วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Book of Eli

มีเวลาอยู่หน่อยในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อนจะออกไปออกกำลังเลยมานั่งดูหนังเรื่องนึงที่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจอยู่พอสมควรคือ The Book of Eli ที่ได้ดูตัวอย่างมานานพอสมควรแล้วพอสบโอกาสเลยขอนั่งดูหน่อยเพราะว่าอย่างน้อยมีดาราคนโปรดร่วมแสดงอยู่หลายคนเหมือนกันได้แก่ Denzel Warshington, Gary Oldman และ Jennifer Beals สองชื่อแรกรับประกันถึงคุณภาพในการแสดงได้แน่นอนและเท่าที่มีผลงานผ่านตามาทั้งสองท่านเลือกหนังเล่นพอสมควรเลยคิดว่า The Book of Eli คงจะเป็นอีกเรื่องที่ดีแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยเมื่อดูจบ

หนังกล่าวถึงโลกหลังสงครามใหญ่ด้วยสาเหตุที่มีบอกไว้ในหนังซึ่งแอบกัดประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่พอสมควร บทหนังก็ถือว่าละเอียดดีมีลูกเล่นใส่เข้าไปพองามที่เจ๋งมากก็คือว่าแอบใบ้หลายๆ อย่างไว้ตั้งแต่เริ่มเรื่องที่มาเฉลยเอาตอนใกล้ๆ จะจบถือว่าตรงนี้เป็นจุดที่ชอบมากของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ในส่วนของภาพถือว่า transfer มาค่อนข้างเจ๋งภาพ HD ความละเอียด 1080 คมกริ๊บ เทคนิคทางด้านภาพในบางตอนดูหลอกๆ อยู่บ้างแต่องค์ประกอบภาพเยี่ยมจริงๆ ผู้กำกับวางภาพได้แนวมากเหมือนนั่งดูภาพขาวดำที่เล่นแสงได้อย่างลงตัว ในด้านเสียงถือว่าดีเพลงประกอบที่ใส่เข้าไปก็พอเหมาะลงตัวมีแอบโฆษณาหูฟัง Earbud ของ Monster รุ่นสาย SATA สีแดงด้วยคงจ่ายไปพอสมควรแถมด้วยไอพ็อดรุ่นที่ตัวผมเองต้องเปลี่ยนใจจาก iRiver มาเป็น apple หลังจากได้ลองฟังแค่เพลงเดียวเมื่อนานมาแล้ว ยังนั่งนึกๆ ดูว่าด้วยแนวเพลงที่พระเอกเปิดกับหูฟังรุ่นนั้นบวกกับไอพ็อดตัวนั้นเสียงมันจะเข้ากับแนวเพลงหรือนั่น แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะอย่างอื่นทำได้ลงตัวดี

หนังเล่นประเด็นเกี่ยวกับศรัทธาได้ค่อนข้างดี มีการยกเอาคำในคัมภีร์ไบเบิ้ลใส่อยู่เป็นช่วงๆ แม้ไม่มากนักแต่ถือว่าใส่มาในจังหวะที่ลงตัวแล้วก็ช่วยส่งให้ฉากนั้นๆ มีพลังมากยิ่งขึ้น ดูไปก็นึกในใจว่าหนังที่เอาประเด็นของศาสนามาเล่นได้พองามแบบเรื่องนี้หาได้ไม่ง่ายนักเพราะถือว่าเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนหากจะเอามาใช้กับเรื่องบันเทิงเพราะจะหาใครที่แยกเรื่องคำสอนกับความบันเทิงได้แบบชัดเจนในยุคนี้ค่อนข้างยาก เพราะส่วนมากที่เจอคนวิจารณ์ในประเด็นนี้หลายๆ ท่านก็ว่าไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เข้าใจเลยซักนิดก็มี ตัวผมเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าไหร่แต่ว่าหนังจากดูเรื่องนี้จบรู้สึกชอบที่ผู้เขียนบทนำเสนอออกมาได้ลงตัวรวมไปถึงการนำเสนอผ่านภาพที่ผู้กำกับภาพนำเสนอได้ดีจริงๆ

ดูจบก็ได้คิดอะไรหลายเรื่องเหมือนกันโดยเฉพาะชอบคำพูดของพระเอกที่ว่า "To do more to others than you do for yourself" ซึ่งสรุปประเด็นรวมๆ ของหนังได้ดีมากๆ ครับ

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

PAC MAN Nation

สมัยที่ย้ายเข้ามาเรียนในเมืองใหม่ๆ หลังเลิกเรียนจะเป็นช่วงเวลาที่เหงามากๆ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ทำมากนักสำหรับเด็กบ้านนอกที่พึ่งย้ายเข้ามาดังนั้นต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหงามากเกินไป ผมเองมักจะไปขลุกอยู่ที่ร้านหลังสือของแปะแก่ๆ ร้านนึงเพราะว่าอาแปะแกไม่เคยไล่เราออกจากร้านเวลาที่ไปยืนอ่านหนังสือ(ที่ไม่มีซองพลาสติคห่อ)ที่แผงของแก ไปอาศัยยืนอ่านจนแกจำหน้าได้แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาเปรียบแกแต่ฝ่ายเดียวเพราะว่าก็อุดหนุนหนังสือของแกเป็นประจำเหมือนกัน สมัยโน้นหนังสือที่ต้องตามซื้อตลอดเลยก็คือต่วยตูน ต่วยตูนพิเศษและก็เอนเตอร์เทนรวมไปถึงโลกลี้ลับ ซึ่งหนังสือเหล่านี้จะว่าไร้สาระก็ได้จะว่ามีสาระก็คงจะพูดได้อีกเช่นกันเพราะหลายๆ เรื่องก็ให้ข้อมูลและก็ช่วยปลูกฝังแนวคิดให้กับผมได้พอสมควรเลยทีเดียวที่สำคัญที่สุดก็ทำให้เรารู้สึก"อยาก"จะอ่านหนังสือแม้ว่าจะเป็นเพียงเอาไว้เป็นเพื่อนยามเหงาก็ตาม

ไม่ไกลจากร้านหนังสือจะมีโรงภาพยนตร์อยู่สองโรงซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นห้างไปเรียบร้อยส่วนโรงหนังก็ถูกลดขนาดกลายเป็นโรงหนังขนาดมินิใส่เข้าไปในห้าง(ตอนนี้ยังจะมีอยู่หรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะว่าไม่ได้กลับไปนานพอสมควรแล้ว) ซึ่งหนึ่งในโรงภาพยนตร์นั้นเป็นของเพื่อนแม่ของผมเองจำได้แม่นว่าพอออกจากร้านหนังสือแล้วถ้าพอมีเศษตังค์เหลือก็จะแอบขึ้นไปที่ชั้นสอง ที่ว่าต้องแอบก็เพราะว่าเค้าจะไม่ยอมให้เด็กขึ้นไปที่นั่นเนื่องจากว่ามีการเอาตู้เกมส์(arcade cabinet)ไปตั้งไว้ให้คนมาหยอดเหรียญเล่นกันซึ่งจำได้ว่าถ้าสารวัตรนักเรียนจับได้ก็จะถูกลงโทษแต่ว่าการแหกกฎนั้นเป็นรสชาติอย่างหนึ่งของเด็กดังนั้นในฐานะที่เป็นเด็กคนหนึ่งเช่นกันก็น่าจะทำตามคนอื่นบ้างซึ่งก็ได้อารมณ์ตื่นเต้นเร้าในจนอดรีนาลีนหลั่งออกมาได้เหมือนกัน ที่ชอบเล่นมากๆ เลยในสมัยโน้นเมื่อยี่สิบปีก่อนก็คือ Space invader ที่ต้องไล่ยิงยานปีศาจที่ทะยอยเลื่อนต่ำลงมาให้หมดจึงจะสามารถเลื่อน level ไปเล่นในด่านที่สูงกว่าได้ แต่ว่าเกมส์อมตะที่ทุกคนชอบเกมส์หนึ่งก็คือ Pac-Man ซึ่งจะมีอายุครบรอบสามสิบปีในวันนี้(22 พ.ค.)นั่นเอง

Pac-Man เป็นเกมส์อมตะที่มีทั้งความน่ารักความสนุกสนานพร้อมกับได้ลุ้นเล็กๆ ได้ฝึกสายตาพร้อมกับได้รู้จักคิดวางแผนให้ความคิดประสานงานกับการมองเห็นแล้วก็การเคลื่อนไหวของมือไปด้วยพร้อมๆ กันซึ่งผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบเกมส์นี้ก็คืออาจารย์ Toru Iwatani แห่ง Namco Developer ในปี 1979 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากแผ่นพิซซ่าที่ถูกทานไปแล้วชิ้นนึงเอามาออกแบบเป็นตัว Pac-Man(ภาษาอังกฤษ)ซึ่งแปลงมาจากชื่อเกมส์ดั้งเดิมในภาษาญี่ปุ่นว่า Puckman ซึ่งก็มาจากรากศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า paku อันหมายถึงการเคี้ยวเสียงดัง สำหรับเกมส์นี้นอกจากตัว Pac-Man แล้วก็มีผีอีกสี่ตัวที่วิ่งไล่ฆ่าตัว Pac-Man ไปรอบๆ เขาวงกตซึ่งผีเหล่านี้ก็มีชื่อประจำตัวที่แยกไปตามสีและบุคลิกของมันได้แก่ Inky, Pinky, Winky และก็ Clyde (เครดิต CNN: http://www.cnn.com/2010/TECH/05/21/pac-man.game.anniversary/index.html?hpt=C1)

เกมส์ตู้เหล่านี้เล่นแล้วติดครับตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้แต่ในตอนโน้นไม่ได้คิดอะไรหรอกเพราะว่ามันสนุกแล้วก็ทำให้ต้องสูญเงินไปกับมันเยอะพอสมควรตรงนี้เองที่เป็นอันตรายเพราะว่าความยั้งคิดของเด็กๆ ยังไม่ค่อยมี สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องคอยแนะให้กับเด็กให้ควบคุมและบริหารให้ได้ก็คือ "เวลา และ เงิน" เพราะว่าสองสิ่งนี่เป็นส่ิงที่เด็กๆ จะควบคุมไม่ค่อยได้ ถ้าบ้านไหนสามารถกำหนดและควบคุมสองสิ่งนี้ให้กับบุตรหลานได้แล้วละก็ถือว่าเด็กในบ้านนั้นได้เปรียบคนอื่นเยอะแยะมากมายและเกมส์ทั้งหลายก็เป็นตัวทำลายสองสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงหลังมานี้เกมส์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านของเราเรียบร้อยแล้วดังนั้นถ้าใครมีเด็กอยู่ในบ้านพยายามช่วยกันดูแลอย่าให้พวกเค้าผลาญเวลากับไปมันมากเกินไปของทุกอย่างถ้าใช้ให้พอดีพอเหมาะไม่เกินหรือขาดก็จะเป็นประโยชน์เหมือนกัน

พูดถึงเกมส์ก็นึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อผมขึ้นมาทุกที คือสมัยโน้นที่ต่างจังหวัดถ้าเด็กคนไหนมีเกมส์กดถือว่าเท่ห์มากๆ ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะเท่ห์กับเขาเหมือนกันพยายามรบเร้าให้แม่ซื้อเกมส์ให้โดยเอาที่เค้าโฆษณาขายอยู่ในหนังสือไปให้ท่านดูเพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหนเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแม่ถูกเค้าโกงค่าเกมส์ทำให้สูญเงินไปห้าร้อยบาทเพราะความรักที่มีต่อลูก แต่ถือว่าโชคยังดีที่ตำรวจเค้าจับนักตุ๋นแก๊งค์นั้นได้แล้วรายชื่อของแม่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตำรวจเค้าส่งเงินคืนกลับมาให้ สุดท้ายหลังจากที่ได้เงินคืนมาแม่ก็อุตส่าห์ไปซื้อเกมส์กดมาให้ผมจนได้เพราะได้สัญญาไว้แล้วว่าจะซื้อให้ เกมส์กดแรกที่ได้ครอบครองก็คือ Donkey Kong นั่นเองที่เป็นแบบแผ่นพับสามารถเล่นได้สองระดับคือไล่จากจอด้านล่างขึ้นไปด้านบนได้ด้วย(เท่ห์คอดๆ ขอโบก) สมัยโน้นเงินห้าร้อยบาทที่บ้านนอกถือว่าเยอะมากๆ เพราะผมเองเวลาไปโรงเรียนพกตังค์ไปสิบห้าบาทเอง เงินจำนวนนี้เอาไว้ซื้อข้าวสองมื้อคือเช้ากับกลางวัยก็ยังพอมีเหลือติดกระเป๋ากลับหอถ้าไม่ได้เอาไปซื้อน้ำอัดลมใส่แก้วพลาสติคตอนเลิกเรียนซะก่อน นึกแล้วก็รู้สึกเสียใจและซึ้งใจปนกันทุกครั้งไป นี่แหละน้าความรักของผู้หญิงที่รักเรามากที่สุดในโลก เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว..

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พึ่งตนพึ่งท่าน

ช่วงนี้คนไทยคงต้องอยู่ในสภาวะต้องพึ่งตนเองกันอีกช่วงนึงเพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่คนที่กำลังโดนเล่นงานอยู่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครก็น่าจะต้องช่วยตนเองเอาไว้ให้มากเพราะว่าจะฝากความหวังไว้ที่คนอื่นก็ไม่น่าจะถูกต้องนักในสถานการณ์แบบนี้

ตั้งแต่เด็กมาก็ได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอว่า "ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใดเล่าจะเป็นที่พึ่งให้ได้" ก็คุ้นกับประโยคนี้มาตลอดก็คิดว่าก็แหงหละเกิดมาแล้วจะให้พึ่งใครล่ะ พอหมอตัดสายสะดือออกร้องแว๊กก็ต้องพึ่งตัวเองมาตั้งแต่วินาทีนั้นเพราะแม่เองก็ช่วยหายใจแทนไม่ได้ถ้าไม่ช่วยตัวเองด้วยการไม่ยอมหายใจก็ซี้แหงแซก จนกระทั่งโตขึ้นมาได้เจอคุณครูท่านหนึ่งกรุณาสอนว่า "การที่จะพึ่งตนเองได้นั้น บุคคลคนนั้นต้องรู้รอบตัว" คือรู้ไปสารพัดเร่ืองจนไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร แถมท่านก็ย้ำมาอีกว่าไม่ใช่แค่รู้เฉยๆ ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วที่สำคัญที่สุดต้องสามารถลงมือทำได้ด้วยจึงจะถือว่าพึ่งตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อืม.. ก็คงคล้ายๆ กับตอนที่ถูกตัดสายสะดือแล้วต้องหายใจด้วยตัวเองกระมัง มานั่งดูตัวเองจากวันนั้นกระทั่งวันนี้เราเองก็ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยแต่อย่างน้อยก็ถือว่าพึ่งตัวเองได้ดีในระดับนึงโดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมากนัก ได้แต่หวังว่าน่าจะรักษามาตรฐานนี้ได้ตลอดไปหรือต้องให้ดีกว่านี้ซึ่งก็คิดว่าน่าจะทำได้น่ะ

คหสต. การพึ่งคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายมากนัก จะว่าไปเป็นสิ่งที่ควรกระทำเช่นกันเพราะถือว่าเราเองได้มีโอกาสเปิดใจรับคนอื่นเข้ามาในชีวิตเพราะยังไงคนก็ต้องมีขน นกก็ต้องมีเพื่อน เอ้ย "นกต้องมีขน คนต้องมีเพื่อน" จึงจะเอาตัวรอดในสังคมได้เพราะขึ้นชื่อว่าสังคมอย่างน้อยก็ต้องมีสองคนขึ้นไป ถ้าต่างคนต่างรู้จักเอื้อเฟื้อเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันให้พอเหมาะพอดี ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อนไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลาก็คงจะมีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่พอจะช่วยตัวเราได้ ดังนั้นต้องไม่ขี้เกียจเสาะแสวงหาความรู้เพื่อเพ่ิมพูนความสามารถของตนไม่ใช่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อคนที่อยู่รอบข้างจะได้พึ่งพาอาศัยเราได้บ้างในเวลาที่เค้าเดือดร้อน เพราะความรู้สึกที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์นี่มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกอย่างน้อยเช้าวันนี้ก็ช่วยคนได้เยอะเลย ช่วยไปตอนแปดโมงเช้าตอนนี้เที่ยงคืนกว่ายังปลื้มไม่หาย รู้สึกดีจริงๆ..

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

19 พฤษภาคม 2553

วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความสูญเสียสารพัดทั้งชีวิตทรัพย์สินและความสุขของประชาชนคนไทยทั้งประเทศซึ่งจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที แต่ก็มีหลายๆ ท่านที่น่าชื่นชมท่ามกลางวิกฤติของบ้านเมืองและก็มีอีกหลายๆ ท่านที่ทำใจชมลำบากอยู่เหมือนกันแต่ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละคนซึ่งจะผิดจะถูกอะไรยังไงทำใจเย็นให้กาลเวลาเป็นตัวเฉลยจะดีกว่าเพราะว่าจะด่วนตัดสินว่าใครดีใครร้ายในตอนที่อารมณ์ของแต่ละฝ่ายกำลังพีคนี่คงจะลำบาก

อดีตที่ผิดพลาดผ่านไปแล้วก็ลืมๆ มันไปซะเพราะย้อนเวลากลับไปแก้ไม่ได้ ถามว่าจะเยียวยาให้กลับคืนเหมือนดังเดิมได้หรือไม่ ในความคิดของผมเองคิดว่าได้และก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก ขอเพียงทุกคนร่วมมือกันรับผิดชอบตัวเอง เคารพสิทธิระหว่างกันและกัน ที่สำคัญที่สุด"เปิดใจให้กันยอมรับสถานะที่แตกต่างและไม่ดูถูกกัน" สถานภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกันความคิดก็แตกต่างแต่ไม่ใช่ว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้หรือแม้แต่จะช่วยกันพลิกฟื้นบ้านเมืองที่มีปัญหาให้กลับมารุ่งเรืองก็เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่กระทำได้โดยเริ่มจากคำๆ เดียวคือ "ให้" ในทุกกรณี ทั้งให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ ให้ความรัก ให้อภัยไล่ไปจนถึง"ห้ความจริงใจ"ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเท่าที่นั่งมองด้วยใจกลางๆ มาตลอดระยะเวลาสองเดือนบ้านนี้เมืองนี้ขาดคำว่าให้ไปจนคล้ายๆ กับว่ามันได้เลือนหายไปจากพจนานุกรมยังไงยังงั้น

ถ้าคิดจะพลิกประเทศเริ่มได้ที่ตัวเรา เริ่มจากการให้ แล้วต่อไปค่อยๆ พัฒนาในระดับที่ยิ่งๆ ขึ้นไปส่วนรายละเอียดน่าจะมีอะไรบ้างก็ควรที่จะต้องมาช่วยกันคิดเพราะงานนี้โยนกลองให้ใครซักคนไปทำไม่ได้ ต้องใช้คติช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองไปด้วยกัน สำหรับภาษิตช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าช้างสองเท้าหน้ากับสองเท้าหลัง จริงๆ "ช้างเท้าหน้า"หมายถึงช้างเชือกที่เดินอยู่ข้างหน้า "ช้างเท้าหลัง"หมายถึงช้างที่เดินตามมาด้านหลังในเวลาที่ยกท่อนซุงซึ่งช้างทั้งสองเชือกต้องเดินขนาบไม้ซุงกันเชือกละฟากโดยเอางวงรัดซุงแล้วก็เดินไปในจังหวะที่สอดคล้องกันถึงจะช่วยกันยกภาระหนักนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หวังว่าวันนั้นคงจะมาถึงในเร็ววันเพียงแต่ขอให้แต่ละฝ่ายอดทนนิดนึงเพราะคงใช้ความอดทนซึ่งกันและกันเป็นอย่างมากในเบื้องต้นอยู่แล้ว ถ้าทำอย่างนี้ได้วันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ผมเชื่ออย่างนี้นะ..

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลพบุรีในความทรงจำ

เมื่อเช้าว่างๆ เลยมีโอกาสได้ไปนั่งรถเล่นวิ่งไปถึงโน่นลพบุรีหรือละโว้ถิ่นเก่า บรรยากาศก็เหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อนสมัยยังทำงานเป็นมือปืนรับจ้างคั่นเวลาให้อาจารย์ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักแต่อย่างอื่นเหมือนจะขาดไปก็คือทหารที่เคยมีให้เห็นอยู่เป็นภาพที่คุ้นตาในค่ายกลับเงียบเหงามองไปแทบไม่เจอทหารแม้แต่นายนึงสงสัยคงจะมาทัศนศึกษากันในกรุงเทพ


จริงๆ ความหลังฝังใจกับลพบุรีมีเยอะพอสมควรจะให้เล่านี่คงจะยืดยาวมากเอาเป็นว่าแม้แต่คืนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ก็ทำให้จำไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จำไม่ลืมก็เพราะว่าคืนแรกที่ขนของเข้าไปพักก็ถูกมือดีมายกเค้าไปซะ กางเกงยีนส์หลายๆ ตัวที่หวงหายหมดพร้อมกับซีดีอีกเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าแทบจะเกลี้ยงกรุน้อยๆ ที่มีที่เหลือรอดมาก็คือแผ่นที่ติดรถไปทำงานด้วยกล่องนึงแค่นั้น


เมืองลพบุรีมีบรรยากาศของจังหวัดเก่าๆ แบบดั้งเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นจังหวัดทหารบกด้วยมีค่ายเยอะมาก ทหารก็เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าร้านค้าต่างๆ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารไม่ทางใดก็ทางนึงคือถ้าไม่ใช่สามีภรรยาก็ต้องมีญาติเป็นทหารหรือไม่อย่างน้อยสุดๆ ลูกค้าของร้านก็เป็นทหารแน่นอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่อยู่นอกรั้วค่ายก็อยู่ตามตึกแถวเก่าๆ ซึ่งก็ต้องขอบคุณจอมพล . ด้วยที่ทำให้ผังเมืองลพบุรีเป็นอย่างทุกวันนี้ซึ่งจะว่าเรียบร้อยก็ถือว่าผังเมืองค่อนข้างเรียบร้อยดีแม้ว่าในตัวตลาดจะค่อนข้างวุ่นไปนิด โดยเฉพาะแถวรอบๆ วังนารายณ์อันเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นจุดที่น่าสนใจถ้าใครไปลพบุรีสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดื่มดำ่บรรยากาศย้อนไปสมัยโบราณที่นั่น พูดถึงวังนารายณ์ยังจำภาพที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่นั่นเป็นครั้งแรกได้ไม่ลืม ภาพในหน้าขนาดใหญ่ที่่ติดตั้งไว้ตรงบันไดดูราวกับว่าใบหน้ารูปปั้นขนาดมหึมานั้นมีชีวิตจริงๆ ศิลปะแบบบายนแท้ๆ คล้ายดังกับว่ามีวิญญาณซ่อนอยู่ในตัวทำให้ดูแล้วติดเข้าไปในใจง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็นเดิิมพันแกะกันเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่อังกอร์วัดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดว่าศิลปะของหัวเมืองยังมีพลังขนาดนี้แล้วของจริงๆ ที่เมืองหลวงจะสุดยอดแค่ไหนถ้ามีโอกาสคงจะได้ไปเยี่ยมชมซักทีเพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างได้ไปเลย ซักวันจะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้


เมื่อเอ่ยถึงเมืองลพบุรีแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องนึกถึงทุกครั้งก็คือ"ลิง"นั่นเอง ลิงที่อยู่ในตัวเมืองลพบุรีมีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยต่อระหว่างตัวเมืองปรางค์สามยอดและศาลพระกาฬจะมีเยอะมากที่สุด แล้วลิงทั้งสามกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่มีโอกาสเป็นต้องยกพวกมาตีกันเรื่อย(อันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้ล้อเล่น แถมมีลากไม้มาเหมือนกับคนเลย เป็นภาพที่น่าสนใจมากๆ) ลิงแถวนั้นดุเอาการโดยเฉพาะลิงเจ้าพ่อที่บริเวณศาลพระกาฬดุมากๆ เคยเห็นมันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วก็กัดคอช่างภาพชาวญี่ปุ่นในระยะห่างไม่เกินเมตรครึ่งจนเลือดกระฉูด(ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในศาลพระกาฬอีกเลย)ในงานโต๊ะจีนลิงปีนึงเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่งก็ไม่รู้ว่าช่างภาพคนนั้นไปทำอะไรให้ลิงหงุดหงิด แต่ถ้าใครผ่านไปที่บริเวณวงเวียนศาลพระกาฬตอนดึกๆ จะเห็นหางลิงเป็นเส้นๆ อยู่รอบตัวศาลเป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกันสมัยโน้นที่ยังคะนองอยู่ยังเคยนึกๆ อยู่ว่าเอาหนังสติ๊กยิงเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างหนอ ก็ดีที่ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงบาปแย่เพราะไปทำร้ายผู้ที่ไม่ประทุษร้าย(ก็นอนอยู่นี่นานะ)


ตัวเมืองลพบุรีดูแล้วก็มีบรรยากาศของความเก่าอยู่ยิ่งถ้าใครไปในช่วงงาน"แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์"ด้วยนี่เค้าจะแต่งชุดไทยกันทั้งเมืองเลยเป็นภาพที่ดูดีมากๆ เป็นบรรยากาศย้อนยุคกันทั้งเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของ"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"ที่มีพระคุณต่อเมืองลพบุรี อีกอย่างที่คู่กับเมืองลพบุรีก็คือสวนสัตว์ลพบุรีที่เป็นเสมือนจุดพักผ่อนของชาวเมืองซึ่งก็อยู่ไม่ไกลคืออยู่แถววงเวียนสระแก้วที่เป็นวงเวียนใหญ่ประจำจังหวัด วงเวียนนี้มีเอกลักษณ์ก็คือว่ามีคชสีห์นั่งอ้าปากกว้างอยู่หลายตัว(จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่)ซึ่งก็มีโจ๊กประจำจังหวัดอยู่เกี่ยวกับคชสีห์นี้อยู่เหมือนกันว่า"ทำไมพวกมันถึงได้อ้าปากร้องถึงขนาดนั้น" ซึ่งไม่ขอเฉลยคำตอบก็แล้วกัน ไม่ไกลจากสวนสัตว์ก็มีโรงภาพยนตร์อยู่หนึ่งโรงซึ่งก็คือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหมือนกัน(ในสมัยโน้น สมัยนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า)คือว่าเค้าจะมีการพากย์ทับเสียงพากย์ในฟิล์มโดยใช้มุกที่เป็นที่รู้กันในจังหวัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่นั่นมากๆ แต่ผมฟังแล้วมันไม่ขำน่ะเพราะว่าทีมพากย์พันธมิตรก็พากย์ได้ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว พอมีเสริมขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์นะครับอย่างน้อยผมไปดูแค่ครั้งเดียวยังจำมุกที่เค้าเล่นมาได้จนถึงวันนี้เลยเจ๋งขนาดไหนคิดดูละกัน


ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าบ้านเมืองไหนก็จะมีเอกลักษณ์ประจำเมืองอยู่เป็นเสน่ห์ของแต่ละเมืองไปไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือว่าในประเทศ ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่นแล้วเราจะรู้สึกสัมผัสเมืองได้ลึกมากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็น toilet tour หรือทัวร์ผ่านหรือทัวร์ห้องน้ำก็ตาม(หมายถึงแทบจะไม่ได้แวะดื่มด่ำบรรยากาศอะไร คือไปแวะดูๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำแล้วก็ไปที่อื่นต่อ) เมื่อไหร่ที่เราศึกษาประวัติเมืองแล้วได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริงๆ จะทำให้เราเห็นภาพของเมืองนั้นชัดมากขึ้น จะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่บางอย่างตัวหนังสือไม่อาจจะให้เราได้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ได้ไปเมืองอื่นๆ นอกจากเมืองที่เราอยู่บ้างเพื่อเปิดโลกให้กว้างมากขึ้น


ลองดูนะครับอย่างน้อยซักครั้งในชีวิต"ลองปล่อยให้ถนนนำพาท่านไป".. at least once in your life, take the road trip.. ขอบอกว่าทุกจังหวัดในบ้านนี้เมืองนี้มีอะไรให้ท่านไปค้นหาอีกมากมาย มีสิ่งสวยๆ งามๆ ที่รอให้ท่านไปค้นพบอีกเยอะมากๆ..


วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[ความประทับใจ]Bodyguard and assassin

เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมชอบมากๆ ครับองค์ประกอบหลายๆ ส่วนในหนังทำได้ลงตัว เท่าที่ทราบได้รางวัลในระดับเอเชียคือ Asian Film Award ในหมวด Best Actor กับ Best Supporting Actorด้วย


พอดูจบผมได้แง่คิดอีกมุมนึงไม่ได้มองในมุมที่เป็นบทสรุปสุดท้ายของหนังก่อนที่จะขึ้นเครดิต แต่มองในมุมของคนที่สละชีพเกือบทั้งหมดไม่รวมตัวคุณชายที่ทำเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยแท้ๆ แต่คนอื่นนั้นไม่ใช่เลย

ในมุมที่ของการสละชีพของชาวบ้าน(คงจะใช้สรรพนามนี้ได้)ที่ได้เสียชีวิตเพื่อให้การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ของ ดร. ซุน ผ่านพ้นไปได้นั้นทั้งๆ ที่ทุกคนที่เสียสละชีวิตไม่ได้รู้จัก ดร.ซุนเป็นการส่วนตัวเลยแต่ก็เลือกที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นให้ลุล่วงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะ

บุญคุณที่ได้รับจากบุคคลที่เค้านับถือ
ทำไปเพียงเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการี
ความรักของสามีอันพึงมีแก่คนที่เค้ารัก
ความรักระหว่างเพื่อนฝูงร่วมอาชีพ
ความชื่นชมในคุณธรรมของคนที่เค้าเจอ
หรือแม้แต่ทำไปเพื่อไถ่บาปที่ตกค้างในใจตนเองก็ตาม

เหตุผลของผู้ที่สละชีพไม่ได้ไปไกลจนถึงอุดมการณ์แต่ว่าสิ่งที่เค้าทำไปนั้นด้วย"ใจ"จริงๆ ในสิ่งที่เค้า"เชื่อ"ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิตของเค้าเอง

คุณธรรมความดีในใจคนแท้ๆ ที่มีผลทำให้การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนั้นสำเร็วลุล่วงไปได้ แม้ว่าแต่ละคนจะสละชีพด้วยเหตุผลที่แตกต่างแต่ทุกคนได้ทำไปเพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำนั้น "ทำไปทำไม"

Rolling Eyes

โลกร้อนคนร้อนใจร้อน

ช่วงนี้ฝนเริ่มตกบ้างแล้วอาจจะมีแถมฟ้าผ่าฟ้าร้องบ้างตามปกติของฝนในหน้าร้อน อย่างน้อยก็พอช่วยทำให้อากาศที่อ้าวๆ ได้เย็นลงบ้างซักสี่ห้าชั่วโมงก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรมาดับร้อนเลยแต่ฝนที่ตกแถวนี้ก็ถือว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนักเพราะว่าฝนตกหน้าเขื่อนแถวๆ หลังเขื่อนกลับไม่ค่อนมีฝนเท่าไหร่ล่าสุดไปแวะแถวดอยเต่าแทบจะมีพื้นที่ว่างกว้างได้ประมาณหนึ่งอำเภอเลยก็ว่าได้แถมแล้งมากถึงขนาดต้นไมยราบยังต้องยืนต้นแห้งตายทำให้หมอสมุนไพรขาดส่วนผสมของยาขับปัสสาวะไปเป็นจำนวนมากน่าเห็นใจ(เกี่ยวป่ะเนี่ย)

เห็นบ้านเมืองร้อนแล้งแล้วก็นึกถึงกระแสโลกร้อนที่นานาประเทศต่างก็ช่วยกันรณรงค์ให้โลกเย็นลงก็น่าปลื้มหากช่วยกันจริงๆ สิ่งที่ทุกคนต้องการซึ่งก็คือโลกของเราเขียวขึ้นอากาศโดยทั่วไปก็คงจะกลับมาเป็นอย่างที่เคยเป็น คือฤดูร้อนก็ร้อนไม่มีหนาวฤดูหนาวก็ไม่มีฝนตกฤดูฝนก็มีฝนตกลงมามากพอเพียงกับความต้องการของผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลก เท่าที่มองดูแล้วนอกจากปลูกต้นไม้แล้วอีกอย่างที่น่าจะทำก็คือทำใจเย็นๆ ซึ่งจะว่าไป"กระแสใจของคนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนได้"เช่นกัน ห้องที่คนเข้าไปนั่งคุยกันแบบสบายๆ อากาศก็จะเป็นอย่างนึงห้องที่คนเข้าไปถกเถียงกันอากาศก็จะอบอ้าวด้วยไอร้อนที่ออกมาจากร่างกายของแต่ละคน ถ้าใจร้อนอารมณ์ร้อนร่างกายก็จะร้อนขึ้นด้วยดังนั้นโลกร้อนเรื่องของใจของผู้คนโดยรวมก็มีส่วน เพราะฉะนั้นน่าจะถึงเวลาแล้วหละที่ต้องช่วยกันทำใจเย็นๆ หมั่นทำประโยชน์ให้แก่สังคมโดยรวมเพื่อความสดชื่นของใจผู้คนทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมโลกเล็กๆ ใบนี้

จากนั้นถ้าจะช่วยกันปลูกสวนป่าปลูกพืชสวนพืชไรพืชดอกโดยศึกษาธรรมชาติของพืชแต่ละชนิดที่มีผลต่อดินของแต่ละพื้นที่ว่าพืชแบบไหนควรจะปลูกในพื้นที่แบบใด วิธีที่ง่ายสุดก็คือไปดูว่าในพื้นที่ดั้งเดิมนั้นมีพืชอะไรขึ้นได้มั่งก็เอาพืชชนิดนั้นแหละมาลงปลูกเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับดินในพื้นที่ก่อน เมื่อความชุ่มชื้นของดินเพิ่มแล้วก็ต้องรู้จักวิธีแผ้วถางให้พอเหมาะเช่นว่าใบไม้ที่ตกกับพื้นควรจะทิ้งไว้คลุมดินไว้ก่อนระยะหนึ่งให้เก็บความชื้นและทิ้งพื้นที่ให้ใบไม้คลุมไว้อย่างน้อยก็พอๆ กับร่มของต้นไม้ชนิดนั้นๆ แบบนี้ความชื้นของดินก็เพิ่มขึ้นต้นไม้ก็เติมโตสามารถไชรากไปได้โดยง่ายและก็มีสารอาหารอยู่รอบๆ ต้นทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้เร็วมากขึ้นไม่แกร็นผอมเป็นผีตายซากยืนตายอยู่เป็นแถบๆ จนสุดท้ายต้องวิ่งไปหาปุ๋ยมาโด๊ปให้ต้นไม้ฟื้นซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขก็สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติเลย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยก็น่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่เกิดจากวัสดุทางธรรมชาติไม่ใช่ปุ๋ยเคมีซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไป ถ้ารักจะปลูกต้นไม้ใจต้องเย็นค่อยๆ ดูแลไม่ต้องรีบร้อนไปเร่งให้ต้นไม้โตเกินกว่าอัตราตามธรรมชาติซึ่งมีผลเสียมากกว่าผลดี

"โลกจะเย็นก็มาจากใจของคนที่เย็นก่อน คนจะสดชื่นก็มาจากใจที่แจ่มใสประกอบกับสิ่งแวดล้อมที่เขียวขจีดูสบายตาพาสบายใจ" เรามาช่วยกันนะครับ...

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยอวตาร

ได้ฟังเด็กอายุสิบขวบเล่าเรื่องอวตารให้ฟังหลังจากได้ดูมาแล้วสิบกว่ารอบทำให้นึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ ก่อนโน้นไม่มีอะไรให้ต้องมาสนใจมากนักนอกจากหนังที่ต้องไปหาเช่ามาดูทุกวันหยุด ถ้าเรื่องไหนดูแล้วชอบก็มักจะเอาไปเล่าให้เพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียนฟังเพราะคิดว่าในรุ่นเดียวกันที่โรงเรียนคงไม่มีใครได้ดูหนังมากเท่ากับเราอีกแล้ว แต่ที่ต่างกันกับการฟังสาวน้อยคนนี้เล่าเรื่องอวตารให้ฟังก็น่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล เด็กน้อยมีช่องทางเข้าถึงข้อมูลของหนังมากกว่าเราในสมัยโน้นเยอะมากโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรนักส่วนตัวก็มีหน้าที่สรุปให้เด็กแค่นั้นเองว่าเรื่องนี้สอนอะไรให้เค้าได้มั่ง

จะว่าไปอวตารมีรายละเอียดเยอะมากพอสมควรในหลายๆ องค์ประกอบล่าสุดได้คุยกับนักอบรมท่านหนึ่งเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เค้าก็บอกว่าดูไปแล้วได้ไอเดียเยอะเลยในการอบรมการพูดหรือว่าการเขียนที่สำคัญท่านก็บอกว่าคนเขียนบทมีพื้นฐานในการฝึกคนพอสมควรเลยทีเดียวหรือไม่ก็ทำการบ้านมาดี รู้จักไล่ขั้นตอนการพัฒนาคนไปตามลำดับและที่สำคัญในการสานสัมพันธ์ระหว่างชาวโอมาติกาย่าในเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายไล่จากพ่อแม่คนรักเพื่อนครูและสังคมรอบตัวของแต่ละคนซึ่งเป็นแกนหลักที่จะบอกความเข้มแข็งของสังคมนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง"ความเข้มแข็งทางความคิดที่ต้องอาศัยเกราะจากบุคคลรอบตัวเป็นสำคัญ"

อวตารมีมุมประกอบของภาพสวยงามมุมกล้องต่อเนื่องไม่ขัดสายตาและอารมณ์ ผู้กำกับภาพเองรู้ว่าควรจะแพนกล้องไปทางไหนในจังหวะใด การดึงภาพเข้าออกเพื่อเสริมบทภาพยนตร์ก็ลงตัวพอดี คหสต.นอกจากสปิลเบิร์กแล้วคาเมรอนเป็นผู้กำกับอีกท่านที่รู้ว่าผู้ชมอยากจะดูภาพแบบไหนเรื่องราวแบบใดดังนั้นภาพยนตร์แต่ละเรื่องของเค้าจึงเป็นหนังทำเงินแทบทุกเรื่องแม้บางเรื่องจะถูกนักวิจารณ์สับเละก็ตามแต่ยังไงก็ยังได้เงิน เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่รู้ว่าควรจะ"ทำหนังยังไงให้ได้ทั้งเงินและกล่อง"

ด้วยลีลาของบทภาพยนตร์ที่ลื่นไหลมีการไล่ลำดับที่ดีเด็กน้อยที่มาเล่าให้ฟังเค้าเล่าด้วยแววตาที่ชื่นชอบมาก เล่าไปก็มีประกายในดวงตาใสๆ ให้ได้เห็นอยู่ตลอดที่สำคัญด้วยวัยที่กำลังจำเด็กน้อยอุตส่าห์จำภาษานาวีได้ด้วย ฟังเค้าเล่าไปก็ขำไปเพราะเหมือนกับกำลังมองเห็นตัวเองอยู่ก็หวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะรู้จักเลือกหนังดีๆ ให้น้องเค้าได้ดู ที่น่าประทับใจอีกอย่างก็คือเด็กคนนี้อ่านหนังสือเป็นตรงนี้ขอชื่นชมคุณพ่อคุณแม่ที่รู้จักหาหนังสือดีๆ ให้เค้าอ่านตรงนี้เองที่เด็กคนนี้โชคดีกว่าตัวเราที่ไม่มีคนคอยเลือกหนังสือให้ พื้นฐานครอบครัวและสังคมรอบตัวมีผลตรงนี้แหละในการปูพื้นฐานความคิดให้กับลูกหลานเช่นเดียวกันกับการพัฒนาตัวละครเจค ซัลลี่ในหนังอวตารจากเด็กที่เล่นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนักพอเจอพี่เลี้ยงที่เจ๋งอย่างนาร์เทียรี่ก็สามารถกลายมาเป็นผู้นำของชาวนาวีได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน ความสัมพันธ์กันในเชิงระบบของตัวละครทุกตัวในอวตารสามารถนำมาเป็นวิทยานิพนธ์ในเชิงสังคมหรือมนุษยวิทยาได้ไม่ยากถ้าจะว่าไป เพียงแต่ว่าเรื่องจริงก็คือเรื่องจริงเรื่องเล่นก็คือเรื่องเล่นแต่ถ้ารู้จักมองเราเองก็สามารถเอา"เรื่องเล่นๆ มาพัฒนาตัวเองในความเป็นจริงได้"เช่นกัน ผมคิดอย่างนี้นะ..

ผู้ติดตาม