วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

inception "จิต""หลง""ติด"

วันนี้ได้ดูหนังเรื่องนึงชื่อว่า inception แปลไทยว่ายังไงไม่รู้แต่ว่าแปลอังกฤษมาไทยแบบกระเหรี่ยงได้ว่า beginning หรือการเริ่มต้น ส่วนจะเริ่มต้นอะไรก็ว่ากันอีกทีนึงส่วนในหนังเค้าหมายถึงจุดเริ่มต้นทางความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่ออะไรบางอย่างในจิตของคน

จะว่าไปแล้วหนังดูเหมือนว่าจะซับซ้อนมีประเด็นซ้อนประเด็นเยอะแยะมากมายแต่เท่าที่ผมนั่งดูแล้วถ้ามีพื้นในเรื่องของจิตมาบ้างหรือได้ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมตามวัดสายปฏิบัติต่างๆ ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะว่าในแกนของเรื่องแล้วความเห็นส่วนตัวเป็นเรื่องของแนวคิดทางฝั่งตะวันออกหรือแถวๆ บ้านเรานี่เองแต่แนวคิดในเรื่องนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ของโลกตะวันตกรวมไปถึงคนรุ่นใหม่ๆ ด้วยเพราะจะหาใครว่างไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่วัดป่าเพื่อรับรู้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า"จิต"ของตนนี่ก็ไม่ง่ายนักแต่ก็มีอยู่เยอะพอสมควรเหมือนกันซึ่งต้องอนุโมทนากับคนที่ไปด้วย

จะว่าไปเรื่องของจิตหรือว่าใจนั้นก็เห็นมีทฤษฎีอะไรเยอะแยะมากมายมาอธิบายว่าจิตของคนนั้นเป็นยังไงมีการสรุปออกมาเป็นงานวิจัยกันในมหาวิทยาลัยดังๆ กันเยอะเลยแต่เท่าที่ไปอ่านมาบ้างก็รู้สึกงงเหมือนกันยกเว้นไปนั่งคุยกับหลวงปู่หลวงตาที่ไม่ได้จบอะไรแต่ว่านั่งมาเยอะธุดงค์มามากจะได้ภาพของจิตชัดมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วจิตเป็นของละเอียดสามารถรับรู้ได้จากการสังเกตุอาการของจิตเช่นว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า เครียด ด้วยตัวเราเอง ถ้ารู้จักสังเกตุอาการของจิตออกแล้วว่ากันว่าจะเห็นตัวจิตได้ตามความละเอียดของสภาวะที่เข้าถึงพระท่านว่าอย่างนั้น

ในเรื่องนี้ก็เช่นกันซึ่งแทนที่จะเอาภวังค์ทางจิตที่เกิดจากสมาธิมาว่ากันก็เอาเรื่องของการฝันเข้ามาเกี่ยวเพราะ(เดา)ว่านำเสนอไปในวงกว้างได้ง่ายกว่าจะบอกว่าต้องมานั่งสมาธิกันเน้อแล้วถึงจะเข้าไปในจิตของตัวได้ อีกอย่างถ้าใช้ฝันนี่จะเล่นแง่มุมอะไรได้เยอะมากกว่าเพื่อเพิ่มสีสันให้กับหนังได้ดีไม่ใช่เป็นแบบเรื่อง"จรเข้กบดาน"ที่ตลกรุ่นเก่าๆ มักจะเอามาเล่นกันว่าหนังเริ่มเรื่องโดยมีจรเข้ตัวนึงเดินลงไปในบึงแล้วก็หายต๋อมนิ่งไปกบดานอยู่ใต้นำ้เห็นฟองผุดอยู่พักนึงแล้วก็จบ ถ้าเล่าเรื่องแบบนี้ก็เบื่อแย่เนอะว่ามั้ย แต่ว่าถ้าเอาเรื่องของฝันมาเล่นแล้วละก็เล่นได้เยอะเพราะเรื่องนี้จะว่าไปคนก็ยังไม่เข้าใจกันอย่างแท้จริงว่าทำไมคนต้องฝันด้วย

ศาสตร์ทางตะวันตกก็พยายามหาเหตุผลทางเคมีรวมไปถึงปฏิกิริยาไฟฟ้าในสมองระหว่างที่นอนหลับเอามาอธิบายแต่ก็ไม่เห็นใครบอกได้ชัดเจนมากได้แต่ก็ได้แนวทางเพื่อที่จะเข้าใจฝันได้บ้าง ในที่นี้ในหนังเค้าว่าถึงเรื่องของจิตใต้สำนึกของคนเป็นหลักแต่ที่หนังเขียนบทออกมาได้มันส์ดีก็คือว่าแทนที่จะต่างคนต่างฝันก็เลือกที่จะให้ตัวละครฝันกันเป็นกลุ่ม เออ เอาเข้าไปแต่ก็มันส์ดี หุหุ จะว่าไปแนวคิดก็มาคล้ายๆ กับเรื่อง the metrix นั่นแหละแถมเลือกคัดนักแสดงคนนึงที่หน้าคล้ายๆ คีอานูแถมแสดงอารมณ์ได้อารมณ์เดียวคืออารมณ์นิ่งๆเหมือนกับคีอานูมาเล่นด้วยคงเผื่อว่าจะได้เกิดจากเรื่องนี้กับเค้ามั่งเพราะประกบกับลีโอและสาวน้อยเพจที่กำลังพุ่งเป็นดอกไม้ไฟอยู่ในขณะนี้

พระท่านว่าสภาวะจิตนั้นยิ่งละเอียดมากขึ้นไปเท่าไหร่เหมือนว่าเวลาจะหยุดนิ่งหรือว่าสามารถจะยืดเวลาได้ตามที่จิตต้องการพูดง่ายๆ ถ้าควบคุมจิตได้เรื่องของเวลานั้นเป็นเรื่องหนมๆ จะย้อนไปดูอดีตหรือว่าจะไปดูอนาคตก็ได้ อืม.. ตรงนี้เข้าท่าแต่จะย้อนเวลาได้ไงหนอ เหอะๆ พอหาอ่านไปอ่านมาตามประสาคนฟุ้งซ่านก็ไปเจอที่ไอสไตน์ได้เคยบอกไว้ประมาณว่า"ถ้าเราสามารถจะสร้างยานพาหนะที่เดินทางไปได้เท่าหรือว่ามากกว่าความเร็วแสงเราสามารถจะย้อนไปในอดีตหรือว่าจะเร่งเวลาไปในอนาคตก็ได้" ซึ่งตรงนี้เป็นแนวคิดของการทำไทม์แมชชีนนั่นเอง แสงนี่ถ้าจำไม่ผิด(เพราะท่องสมัยรุ่นตอนเรียนชั้นประถม)ว่ากันว่าเดินทางไปในความเร็วประมาณสองแสนแปดหมื่นหกพันไมล์ต่อวินาที(ถ้าจำไม่ผิด) และวัตถุยิ่งเดินทางไปได้เร็วเท่าไหร่ขนาดจะเล็กลงแต่มวลเพิ่มขึ้นจนเท่าความเร็วแสงวัตถุนั้นจะมีขนาดเป็นศูนย์แต่มวลเป็นอนันต์ เหอะๆ แต่จะมีอะไรวิ่งไปได้เร็วกว่าแสงล่ะ จำได้ว่ามีเพลงพี่หนุ่ยไมโครร้องว่า "ใจไปไวกว่าแสง" มาคิดๆ ดูก็เป็นไปได้นะเพราะว่านึกถึงอะไรก็ไปถึงปุ๊บเลยก็คงจะไวกว่าแสงจริงๆ นั่นแหละ งั้นที่พระท่านว่าจิตหรือว่าใจนั้นสามารถจะย้อนไปดูอดีตหรืออนาคตได้ก็น่าจะจริงอย่างที่ท่านบอกแหละถ้ามีสภาวะจิตที่ละเอียดมากๆ และสภาวะจิตก็จะมีเป็นลำดับๆ อีก(ตามที่ท่านบอก)ถ้าละเอียดมากๆ ก็ไปอยู่ตามสวรรค์หรือว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าสวรรค์อีกแต่ที่น่าแปลกก็คือพระท่านบอกว่าเวลาไม่เท่ากันในแต่ละชั้นยิ่งชั้นสูงๆ เวลาจะยิ่งนานขึ้นไปเรื่อยๆ เออ แปลกดีเพราะถ้าคิดเทียบเป็นตรรกแล้วก็ตรงกันที่ว่าถ้าจิตละเอียด(ซึ่งก็หมายถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น) ถ้าความเร็วเพิ่มขึ้นเวลาก็น่าจะช้าลงแต่ก็เอาเถอะคิดไปคิดมาปวดหัวกลับเข้าเรื่องกันดีกว่า

ด้วยหลักการเกี่ยวกับจิตที่เป็นคำสอนทางตะวันออกนี้แล้วก็เอามาใส่ไข่ใส่สีให้ดูดีแล้วก็สนุกใน plot ซ้อน plot เข้าไปเป็นชั้นให้ดูสับสนแต่จริงๆ จะว่าไปไม่ได้สับสนอะไรหนังก็เดินทื่อๆ ไปอย่างนั้นแหละ plot สั้นๆ ก็ดีไปอย่างคือว่าเขียนออกมาให้สนุกได้ง่ายกว่า plot ยาว แต่เนื่องจากว่ามี plot ซ้อนกันอยู่เลยดูเหมือนว่าซับซ้อนตรงนี้เป็นความฉลาดมากๆ ของคนเขียนบทซึ่งต้องถือว่าทำการบ้านได้ดีมาก

ถ้าตัดรายละเอียดหยุมหยิมปลีกย่อยออกไปทั้งหมดแล้วเหลือแต่แกนหลักของเรื่องก็คงจะเหลือแค่คำว่า "หลง"และ"ติด" เท่านั้นเองไม่มีอะไรมากมาย ยกตัวอย่าง(ถ้ายังไม่ได้ดูอย่าอ่านเน้อแต่ถ้าจะอ่านก็คงไม่เป็นไรเพราะว่าหนังก็เดินมาทื่อๆ อยู่แล้ว) คือตอนที่พระเอกไปเจอภรรยาแล้วภรรยาบอกให้ดูหน้าลูกสิแล้วพระเอกก็ยกแขนขึ้นปิดตาคงกลัวว่าจะ"หลง"แล้ว"ติด"อยู่ตรงนั้นคือแยกความจริงออกจากความฝันไม่ออกนั่นเอง ตรงนี้จะว่าไปก็ถือว่าเป็นคำสอนแถวๆ บ้านเราอีกแหละว่าไม่ให้ยึดไม่ให้ติดกับอะไรเพราะทุกสิ่งล้วนไม่จีรังเป็นภาพลวงตาที่ได้ยินคนแก่ๆ เค้าว่าให้ฟังตั้งแต่ยังเด็กๆ ถ้าไม่"หลง"ก็ไม่"ติด" พระเอกให้สาวน้อยจูโนเขียนผังให้อีกคน"หลง"เพื่อที่จะได้"ติด"กับความคิดที่เค้าจะเอาไปฝังไว้ให้ จากนั้นก็จะได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ตามที่จิตที่ถูก"ปลูก""ฝัง"ความคิดเข้าไปจน"หลง"และ"ติด"กับความคิดนั้นจนมาทำตามที่ฝ่ายพระเอกต้องการ แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ถ้ายังไม่ได้ไปดูก็ควรจะไปดูซะแล้วก็ดูว่าพระเอกและทีมงานจะทำสำเร็จหรือไม่..

ผู้ติดตาม