วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

(500) Days of Summer

เมื่อคืนตอนดึกมีโอกาสได้นั่งดูเรื่องนี้จนจบ(ในที่สุด)

ส่วนที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ของผมคงเป็นการเดินเรื่องที่เปรียบเทียบช่วงเวลาที่หวานชื่นกับขมขื่นไปพร้อมๆกันได้อย่างลงตัวผสานกับเพลงประกอบเพราะๆ ทั้งเรื่องทำให้ดูได้เพลินๆ มีแทรกอารมณ์ขันเข้ามาเป็นระยะๆ เรื่องนี้ไม่เชิงว่าเป็น romantic comedy แต่ก็ทำให้มีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปากได้เกือบทั้งเรื่อง การกำกับศิลป์ของเรื่องก็เจ๋ง มุมกล้อง, องค์ประกอบการตัดต่อมีหลากหลายแบบมากเหมือนพี่ผู้กำกับกำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่แต่ก็ทำออกมาได้เข้าท่ามิเสียแรงที่เคยทำสารคดีของนักร้องวงดนตรีดังๆ มาก่อน

นักแสดงก็เลือกมาเล่นได้สมบทบาทดีครับขอเริ่มจากน้อง zooey ก่อนก็แล้วกัน จะว่าไปน้องเค้าก็เล่นหนังมาเยอะพอสมควรหลายๆ เรื่องก็เป็นหนังในดวงใจของผมแต่ส่วนมากเธอมักจะถูกฉากหลังดูดทำให้จมหายไปในจอเลยไม่โดดเด่นออกมาเท่าที่ควรแต่ไม่ใช่กับ (500)days of Summer เรื่องนี้่ zooey น่ารักมากๆ ครับโดยเฉพาะรอยยิ้มของน้องเค้า(zooey เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ้มยาก หลายๆ เรื่องที่เธอเล่นนี่แทบจะไม่มีบทยิ้มเลยก็ว่าได้) เครื่องแต่งกายภายในเรื่องก็เข้ากับบุคลิกและรูปร่างของเธอเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากหลังๆ ในวันที่เกือบๆ 500 ของเรื่องเธอเล่นออกมาทางดวงตาได้ยอดเยี่ยม(ตาของเธอมักจะเศร้าอยู่ตลอดไม่ว่าจะเล่นหนังเรื่องใดก็ตาม)

Joseph Gordon-Levitt พระเอกของเรื่องนี่ก็คงจะไม่อาจจะบรรยายอะไรได้มากนักเพราะเท่าที่ได้ติดตามผลงานของเค้ามาผมว่าเค้าเหมาะกับฉายา"ดาราร้อยบทแต่หน้าตามีอารมณ์เดียว"เหมือนกับคีอานูรีฟแถมหน้าคล้ายๆ กันด้วย ตอนที่แสดงใน inception นี่ดูเผินๆ เหมือนเอาคีอานูมาเล่น ส่วนหนึ่งผมว่าอาจจะติดมาจากสมัยที่เค้าเล่นซีรี่ย์ดัง 3rd Rock from the Sun เมื่อยังเด็กอยู่ซึ่งบทของเรื่องไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่มาเรื่องนี้บทได้เปิดโอกาสให้เค้าแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงซึ่งพอเพมาะพอดีกับบทของคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองใครลากไปไหนก็ไหลไปทางนั้น

ตัวประกอบทุกท่านก็รับส่งบทได้ลื่นดีแม้บางคนจะออกมาไม่กี่ฉากแต่บทก็กระจายให้เด่นได้ถ้วนหน้าไม่มีตกหล่น ที่โดดเด่นพอเข้าตากรรมการมั่งก็ Chloe Moretz ที่รับบทเป็น้องพระเอกที่ช่วงหลังมานี้คงอยู่ในช่วงขาขึ้นมีหนังทำเงินที่เธอแสดงอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน อีกไม่กี่วันหนังภาคต่อ Kick-Ass 2 ของเธอก็คงจะเข้าโรง ส่วนเพื่อนพระเอกอีกสองคนก็เล่นได้ลื่นดีถ้าไม่มีสองตัวละครนี้หลายๆ ฉากคงจะฝืดเลยทีเดียว

ใครยังไม่ได้ดูลองหามาดูครับ อาจจะเดินเรื่องไม่เหมือนกับหนังวัยรุ่นหนุ่มสาว Boy meets Girl ทั่วไปแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ให้มุมมองเปรียบเทียบระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้ลึกกว่าหนังแนวนี้โดยทั่วไปอยู่บ้างเหมือนกัน ขอปิดท้ายด้วยคำพูดของผู้บรรยายที่นึกจะโผล่ขึ้นมาก็โผล่ออกมาเป็นระยะๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์และสีสันของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างนึงเลยก็ว่าได้ว่า

"Most days of the year are unremarkable. They begin, and they end, with no lasting memories made in between. Most days have no impact on the course of a life..."

"วันที่ผ่านไปของปีส่วนใหญ่ไม่มีอะไรพิเศษ มันเริ่มขึ้นแล้วก็จบ ไม่มีเรื่องอะไรทิ้งไว้ให้จดจำ วันส่วนใหญ่ไม่มีผลกระทบอะไรกับทิศทางชีวิตของเรา.."

แต่วันพิเศษๆ ที่มีผลกระทบกับชีวิตของเราก็มีอยู่เช่นเดียวกัน วันที่จะมีเรื่องราวสำคัญๆ ให้เราได้จดจำไปทั้งชีวิต วันที่จะกำหนดทิศทางชีวิตของเรา ดังนั้นเลือกให้ดีว่าจะให้วันนั้นๆ มีผลกระทบกับตัวเราไปในทางไหนทางบวกหรือว่าในทางตรงกันข้าม "ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนกำหนด ไม่ใช่โชคชะตาหรือฟ้าลิขิต" ผมเชื่ออย่างนี้นะ





ในเรื่องผมชอบเพลงนี้ครับ


ผู้ติดตาม