วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผ่านไปอีกวันที่ไทเป

บรรยากาศที่นี่ก็ดำเนินไปตามที่เค้ามอบหมายให้มาซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกวัน เสร็จจากงานแล้วก็คิดว่าน่าจะไปแวะร้านหนังสืออีกซักร้านก่อนที่จะเข้าที่พักเลยให้รถไปส่งที่หน้าตึก 101 ซึ่งเป็นอดีตตึกที่สูงที่สุดในโลกพอเข้าไปก็ค่อนข้างจะแปลกใจนิดๆ ไม่ถึงกับมากมายนักที่นักท่องเที่ยวและลูกค้าที่เดินเข้าไปในห้างมีจำนวนไม่มากนักเพราะว่าฝนตกก่อนหน้านี้ไม่นานนั่นเอง ร้านค้าเสื้อผ้าและเครื่องหนังแบรนด์เนมต่างๆ มีลูกค้าเดินอยู่บ้างประปรายแต่ที่ลูกค้าค่อนข้างเยอะก็คือร้านขายเพชรเดอเบียร์ซึ่งพึ่งทราบข่าวว่าถูกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเชิดแหวนเพชรไปสองวงสาเหตุก็อาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะเจอพวกมิจฉาชีพแบบนี้หรือไม่ก็ประสบการณ์น้อยอาจจะส่งมาฝึกงานกับอาเฮียแถวเยาวราชรับรองว่าไม่ถูกเชิดแน่นอนเพราะว่าอาเฮียบ้านเรานี่โชกโชนมากกับพวกมิจฉาชีพเหล่านี้ แต่สาเหตุที่อนุมานหรือว่าเดาก็คือว่าฮวงจุ้ยไม่ดีตั้งร้านติดกับทางออกห้่างพอดีแถมสะพานลอยที่ต่อเชื่อมกับอาคารตรงนั้นสามารถวิ่งข้ามฟากไปได้โดยง่ายแถมฝั่งที่ข้ามมาก็เป็นเขตต่อกับเขตที่มีคนหนาแน่นอีกต่างหากก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน

ร้านค้า PAGEONE บนชั้นสี่ของตึก 101 ก็ดูหนาตาเช่นเคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไต้หวันเอง หนังสือภาษาอังกฤษในร้านนี้มีจำนวนมากกว่าร้านอื่นๆ ที่ไปมาพร้อมกับมีแผนกเครื่องเขียนอยู่ด้วย หนังจากเดินเลือกดูหนังสือผ่านไปได้ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ สรุปว่าไม่เจอหนังสือที่ถูกใจเลย แต่ร้านนี้คงเป็นสวรรค์สำหรับคนที่บ้า fiction มากๆ เพราะว่ามีชั้นวางหนังสือประเภทนี้ยาวครึ่งร้านก็ว่่าได้ ไปเดินมองๆ อยู่พักนึ่งได้ไอเดียทำปกหนังสือมาพอสมควรเลยทีเดียว

พอออกจากร้านหนังสือมาก็มานั่งกินไอติมฮาเก้นดาซอยู่ที่ลานหน้าร้านอีกระยะนึง ดูคนเดินผ่านไปมาแล้วนักท่องเที่ยวชาวแผ่นดินใหญ่มาเดินเยอะเหมือนกันสอบถามแล้วทราบว่าเป็นอับดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวที่มาไต้หวันเลยทีเดียวน่าจะมากเป็นอันดับหนึ่งซะด้วยซ้ำพี่ที่ทำธุรกิจโรงแรมที่นี่บอกมาแถมนักท่องเที่ยวชาวแผ่นดินใหญ่เหล่านี้จ่ายเงินกันเติบมากด้วยทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถูกใจร้านค้าแบรนด์เนมมากๆ นึกในใจไม่ว่ากันเงินมันไหลไปมาได้ถ้ารู้จักหาถุงหาอะไรมาดักก็จะได้มาไม่ยาก แต่บางประเทศมีอะไรดึงดูดน่าสนใจในประเทศมากมายกับเอามีดไปกรีดถุงดักเงินของตัวเองซะนี่ก็ไม่ว่ากันเดี๋ยววันหนึ่งเงินก็คงจะไหลกลับมาถ้าเจอคนที่ทำอวนดักเงินเป็น..

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาไทเป(อีกรอบ)

ไม่ได้มาที่เกาะของ ดร.ซุนมาสี่ปีเต็มๆ สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องมาที่นี่อีกจนได้ บรรยากาศโดยรวมก็คึกคักดีทั้งนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและจีนที่มากันตรึมจนคาเฟ่ของโรงแรมที่พักอยู่ดูแออัดไปเลยตอนที่ไปรับประทานอาหารเช้าซึ่งจะเป็นด้วยอานิสงส์อะไรก็ไม่อาจทราบได้เพราะขี้เกียจไปค้นหาข้อมูล และอีกเช่นเคยถ้ามาไทเปแล้วไม่เจอฝนนี่จะรู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปอย่างรอบนี้ก็ตกพอให้หายคิดถึงกันไปเลยแต่ก็ยังดีที่ยังพอเปิดโอกาสให้ได้เดินบ้างตอนพักกลางวัน สภาพของคนในกรุงไทเปก็คล้ายๆ เดิมยกเว้นที่แปลกตาอยู่หน่อยก็คือเหมือนว่าคนที่ไม่ค่อยจะผอมมีมากขึ้นไม่เหมือนกับเกาหลีที่หาคนไม่ค่อยจะผอมน้อย ส่วนนึงคิดว่ามาจากอาหารการกินที่ต่างกันที่เกาหลีเน้นผักกันเยอะแถวนี้จะว่าไปก็เน้นผักอยู่บ้างแต่ว่าอาหารค่อนข้างมันทำให้เกิดสภาวะคนไม่ค่อยผอมเพิ่มจำนวน

สภาพของเกาะไต้หวันถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติที่ความชื้นมีสูงนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝนตกชุก จริงๆ มารอบนี้แม้ว่าจะพกกล้องมาด้วยแต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าอยากจะถ่ายอะไรเพราะรู้สึกเบื่อๆ ยังไงชอบกลคงเป็นเพราะอากาศที่อึมครึมก็มีส่วนทำให้ไม่ค่อยอยากจะถ่ายรูปซักเท่าไหร่

ส่วนในห้่างแต่ละห้างในเขตเศรษฐกิจถือว่าคนมาช้อปกันค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในร้านหนังสือที่คนเดินกันขวักไขว่เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่มีนักอ่านเยอะไม่เหมือนบางประเทศที่ไปเดิมแล้วคนบางตาแม้จะเดินเลือกอ่านได้สะดวกแต่ว่าก็เป็นดัชนีตัวนึงที่บอกว่าคนในประเทศนั้นๆ คิดอ่านอะไรกันอยู่ ถ้าร้านหนังสือมีคนเดินไม่มากเท่าที่พบมาเวลาพูดคุยกันคนในประเทศนั้นๆ ไม่ค่อยจะมีไอเดียอะไรมากนักในเวลาที่ต้องมาถกเอาไอเดียกัน แต่ถ้าประเทศไหนที่มีนักอ่านเยอะๆ อันนี้นี่คุยกันสนุกเพราะจะแตกไอเดียกันสนุกสนานแถมเวลาคุยกันมักจะมีแง่มุมแปลกๆ มาให้ได้ทราบอยู่มากพอสมควรโดยเฉพาะคนขับแท็กซี่ก็เป็นดัชนีอย่างนึงที่จะบอกอะไรได้หลายๆ อย่างในบ้านนั้นเมืองนั้นซึ่งจะมองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว

เฉพาะวันนี้ไปเดินร้านหนังสือสองร้าน ร้านนึงเป็นของไต้หวันอีกร้านเป็นของญี่ปุ่นซึ่งอยู่กันคนละห้างอาศัยเดินเร็วหน่อยเพื่อไปให้ทันกับเวลาที่พอว่างอยู่ จำนวนลูกค้าในร้านทั้งสองมีพอๆ กันที่แตกต่างกันก็คือการตกแต่งร้านที่ร้านของฝั่งไต้หวันดูโมเดิร์นหน่อยอาจเป็นเพราะเป็นร้านใหม่ ส่วนร้านญี่ปุ่นก็ดูเรียบๆ จัดหมวดหนังสือและชั้นวางที่เลือกหาหนังสือได้ง่ายตรงนี้เป็นข้อเด่น อีกอย่างมีหนังสือนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะซึ่งเท่าที่เห็นหนังสือที่มาจากญี่ปุ่นขนาดรูปเล่มเท่ากันเป๊ะๆ ดูเป็นมาตรฐานดีไม่เหมือนในร้านของไต้หวันที่ขนาดของหนังสือค่อนข้างมีหลากหลายขนาดเวลาวางบนชั้นก็ดูเป็นคลื่นๆ สูงๆ ต่ำๆ เหมือนบางประเทศที่คุ้นเคย

section ที่มีจำนวนหนังสือมากๆ ของร้านสายพันธุ์ไต้หวันก็ไม่มีอะไรเกินส่วนของแฟชั่นซึ่งก็มีปะปนกันไปทั้งของประเทศไต้หวันเองเกาหลีและจากฝั่งประเทศตะวันตก อีกส่วนนึงที่มีหนังสือค่อนข้างมากคือส่วนของภาษาต่างประเทศและการท่องเที่ยว ส่วนของ best seller ก็มีนิยายหลายๆ เล่มที่ขายดีที่น่าแปลกก็คือหนังสือชีวะประวัติของท่านประธานเหมาที่ดูเด่นเป็นสง่าบนชั้นวางร่วมกับหนังสือเกี่ยวกับการเมืองอีกหลายๆ เล่มซึ่งก็บอกให้รู้ถึงความสนใจและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างแรงของบ้านนี้เมืองนี้ที่หลายๆ ครั้งเรามักจะทราบข่าวว่ามีการลงไม้ลงมือกันในสภาเหตุก็น่าจะเกิดเนื่องด้วยความจริงจังในเรื่องเหล่านี้นั่นเอง จะว่าไปประเทศนี้สร้างบ้างแปงเมืองขึ้นมาได้จากความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองก็คงไม่ผิดนัก และเช่นเดียวกับร้านหนังสือดังๆ ในหลายๆ ประเทศก็มีหนังสือเล่มนึงที่ขายดีติดตลาดก็คือ The Secret นั่นเองว่างๆ คงจะต้องเขียนถึงบ้างแล้วว่าคิดยังไงกับหนังสือเล่มนี้

ส่วนร้านหนังสือของญี่ปุ่นที่มีจำนวนหนังสือเยอะๆ ก็คือส่วนของอาหารและการฝีมือต่างๆ รวมไปถึงการก่อสร้างและกีฬา ส่วนแฟชั่นก็มีหนังสือค่อนข้างเยอะแต่ว่าสู้ร้านหนังสือของไต้หวันไม่ได้ แต่ก็น่าแปลกได้หนังสือที่ร้านนี้มามากกว่าที่ซื้อจากร้านฝั่งไต้หวัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าหนังสือประเภทที่ได้มาร้านในฝั่งไต้หวันหาคนจีนเขียนค่อนข้างยากเพราะว่าเป็นเส้นทางในการทำมาหากินของเค้า ถ้าเขียนหนังสือออกมาแล้วความเป็นปรมาจารย์อาจจะสูญเสียไปได้ก็ไม่ว่ากัน..

ผู้ติดตาม