัวเกษตรกรแต่ว่าพื้นฐานของสังคมก็เอื้อให้เราได้เลี้ยงสัตว์มีโอกาสได้ interact กับสัตว์เลี้ยงของเราโดยตรง ได้เห็นมันเกิด ฟักออกจากไข่ ท้อง ออกลูก บิน จิก ตี กัด หรือแม้กระทั่งผสมพันธุ์ เป็นวงจรชีวิตที่ให้เราได้เรียนรู้การพึ่งพาอาศัยและมีน้ำใจไมตรี ทำให้ใจของเราอ่อนโยนแต่สภาพจิตใจก็มาเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมในภายหลัง แต่อย่างน้อยน้ำใจไมตรีที่ยังพอมีอยู่ในใจอันแม่และครอบครัวหมู่ญาติเพื่อนฝูงและคนรอบข้างรวมไปถึงเป็ดสีเหล่านั้นได้มอบไว้ให้ก็ยังคงอยู่..

วันเวลาผ่านไปก็ยิ่งนึกย้อนไปในวันเก่าๆ บ่อยขึ้น เอ.. หรือเราจะแก่ก่อนวัยเนี่ย

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ควายดันกัน" อุทธาหรณ์ของความประมาท

ผ่านไปอีกหนึ่งวันที่ค่อนข้างยาวนาน(เมื่อไหร่มีปัญหามาให้แก้วันนี้รู้สึกจะยาวเป็นพิเศษ)แล้วก็ดีใจที่ว่ามองเกมส์ไม่ผิดไม่อย่างนั้นถ้าผลออกไปอีกทางละก็คงได้แย่กันหมดในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลย เฮ้อ.. การที่จะให้ใครซักคนมองเห็นหลุมดักนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะมองโลกในแง่ดีกันเกินไปไอ้เราเองก็มองโลกอาจจะไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่พูดง่ายๆ คือ"เห็นได้ไม่เห็นเสีย" แล้วก็มีแถมว่าไม่มีพี่เลี้ยงช่วยดูอีกต่างหาก วันนี้ก็ขอทำหน้าที่พี่เลี้ยงชั่วคราวก็แล้วกันแม้ว่าจะไม่ค่อยดีนักก็ตามแต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่มี เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าถ้าเราไม่ไหวก็หาตัวช่วยก็ยังพอได้

สังหรณ์ใจตั้งแต่เช้าว่าจะมีอะไรแถมคุณเตี่ยก็เมตตาสอนอีกว่า "ควายมันดันกันอยู่ตัวที่พลาดแม้เพียงเสี้ยงวินาทีก็จะถูกอีกตัวเอาเขาขวิดไส้แตกตายในที่สุด" ต้องกราบขอบพระคุณมากๆ เลยครับเพราะคำสอนแต่เช้าของเตี่ยจริงๆ ที่ช่วยน้องอีกกลุ่มนึงที่เกือบจะถูกเค้าเอาไปเชือดเนื่องจากคิดไม่ทันมองไม่เห็นหลุมดักควาย จริงๆ ถ้าแบ่ง"เรื่องของเขาเรื่องของเรา"ออกก็คงจะไม่เกิดปัญหาอะไรแต่นี่เด็กมองกันไม่ออกเราเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้สอนให้เค้าได้"ระวังในเรื่องที่ควรระแวง" แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ก่อนจะสายยังพอมีเวลาแก้ไขอะไรทัน ต้องขอบคุณพี่สาวใหญ่อีกท่านที่่อุตส่าห์มาช่วยถ้าไม่ได้พี่ให้คำแนะนำวันนี้เด็กต้องแย่แน่ คำว่า "พี่เลี้ยง" สำคัญจริงๆ

วันนี้เห็นค่าของ"พี่เลี้ยง"ตั้งแต่เช้า ได้ฟังเรื่องเล่าของ"พี่เลี้ยง"จากผู้ใหญ่อีกท่านในตอนหัวค่ำ นั่งรถกลับมาก็ยังอุตส่าห์ได้ฟังเรื่อง"ควายดันกัน"อีกรอบจากคุณเตี่ย แล้วก็มานั่งดูผลที่พี่เลี้ยงหลายๆ ท่านได้ช่วยกันทำการบ้านจนเด็กสามารถจะผ่านวิกฤติไปได้ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ แม้ว่าจะชื่นใจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ต้องกลับมานั่งคิดว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้เราควรจะวางแผนต่อไปในอนาคตอย่างไร ควรจะเพิ่มอะไรให้กับเด็กๆ ที่ตามมาหรือไม่เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้โอกาสที่จะถูกควายอีกตัวดันไส้แตกมันก็ยังคงพอมีเหลืออยู่ เอาเถอะ ผ่านไปได้อีกวันก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็ยังไม่สายเพราะอย่างน้อยเราเองก็ได้รู้ว่าตัวเองพลาดตรงจุดไหนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่องซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับวันนี้...

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

A-Ha Moment

เมื่อคืนวานมีฝรั่งชาวอเมริกันคนนึงแวะมาหาเนื่องจากว่าลูกชายของเค้ามาฝึกงานด้วยและต้องการจะมาแชร์ความคิดเห็นในบางเรื่องที่มีในใจของเค้าต่อองค์กรของเราให้ฟัง หลายๆ เรื่องน่าสนใจเลยทีเดียวเพราะว่าเค้าเป็นครูสอนที่มลรัฐ New York พร้อมกับได้เดินทางไปหลายๆ ประเทศเพื่อแบ่งปันประสบการณ์การสอนกับโรงเรียนในหลายๆ ประเทศทำให้มุมมองเกี่ยวกับการศึกษาของเค้าไม่ธรรมดาเลย ด้วยวัยหกสิบกว่าๆ ทำให้เค้าค่อนข้างสุขุมมากๆ และค่อนข้างดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมาตลอดทำให้ดูแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

เท่าที่พอสรุปได้หลังจากการพูดคุยกันแบบสบายๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็พอรู้ว่าทุกประเทศเจอปัญหาเหมือนกันในเรื่องของการศึกษาก็คือว่าไม่สามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์รวมของประเทศได้เพราะว่ามีการตั้งมาตรฐานเกี่ยวกับการเรียนไว้แต่ไม่ได้มีการกำหนดมาตรฐานของ"กรอบความคิดหรือทำอย่างไรจึงจะปลูกฝังวิธีคิดในเชิงบวกให้กับเด็ก"ในสถานศึกษาในระดับต่างๆ ได้ ทำให้ตัวเค้าเองพยายามอยากจะทำ Hand book ให้กับคุณครูในเรื่องของการศึกษาที่ถูกต้องขึ้นมาคือ"การศึกษาเพื่อพัฒนานิสัย"โดยไม่พยายามจะอิงหลักศาสนามากนักไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหน เพราะว่าข้อจำกัดของกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศพยายามจะเลี่ยงตรงนี้เพราะอาจจะเกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้เรียนผู้สอนผู้ปกครองและองค์กรศาสนาหลักในท้องถิ่นได้ เค้าจึงพยายามเอาสิ่งที่เค้าได้เรียนรู้มากจากหลายๆ ประเทศและประสบการณ์ในการสอนและการทำสมาธิของตัวเค้าที่ได้ศึกษามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยผ่านสิ่งแวดล้อมรอบตัวในห้องเรียน ที่บ้านและสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทั่วไปที่เด็กจะต้องไปเจอรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นบุคคลด้วย

ส่วนสาเหตุที่เค้าพยายามจะทำคู่มือนี้ออกมาเพื่อแจกจ่ายไปในวงกว้างก็เพื่อว่าอยากจะให้โลกนี้มันดีกว่าที่เป็นอยู่และอีกส่วนก็เพราะเพ่ือนๆ และคนที่เค้าได้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอยากจะให้เค้าเขียนสิ่งที่เค้าได้เรียนรู้ออกมาในรูปแบบของ "How to สำหรับนักการศึกษาทั่วไป" แต่ตอนนี้สิ่งที่เค้าติดอยู่ก็คือว่า ภาษาที่ใช้มันไม่ "Academic enough" ก็เลยเสนอไปว่า คหสต. แม้ภาษาจะไม่เป็นวิชาการมากนักแต่ถ้าว่าเราสามารถจะเขียนให้เค้าได้"ตระหนัก"ก่อนว่าถ้าจะแก้ไขการศึกษาก็ต้องแก้ไขที่ตัวครูก่อนก็น่าจะเพียงพอแล้วในการเริ่มต้น

หลังจากบอกไปเค้าก็เห็นควรด้วยแล้วก็บอกว่าตอนนี้ที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ "A-Ha Moment" สำหรับคุณครู ขอให้เค้าได้อยากที่จะพัฒนาตัวเองก่อนจากนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่เท่าที่เค้าเจอมาก็พบว่าถ้าเมื่อไหร่รู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเองขึ้นมามักจะพบ"ขยะทางความคิดและการกระทำที่ผ่านมา"เยอะเลย บางทีสิ่งนี้ก็น่าจะเหตุผลหนึ่งที่เป็นตัวขวางไม่อยากจะได้คุณครูพัฒนาตัวเองมากเท่าที่ควร เพราะลำพังแค่เตรียมการเรียนการสอนก็หนักพอแล้วถ้าจะต้องมาปรับปรุงอย่างอื่นอีกเกรงว่าเค้าจะไม่อยากทำ ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องช่วยเค้าคิดและก็เอาใจช่วยให้เค้าสามารถจะนำความรู้สึกที่อยู่ในใจของเค้าเปลี่ยนออกมาเป็นตัวอักษร "ดึงเอาภาษาใจออกมาเป็นภาษาพูดจนสุดท้ายก็กลั่นออกมาเป็นภาษาเขียน"เพื่อให้ผู้อ่านเกิด "A-Ha Moment" ได้ในที่สุด...

ประทับใจที่เค้าเขียนไว้ในสมุดโน๊ตของเค้าจริงๆ เค้าเขียนวิธีเตรียมความพร้อมส่วนตัวไว้ประมาณนี้ว่า
1.Sits back
2.Take a gently deep breathe
3.Relaxs
4.Dumps the Garbage
5.Smiles to yourself

เมื่อใจพร้อมแล้วก็ค่อยมาว่ากันว่าจะเอายังไงกับชีวิตกันดี

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศิลปินในดวงใจ

ตั้งแต่จำความได้ที่บ้านก็มีตู้เพลงตั้งไว้แล้วให้คนขับรถสิบล้อที่มาแวะปะยางหรือว่ามาทานอาหารที่ร้านได้หยอดเหรียญฟังเพลงที่ตนชอบทำให้มีโอกาสได้ฟังเพลงสารพัดแนวที่คนเค้าฟังกันชอบบ้างไม่ชอบบ้างแต่ก็จำต้องฟังไปทำให้รู้สึกว่าเสียงเพลงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และวงนึงที่จำได้ขึ้นใจเลยก็คือ ดิ อิมพอสสิเบิ้ล อันมีอาต้อยเศรษฐากับคุณอาวินัยเป็นนักร้องนำหลัก สมัยโน้นร้องตามเพลงของ"ดิอิมพอสสิเบิ้ล"ได้แทบทุกเพลงกับเพลงสากลของท่านเซอร์"คลิฟริชาร์ดและเดอะชาโดว์"ซึ่งเป็นคนโปรดและวงโปรดของคุณพ่อจำได้ว่าในรถต้องมีเทปม้วนใหญ่ๆ ติดรถไว้เสมอเวลาเดินทางก็สามารถจะเปิดฟังได้ตลอดหรือว่าตอนนั่งรอคุณพ่อในรถก็เปิดฟังพร้อมกับเอามือเคาะพวงมาลัยไปตามจังหวะของดนตรีที่ได้ยิน

ตอนอายุสิบขวบก็ถูกเค้าอัปเปหิออกจากบ้านให้มาอยู่ในเมืองก็ได้อาศัยวิทยุเทปยี่ห้อเนชั่นแนลของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องพักในห้องเดียวกันฟังรายการเพลงสากลของคุณมาณพ อำพันจากสถานี สวท. 97MHz ตอนประมาณสองทุ่มกว่าทุกคืนไปถ้าคืนไหนไม่ได้ฟังเหมือนกับขาดอะไรไปอย่าง ก็ถือได้ว่าสมัยนั้นได้เปิดโอกาสได้เปิดหูได้รับฟังเพลงที่วัยรุ่นเค้าฟังกันเพราะอายุห่างกับลูกพี่ลูกน้องอยู่หลายปีซึ่งจะว่าไปเหมือนเร่งให้เราโตเกินไวไปเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกสิ่งที่ชอบก็คือสิ่งที่่ชอบ นับตั้งแต่ตอนนั้นมาก็กลายเป็นคนติดเพลงหลงในเสียงดนตรีถ้าไม่มีฟังจะรู้สึกหงุดหงิดจะไปที่ไหนก็ต้องพยายามแบกวิทยุเครื่องเล็กติดไปด้วยทุกครั้งไป เทปของวงที่ชื่นชอบก็ต้องตามไปซื้อที่ร้านเป็นคนแรกในจังหวัดให้ได้แม้ต้องไปยืนรอเฝ้าร้านให้เปิดก่อนไปโรงเรียนก็ตามเรียกว่าเข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้

แต่ไม่ว่าจะได้ฟังเพลงของกี่ศิลปินกี่วงดนตรีกี่แนวเพลงก็ตามเพลงของ"ดิอิมพอสสิเบิ้ลกับเพลงของท่านเซอร์คลิฟ"ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบอยู่เสมอจากแผ่นเสียงมาเป็นเทปม้วนใหญ่ไล่มาจนถึงแคสเซ็ทเทปเล็กๆ กระทั่งซีดีจนมาถึงตอนนี้มีดีวีดีแสดงสดให้ได้ดูก็ยังคงชื่นชอบเพลงของเค้าอยู่ไม่เสื่อมคลาย เมื่อคืนวานก่อนจะนอนได้เปิดูคอนเสิร์ต"ดิอินโนเซนท์รียูเนี่ยน"เพื่อย้อนหวนรำลึกถึงคืนวันเก่าๆ สมัยที่ยังไม่ต้องกังวลหรือห่วงอะไรมากนักได้เห็นแววตาของคนดูแล้วก็รู้สึกว่าเราเองก็คงรู้สึกดีไม่ต่างจากเค้าเท่าไหร่ ฟังเพลงไปนึกร้องตามในใจคลอไปตามบทเพลงที่คุ้นเคยเรียกได้ว่าเมื่อก่อนร้องตามได้ทุกเพลงแต่ว่าเพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ตเป็นเพลงที่ชอบมากเป็นพิเศษก็คือเพลง"ฝากรัก"ซึ่งมีอาต้อยมาร้องเพื่อเป็นเกียรติแก่ดิอินโนเซนท์ยิ่งทำให้ชอบมากเข้าไปอีก นึกในใจว่า อืม.. อาต้อยเสียงยังดีอยู่เลยเนอะ

พอมาวันนี้ตอนบ่ายแก่ๆ ต้องไปงานพระราชทานเพลิงศพของอาพันธ์เทพอดีตผู้กำกับชื่อดังที่นับถือกัน ในงานก็มีศิลปินนักแสดงเยอะแยะมากมายมาส่งอาพันธ์เทพกลับบ้านซึ่งมีท่านมุ้ยเป็นประธานฯ ซึ่งถ้าอาพันธ์เทพได้มามองดูคนที่มาร่วมงานก็คงจะชื่นใจไม่น้อยเนื่องจากว่าทุกคนมากันด้วยความรักจริงๆ เพราะอาพันธ์เทพช่วยคนไว้เยอะสร้างคนไว้ให้วงการก็มาก บังเอิญจริงๆ ได้เจออาต้อยพอดี๊พอดีด้วยจังหวะที่ไม่พอดีกันก็ไม่ได้เข้าไปคุยทักทายได้แต่ยิ้มให้อาต้อยซึ่งยังดูแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม นึกในใจว่าขอให้ศิลปินในดวงใจคนนี้จงแข็งแรงแบบนี้ไปนานๆ เผื่อว่าจะได้มีคอนเสิร์ตของ"ดิอิมพอสสิเบิ้ลดับเบิ้ลรียูเนี่ยน"ให้ดูกันให้ฉ่ำอีกซักสี่ห้ารอบ...

ผู้ติดตาม