กระแสจากออสการ์ในช่วงนี้ยังไม่จางหาย(สำหรับผม)เพราะว่าอยากจะตามดูภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนี้มาแต่ว่าผมเองยังไม่ได้ดู ซึ่งรางวัลแห่งเกียรติยศนี้ในปีหลังๆ มักจะถูกคนวิจารณ์กันว่าให้รางวัลขัดกับสายตาเหลือเกินหรือไม่ก็หนังที่ได้รางวัลดูยากไม่รู้ว่าจะสื่ออะไร

ผลงานทางศิลปะบางทีถ้าจะให้เข้าใจมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับที่ผู้สร้างได้บรรจงทำขึ้นมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ว่าก็ว่าเถอะนะแม้แต่นักวิจารณ์เองก็ไม่ใช่เซียนที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินหรือรู้ใจสรรพสัตว์ทุกๆ ชีวิตในโลกนี้ได้ทั้งหมด อย่างมากด้วยประสบการณ์เมื่อดูโทนสีมุมมององค์ประกอบก็บอกได้เพียงแต่ส่วนหนึ่งผมว่าไม่น่าจะเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ของภาพในใจผู้ที่ทำผลงานชิ้นนั้นๆ ออกมาไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพวาด ภาพถ่ายหรือว่าภาพยนตร์ แต่ที่แน่ๆ ที่รู้อยู่ก็คือศิลปินหรือว่าอาร์ติสนี่ร้อยทั้งร้อยล้วนแต่เจ้าอารมณ์ทั้งสิ้นเพราะกว่าจะสร้างผลงานออกมาได้แต่ละชิ้นก็วาดวิมานในอากาศกันก่อนแล้วก็เค้นมันออกมาให้เป็นชิ้นงานโดยมีหลักการผสมอยู่ในเบื้องต้นแล้วก็มีอารมณ์เป็นตัวดำเนินงานจนสำเร็จเสร็จออกมาเป็นงานศิลป์ให้เราได้มานั่งดูและชื่นชมกันในที่สุดดังนั้นเรื่องเครียดไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าศิลปินท่านนั้นๆ จะมีวิธีระบายความเครียดเหล่านั้นออกไปได้อย่างไรแค่นั้นเองซึ่งแต่ละท่านก็จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล(ตรงนี้น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียวไม่รู้มีใครเคยทำวิจัยไว้บ้างหรือเปล่า)

เพราะถ้าคิดจะเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จคำว่า"ตัวกูของกู"ต้องชัดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้มีทิฏฐิถือเนื้อถือตัวแต่ว่าต้อง"รู้จักตัวเอง"ว่าเราเป็นใครพื้นฐานที่มีเกิดมาได้อย่างไรถนัดในด้านไหนแล้วคิดจะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ยังไงอย่างนี้ถึงจะแน่ "ให้รู้ตัวไม่ใช่ให้ถือตัว"คำวิจารณ์ที่ได้รับก็เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เราสามารถจะต่อยอดพัฒนาตัวเองไปได้ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟัง ซึ่งถ้าถือตัวเองว่าเราแน่เมื่อไหร่ก็จบชีวิตได้ตรงนั้นเลยเพราะมันจะเดินไปต่อข้างหน้าไม่ได้



ส่วนตัวผมชอบ The King's Speech ที่ได้เขียนเล่าความประทับใจไปเมื่อเดือนก่อนพอมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ได้ดู Black Swan ที่ Natalie Portmanเล่นเป็นตัวเอกแล้วก็ได้รางวัลดารานำหญิงไปครองในที่สุดเมื่อดูจบแล้วก็เห็นความทุ่มเทของเธอในหลายๆ ด้านเพราะส่วนตัวผมชอบเธอมาตั้งแต่เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกคือ Leon the Professional คู่กับฌอง เรโนเมื่อตอนอายุสิบสอง(ถ้าจำไม่ผิด)แล้วก็แสดงต่อเนื่องมาสิบแปดปีจนกระทั่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ซึ่งตัวเธอเองเป็นนักแสดงที่เลือกภาพยนตร์เล่นหลากหลายแนวมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูดทั้งหนังทำเงินและหนังเอากล่อง เพราะฉะนั้นด้วยประสบการณ์ที่มีมาเกือบยี่สิบปีรางวัลดารานำหญิงสำหรับปีนี้ก็ให้เธอไปเถอะเพราะเธอเล่นได้ขอใช้คำว่า"ถึง"กับบทนังแสดงบัลเล่ต์ที่แสวงหาคำว่า"สมบูรณ์แบบ"ได้ดีจริงๆ แล้วทำไมตัวละครที่เธอแสดงนั้นมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่นั้นแต่ละคนที่ไปดูผมว่าน่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปแน่นอนซึ่ง คหสต. ผมว่าก็ถูกด้วยกันทั้งนั้นแหละเห็นหลายๆ คนมาเถียงกันเอาเป็นเอาตายในเรื่องแบบนี้ไม่เห็นมันจะได้อะไรขึ้นมาผมว่าเปิดใจรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเอาข้อมูลมาแบ่งกันให้คนอื่นได้รับรู้มุมมองของเราในอีกแง่มุมนึงซึ่งบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่เคยคิดนั้นดีกว่าตั้งเยอะ

วันที่มอบรางวัลออสการ์ผมก็นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบแม้จะไม่ค่อยโอเคกับการยัดเยียดโฆษณาแฝงของทาง Star Movie ที่เกินไปหน่อยจนตัดเอาสัมภาษณ์นักแสดงที่มาร่วมงานไปเยอะพอสมควรในส่วนของการเดินพรมแดงเข้ามาในโกดักเธียร์เตอร์ซึ่งถือว่า red carpet นี้เป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของการประกาศผลรางวัลออสการ์แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะทำสถานีโทรทัศน์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก(แต่ก็แอบงงๆ อยู่นิดหน่อยว่าเราก็จ่ายค่าบริการในการรับชมนะ)

พอมาถึงขั้นตอนพิธีในการประกาศผลรางวัลก็ว่าไปกันตามลำดับที่จัดเรียงไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ที่น่าสังเกตก็คือปีนี้มีการเอายกเอาครอบครัวของนักแสดงท่านต่างๆ ส่วนหนึ่งมาเป็นจุดเด่นของงาน รวมไปถึงครอบครัวของพิธีกรคู่ขวัญในงานที่มาปล่อยมุกได้น่ารักน่าชังใช้ได้เลยทีเดียว ซึ่งก็น่าชื่นชมทางผู้จัดนะครับเพราะว่าการที่บุคคลจะประสบความสำเร็จขึ้นมาได้นั้นต้องมีครอบครัวสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมือนเป็นเบาะนุ่งมารองรับเวลาตกต่ำเป็นเหมือนกำแพงคอนกรีตคอนผลักดันไปข้างหน้าเวลาท้อถอย ดังนั้นการที่จะยกเรื่องของครอบครัวทั้งพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าลุงน้าขึ้นมาเป็นสิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง มาถึงตรงนี้ผมนึกถึงคำขอบคุณของนาตาลี พอร์ตแมนตอนขึ้นมารับรางวัลที่ว่า

"I want to thank my parents, who are right there, first and foremost for giving me my life and for giving me the opportunity to work from such an early age and showing me everyday how to be a good human being by example."

โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกคนเลยก็ว่าได้ ถ้าใครมี"พ่อแม่ที่ทำตัวที่ดีเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตผมว่าเด็กคนนั้นมีชัยไปเกินกว่าครึ่งชีวิต"แล้ว


มาถึงตรงนี้ก็ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันครับเพราะมัวแต่พล่ามยาวมาอาจจะทำให้หลายๆ ท่านที่กรุณาเข้ามาอ่านรำคาญได้ สาเหตที่ต้องร่ายยาวมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่าประเด็นของ The Fighter ที่ผมเองเมื่อดูจบแล้วสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือคำขอบคุณของนักแสดงท่านต่างๆ ที่ขึ้นมารับรางวัลบนเวทีออสการ์ในวันนั้นที่ทุกท่านจะต้องกล่าวถึง"ครอบครัว" ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แง่คิดมุมมองในตรงนี้ได้ชัดเจนจริงๆ ที่ว่าคนเราจะรุ่งหรือว่าจะร่วงก็มีครอบครัวนั่นแหละเป็นตัวช่วยกระตุ้น บทของเรื่องเล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวของนักสู้ชีวิตในเมือง Lowell ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมเมืองหนึ่งแห่งมลรัฐ Massachusetts ทางฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมลรัฐนี้คนส่วนมากจะรู้จักแต่เมือง Boston ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งเช่น Harvard, M.I.T หรือ Massachusetts Institute of Technology





หนังเปิดเรื่องที่ช่องโทรทัศน์ HBO มาทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของอดีตนักชกดาวรุ่งพุ่งลงจนดับคนหนึ่งที่ชื่อว่า Dickie Eklund ซึ่งเคยเป็นหน้าตาของเมืองเล็กๆ แห่งนี้จนถึงขนาดที่ว่าให้ฉายาพี่ท่านว่า"ความภาคภูมิใจแห่งเมืองโลวล์" The Pride of Lowell ที่ให้ฉายาแบบนั้นเพราะนักมวยโนเนมคนนี้ได้น็อคนักมวยในตำนานท่านหนึ่งที่ชื่ือว่า Sugar Ray Leonard ลงได้แล้วทำให้ตัวเค้าเองก็หลงติดอยู่กับอดีตในตอนโน้นโดยไม่ได้มองดูเลยว่าสภาพของตนเองในตอนนี้เป็นอย่างไร ด้วยบทของ Dick Eklund นี่เองที่ส่งผลให้ Christian Bale อดีตนักแสดงเด็กดาวรุ่งคนหนึ่งของวงการสมัยที่เค้าแสดงในภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมเรื่องหนึ่งของโลก Empire of the Sun ที่กำกับโดยพ่อมดแห่งวงการมายา Steven Spielberg แล้วก็แทบจะหายเข้ากลีบเมฆไปจนกลับขึ้นมายืนบนแท่นอีกครั้งในวงการนี้ในบทของมหาเศรษฐี Bruce Wayne ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins ซึ่งใน The Fighter นี้ Bale เล่นได้ไม่เหลือมาดผู้ดีจนคนดูเชื่อว่าคนนี้นี่เป็นกุ๊ยสมบูรณ์แบบจริงๆ ตอนที่พิมพ์ความประทับใจใน the King's Speech นั้นผมเองยังไม่ได้ดูเรื่องนี้พอดูจบก็บอกตัวเองว่า "สมควรแล้วที่ Bale ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชาย"แห่งปี



เมื่อพูดถึงรางวัลนักแสดงสมทบชายก็ไม่สมควรที่มองข้ามรางวัลนักแสดงสมทบหญิงซึ่ง The Fighter ก็มีเข้าชิงรางวัลกันสองท่านซึ่งก็คือ Amy Adams และMelissa Leo ซึ่งตัวละครที่ทั้งสองท่านแสดงในเรื่องนี้เล่นกันได้ดิบและธรรมชาติดีมากทั้งคู่แต่ว่าด้วยบทที่ต้องเล่นกับอารมณ์ที่หลากหลายมากกว่าของ Leo ทำให้เธอได้รับรางวัลดาราสมทบหญิงไปในที่สุด และตอนนี้เธอเองก็ได้เป็นตำนานของออสการ์ไปแล้วเนื่องจากตอนที่ขึ้นไปรับรางวัลเธอได้ทิ้ง "F Bomb" ลูกเบ้อเริ่มไว้บนเวทีทำเอาคนดูอึ้งไปตามๆ กัน



ส่วนดารานำชายที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าไปชิงรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้คือ "Marky Mark" Wahlberg มือแร็บในดวงใจคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นน้องชายของDonnie Wahlberg อดียบอยแบนด์วงแรกของโลก N.K.O.T.B ที่ตอนหลังหายไปจากหน้าสื่อไป แม้จะออกมาปรากฎตัวในภาพยนตร์และซีรีย์ดังๆ หลายเรื่องเช่น The Six Sense, Ransom, Saw, Band of Brothers แต่ก็ไม่สามารถทำให้เค้าเข้ามายืนในแนวหน้าได้แบบน้องชาย จะว่าไปชีวิตของ Marky Mark นั้นคล้ายๆ กับชีวิตของบท Mickey Ward ที่เค้าได้รับในเรื่อง The Fighter อยู่เหมือนกัน แม้ว่าบทนี้จะเปิดโอกาสให้เค้าได้แสดงอารมณ์ได้หลากหลายมากกว่าทุกเรื่องที่เคยเล่นมาและตัวเค้าเองก็เล่นได้เป็นธรรมชาติแบบสุดๆ แต่ว่าบทนี้เด่นสู้บทของ Colin Firth จาก The King's Speech ไม่ได้แค่นั้นเอง ถ้าปีนี้ Colin ไม่ได้รับการเสนอชื่อตัวของ Marky Mark คงจะมีโอกาสที่จะได้ครอบครองรางวัลออสการ์ในสาขาดารานำชาย





บทของเรื่องนี้เขียนได้ไหลลื่นและมีความลึกดีมากๆ และด้วยมุมกล้องที่สุดเทพ(เทพจริงๆ ขอบอก ผมชอบมากกว่ามุมกล้องของ The King's Speech เสียอีก) เป็นมุมกล้องธรรมดาๆ ที่เน้นความดิบและสมจริงเป็นหลักเหมาะมากๆ สำหรับการนำเสนอเรื่องจริงๆ ของคนจริงๆ ออกมาให้เราได้ดู โดยเฉพาะมุมกล้องที่ผมขอเรียกว่า"มุมตอดและมุมทิ้ง"ซึ่งผู้กำกับภาพเหมือนจะรู้เลยว่าคนดูกำลังมองดูตรงจุดไหนของภาพพี่เค้าก็เลยตอดให้ดูนิดนึงในจังหวะที่ทิ้งกล้องตอนเปลี่ยนมุมซึ่งการที่จะทำได้อย่างนี้นี่ผู้กำกับภาพต้องเข้าใจคนธรรมดาที่เรียกว่ามนุษย์จริงๆ ถึงเล่นมุมกล้องแบบนั้นได้

ผมอยากจะให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ดูลองไปหามาดูครับเนื้อหาอาจจะหนักไปซักนิดแต่ว่ารับรองว่าดูจบจะไม่มีอะไรค้างในใจ ส่วนตัวผมว่าได้อารมณ์หนัง feels good แบบของค่าย GTH บ้านเราอยู่เหมือนกันซึ่งจะว่าไม่่น่าจะเป็นไปได้เพราะพี่ท่านเล่นใส่ความดิบมาตลอดเรื่องแต่ David O. Russell ผู้กำกับและทีมงานสามารถทำได้ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ Bale และ Mark นั่งคู่กันนี่ทำให้พระเอกกลายเป็นพระรองกันเลยทีเดียว พอตอนรายชื่อทีมงานขึ้นมาจะมีคลิปเล็กๆ ให้เราได้ดูกันซึ่งคลิปนี้แหละที่ผมว่ามีส่วนอย่างมากทำให้ Bale ได้รับรางวัลดาราสมทบชายทั้งๆ ที่เค้าเองไม่ได้อยู่ในคลิปเลย ส่วนในคลิปนั้นจะมีเรื่องราวอะไรให้ได้เราดูกันก็อยากแนะนำให้หามาดูนะครับถ้ายังไม่ได้ดูสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ The Fighter ภาพยนตร์สำหรับคนสู้ชีวิตผ่านบทที่เค้นชีวิตและนักแสดงที่ทุ่มชีวิตแสดง



สำหรับเรื่องนี้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ดิบสมจริงแต่ Feels Good"


ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับผม