วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Impression] Senn HE90 Orpheus vs Stax O2 MkI, MkII.5




สมัยเมื่อยังเด็กผมชอบอ่านเรื่องราวเทพนิยายกรีกจากต่วย'ตูน(พิเศษ)มาก หลายต่อหลายเรื่องก็น่าจดจำหลายต่อหลายเรื่องก็น่าลืมแต่ทุกเรื่องเท่าที่ผมจำได้ล้วนจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมแทบทั้งสิ้นอันเป็นจุดขายของเทพนิยายกรีกเลยก็ว่าได้ยกเว้นเรื่องราวของเพอร์ซีอุส(Perseus)เท่านั้นที่ค่อนข้างจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง อีกเรื่องที่ยังพอจำได้ลางๆ ก็คือเรื่องราวของออฟีอุสผู้ที่ใช้ความสามารถทางดนตรีของตนโกงความตายที่เกิดแก่ภรรยาของเค้า

เรื่องคร่าวๆ มีอยู่ว่า ในวันแต่งงานของออฟีอุส(Orpheus)และยูรีไดซ์(Euredice)ระหว่างที่เดินทางมางานเธอได้เจอเทพารักษ์ครึ่งคนครึ่งแพะที่เรียกว่า satyr โผล่มาทำให้นางตกใจวิ่งหนีไปเจอรังของงูพิษแล้วงูนั้นก็ได้กัดเข้าที่ข้อเท้าจนนางถึงแก่ชีวิต พอออฟีอุสมาเจอร่างของนางเข้าก็ทำให้เค้าแทบจะคลั่งเพราะว่าเค้ารักเธอมากๆ ดังนั้นเค้าเลยทำสิ่งที่เค้าทำได้ดีที่สุดก็คือเล่นดนตรี แต่การเล่นดนตรีของออฟีอุสนั้นต่างจากคนอื่นตรงที่ว่าพอเค้าเล่นแล้วสิ่งมีชีวิตเทพหรือมนุษย์รวมไปถึงสรรพสัตว์จะตกอยู่ในภวังค์ของเสียงเพลงที่บรรเลงออกมาดังนั้นเค้าจึงใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้เป็นบัตรผ่านเปิดทางลงไปสู่โลกแห่งความตายตามความเชื่อกรีกที่มีเฮดีส(Hedes)เป็นผู้ปกครอง

ด้วยบทเพลงที่บรรเลงกล่่อมจนสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก(น่าจะถูกต้องกว่า)ที่มีหน้าที่ป้องกันผู้ที่ยังไม่ถึงที่ให้ลอบเข้าไปและไม่ให้พวกที่เข้าไปแล้วหนีออกมานั้นเคลิ้ม จนไปถึงวังแห่งเฮดีสและชายาเพอซิโฟเน่(Persephone)เพื่อขอต่อรองให้ปลดปล่อยวิญญาณของที่มีภรรยาสุดรักมาให้เค้า ด้วยอำนาจแห่งเสียงเพลงวิเศษส่งผลให้เฮดีสและภรรยายินดีจะทำตามคำขอของออฟีอุสโดยมีข้อแม้อยู่ว่า "ระหว่างที่กลับออกไปนั้นให้ออฟีอุสเดินนำวิญญาณของยูรีไดซ์ออกไปโดยห้ามหันกลับมามองจนกว่าจะขึ้นไปถึงพื้นโลก" ซึ่งออฟีอุสก็ยินดีทำตามข้อแม้นั้นโดยดุษฎี จากนั้นเค้าก็เริ่มบรรเลงเพลงแล้วก็เดินย้อนกลับออกไปโดยมีวิญญาณของยูรีไดซ์ลอยตามมา พอขึ้นมาถึงพื้นโลกอารามดีใจทำให้ออฟีอุสรีบหันกลับไปมองภรรยาสุดรักซึ่งขณะนั้นยังไม่พ้นเงาความมืดของโลกแห่งความตายของเฮดีสดังนั้นจึงส่งผลให้นางต้องกลับลงไปสู่โลกแห่งความตายอีกครั้งซึ่งคราวนี้เค้าเองก็ไม่สามารถจะกลับลงไปช่วยนางได้อีกตลอดกาล..

นั่นก็คือเรื่องราวคร่าวๆ ของนักดนตรีฝีมือเทพออฟีอุสที่เสียงเพลงที่เค้าบรรเลงสามารถจะกล่อมให้ผู้ที่ได้รับฟังตกอยู่ในภวังค์จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และตรงนี้เองคงเป็นที่มาของหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์ของ Senheiser ที่มีชื่อรุ่นว่า Orpheus นั่นเอง..





ย้อนหลังกลับไปสมัยที่เข้าร่วมทีมสติแตกกับคุณคิม peeradonn ก็ได้แต่ใฝ่ฝันว่าวันนึงคงจะมีโอกาสได้ครอบครองหูฟังสติแตกที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกหรือไม่ก็ขอลองฟังเป็นบุญหูซักครั้งนึง แต่ฝันก็คือฝันเพราะว่าโอกาสที่จะมีคนปล่อยออกมาให้ได้ประมูลกันบนอินเตอร์เน็ทก็ไม่ค่อยมี จะให้ไปขอซื้อต่อจากผู้ที่มีครอบครองราคาค่าตัวก็เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงก็ได้แต่เก็บความอยากไว้ในใจเงียบๆ พร้อมกับข้อสงสัยและข้อกังขาว่า "มันจะดีจริงอย่างที่เค้าว่ากันเลยหรือ"

กระทั่งวันหนึ่งมีเทพบุตรขี่ม้าขาวของประเทศได้ไปเอาหูฟังเทพตัวนี้มาจากเมืองนอกพร้อมทั้งยังใจดีจะเอาไปให้พี่ๆ น้องๆ นักเล่นหูไปฟังกันในงาน Canjoin ครั้งแรก พอทราบข่าวก็นึกในใจว่าเมื่อมีหูระดับนี้มาให้ได้ฟังกันแล้วก็สมควรที่จะมีแอมป์ตัวที่สามารถขับให้หูเทพตัวนี้ฉายแสงออกมาได้เลยตัดสินใจเอาแอมป์ตัวที่ผมเองคิดว่าน่าจะผ่านเกณฑ์ไปใช้เข้าคู่กัน ซึ่งมาถึงวันนี้ก็สมดังที่ได้ตั้งใจไว้คือแอมป์และหูฟังได้ไปช่วยกันมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับพี่น้องนักเล่นหูกันมาแล้วในงานที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณคุณพี่ kiertijaib ที่เมตตามากๆ และถือได้ว่ามีบุญคุณกับวงการหูฟังของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบหูฟังตัวนี้ให้ไปแสดงตัวในงาน Canjoin#1 และต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนทำให้งานครั้งที่ผ่านมาสำเร็จลงไปได้ด้วยดีครับ

มาวันนี้ความฝันที่ผมมีมานานหลายปีก็ได้เป็นความจริงเสียทีกับความคิดที่อยากจะฟังหูฟังสุดเทพตัวนี้ซักครั้งหนึ่ง หลังจากใช้เวลากับมันอยู่พักใหญ่เลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันเผื่อว่าใครที่ไม่ได้ไปลองฟังในงานอาจจะพอเห็นภาพของหูฟังตัวนี้ที่มีชื่อรหัสรุ่นว่า HE90 Orpheus ตามชื่อของสุดยอดนักดนตรีในตำนานกรีกได้บ้างไม่มากก็น้อย


อุปกรณ์ที่ใช้ร่วม:
Sources: iMac, CDT100 DAC: WEISS DAC202 Clock: Antelope Isochrone OCX
Cans: STAX Omega II MkI, MkII.5 Amp: Woo Audio WES Maxxest, McIntosh MC275 SPKs: Maggie 1.6QR



รูปลักษณ์ภายนอก: ตัวกรอบของไดอะแฟรมและตัวแผ่นไดอะแฟรมของ HE90 ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของหูฟังเป็นทรงรีไม่เหมือนกับของ STAX ตระกูลโอเมก้าที่เป็นวงกลม ซึ่งโดยการออกแบบทำให้บุคลิกเสียงของหูฟังทั้งสองตระกูลแตกต่างกันพอสมควรส่วนจะแตกต่างกันอย่างไรขอเอ่ยถึงในช่วงท้าย เท่าที่ทราบแผ่นไดอะแฟรมซึ่งเป็นตัวให้เสียงออกมาขอ HE90 นั้นมีความบางมากเป็นพิเศษไม่เหมือนกับหูฟังสติแตกรุ่นอื่นๆ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบมากๆ อย่างหนึ่งที่ทำให้หูฟังรุ่นนี้กลายเป็นตำนานของวงการหูฟังนี่ยังไม่รวมถึงจำนวนการผลิตที่มีทำออกมาในจำนวดจำกัดหรือเป็น Limited Edition เพียงแค่ไม่กี่ตัวในโลก




ความประทับใจแรก: เมื่อได้บรรจงเอาออกมาจากกล่องเพื่อสวมหัวลองฟังดูอยากจะบอกว่า"สมแล้วครับที่เป็นตำนานของหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์" เสียงของ HE90 ไม่เหมือนกับหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์หรือที่คุณคิมได้ตั้งชื่อเล่นๆ ไว้ว่าหูฟังสติแตกตัวไหนเลยเท่าที่ผมได้ลองฟังมา ไม่ว่าจะเป็น STAX SR Omega, Omega2 MkI, MkII, MkII.5 ถ้าจะให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเสียงที่ได้ยินไม่เหมือนฟังจากหูฟังแต่เหมือนฟังจากลำโพงแผ่นมากกว่า

ความเบาสบายในการสวมใส่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ HE90 ได้เปรียบหูสติแตกตัวอื่นอยู่บ้าง แต่ที่ทำให้รู้สึกประทับใจมากๆ เลยก็คือความโปร่งของเวทีเสียงที่กว้างออกไปด้านข้างมากๆ และความสะอาดของเสียงที่ออกมาให้ได้ยินที่สำคัญไม่ได้ใช้แรงในการขับมากนัก(ขับง่ายกว่า O2 เสียอีก) อีกอย่างที่ทึ่งก็คือบุคลิกเสียงของ HE90 นั้นเหมือนกับ HD800 มากๆ ครับ ผมเองโชคดีที่เคยลองฟัง HD800 จับคู่กับ WA22 Maxxed ของ Woo Audio มาก่อนซึ่งความเห็นส่วนตัวชุดนี้เป็นคอมโบที่ชอบมากที่สุดชุดหนึ่งจนมีความคิดอยู่ว่าถ้าคิดจะจัดชุดหูฟังไดนามิคก็คงจะเป็นชุดนี้แหละ พอได้มาฟัง HE90 กับ WES ซึ่งเป็นแอมป์สติแตกจากค่ายเดียวกันคือ Woo Audio ที่แอมป์ของเค้ามีบุคลิกเฉพาะคือเสียงคล้ายกันทุกรุ่นทำให้ความรู้สึกแรกที่ได้ฟัง HD800+WA22 กลับมาอีกครั้ง

ผมชอบ Combo HD800+WA22 Maxxed มากๆ และคิดว่าถ้ามีคนถามว่าจะมีแอมป์ตัวใดใหมาใช้กับ HD800 คำตอบที่ผมมีคงจะเป็นคำตอบนี้คำตอบเดียวเพราะชุดนี้ให้เสียงที่ผ่อนคลายฟังสบายโดยเฉพาะเพลงร้องนี่ได้อารมณ์จริงๆ พอได้มาฟัง HE90+WES Maxxed เท่านั้นความรู้สึกชอบคล้ายๆ กันกับที่เคยเกิดกับคอมโบ HD800 ได้กลับมาอีกทีในดีกรีที่เข้มข้นกว่าเพราะว่าคอมโบชุดหลังนี้ได้ให้อะไรมากกว่าชุดแรกมากๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากตัว DAC ที่ใช้ร่วมด้วย เพราะตอนที่ฟัง HD800+WA22 นั้นผมได้ใช้ BADA(berkley Audio Alpha Dac) เป็นต้นทางพอมาครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็น WEISS DAC202+ Antelope OCX Clock ซึ่งทำให้มีความลงตัวมากกว่า ดังนั้นถ้าใครมีคอมโบชุดนี้(HD800+WA22)อยู่ก็ขอให้รู้เลยครับว่าเสียงที่ออกมานั้นแนวเดียวกันกับ HE90+WES หรือไม่ถ้าใครมีแอมป์หลอดที่ให้เสียงอิ่มหนาเนียนและมีพลังสำรองเยอะๆ(คิดว่า minute 300B น่าจะเป็นคำตอบที่ดีมากๆ สำหรับ HD800 เช่นกันตามบุคลิกเสียงของแอมป์หลอดที่ใช้หลอดที่มีขนาดใหญ่ขับ) ถ้าเอามาใช้กับ HD800 ก็สามารถจะเติมเต็มในตรงนี้ได้เป็นอย่างดี




เสียงสูง: ตรงนี้เป็นอีกอย่างที่รู้สึกอึ้งเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งกริ๊งแรกจาก HE90 ครับ เพราะว่าผมเองไม่เคยได้ยินหูฟังตัวไหนที่ให้เสียงแหลมได้ละเอียดและละเมียดเท่ากับหูฟังตัวนี้เลย เรโซแนนซ์ความสั่นค้างของกระดิ่งที่กังวานต่อเนื่องและพริ้วไหวนี่สุดยอดมาก ผมเองคิดว่าแผ่นฟิลม์ที่นำมาทำไดอะแฟรมซึ่งบางมากๆ ทำให้ HE90 ให้เสียงแหลมได้ละเอียดกว่าหูฟังตัวอื่นๆ

ผมเองได้ทดสอบโดยใช้เพลงหลากหลายแนวทั้งเพลงตลาดที่บางเพลงอัดมาไม่ค่อยดีนักและก็เพลงที่ใช้ทดสอบเครื่องเสียงหลายๆ ชุดเพื่อจะดูว่า HE90 นี้ขี้ฟ้องหรือไม่ เท่าที่ผมได้ลองฟังอุปกรณ์มาหลายๆ ชิ้นถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนมีอาการขี้ฟ้องเสียงแรกที่จะสังเกตได้ง่ายที่สุดก็คือเสียงในย่านสูงๆ นั่นเองซึ่งก็เป็นไปตามคาด HE90 มีอาการขี้ฟ้องอยู่บ้างเหมือนกัน ที่บอกว่ามีอยู่บ้างก็เพราะว่าด้วยความละเอียดของเสียงในย่านสูงที่มีทำให้ความแข็งของเสียงแหลมจากเพลงที่อัดมาไม่ดีถูกเกลาลงไปด้วยส่วนหนึ่งแต่ยังไงก็ทำให้ฟังออกว่ามันแข็งไม่ได้พริ้วแบบซีดีหรือจากไฟล์เพลงที่ริปมาดีๆ




ความเป็นดนตรี มิติ บรรยากาศ เวทีเสียงและอื่นๆ : HE90 ให้ความเป็นดนตรี(ความเข้าใจส่วนตัวของผมก็คือเมื่อฟังแล้วสามารถจะซึมซับรับรู้อารมณ์ของท่วงทำนองของบทเพลงได้)ได้สูงมาก เมื่อเปิดฟังแล้วสามารถฟังไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีความรู้สึกอยากจะ skip หรือเปลี่ยนเพลงเลยแม้แต่น้อยแต่ว่าเหมาะสำหรับฟังแบบจริงจังมากกว่าฟังแบบผ่อนคลาย เสียงของ HE90 ค่อนข้างสมจริงมีความถูกต้องสูง(ไม่อยากจะใช้คำว่า flat เพราะว่าโดยทั่วไปเมื่อพูดถึง flat มักจะนึกถึงเสียงติดแห้งและออกแข็งหน่อยๆ กัน)ผมว่า HE90 เหมาะมากๆ ครับที่จะใช้ในสตูดิโอรับรองได้ว่าได้ยินเสียงไม่มีตกหล่นแม้แต่เศษเม็ดเพลง ตรงนี้หายากครับหูฟังที่ให้ความเที่ยงตรงค่อนข้างสูงและในขณะเดียวกันก็ทำให้อยากฟังต่อไปเรื่อยๆ เพราะเท่าที่เจอมานี่มักจะให้ได้ไม่ทางใดก็ทางนึงไปเลย

บรรยากาศของ HE90 ให้ออกมาได้ชัดมากครับฟังเพลงแสดงสดให้เสียงที่ออกมาสดจริงๆ ทั้งความก้องสะท้อนของฮอลล์หรือว่าจากผนังห้องอัด ที่เด่นกว่าหูตัวอื่นก็คือความสะอาดของเสียงและความสงัดของฉากหลังซึ่งเป็นตัวเสริมให้รับรู้บรรยากาศของเพลงได้เป็นอย่างดี ส่วนเวทีเสียงและมิตินั้นออกไปทางแนวระนาบได้ด้านกว้างมากกว่าทางด้านลึก ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าเวทีคล้ายๆ กับเป็นลูกหนำเลี๊ยบแต่ตำแหน่งของเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆ นั้นแม่นยำดีจริงๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากการใช้ Clock จากภายนอกมาต่อใช้ร่วมกับ DAC


มาถึงตรงนี้ขอแวะมาคุยเรื่อง Clock นิดนึงนะครับเพราะส่วนตัวเองไม่มีศรัทธากับอุปกรณ์ชนิดนี้เลยเพราะไม่คิดว่ามันจะมีผลอะไรมากมายเกี่ยวกับเสียง แต่พอได้เอา clock ในระดับกลางๆ มาลองใช้กับชุดที่ใช้ฟังเพลงประจำแล้วพบว่ามีผลพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะตัว clock เท่านั้นแม้แต่สายและชนิดของหัวที่ทำมาใช้ต่อกับสาย sync ระหว่าง clock กับ DAC ก็มีผล ผมเองก็เกือบตกม้าตายกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันคือช่วงแรกที่ได้ clock มาใช้ร่วมกับระบบผมทดลองเอาสายเงินที่ใช้เป็นสาย DIGITAL อยู่ที่บ้านมาเปลี่ยนหัวเป็น BNC โดยหาซื้อมาจากร้านที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการสื่อสารมาลอง ผลปรากฎว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้มกับเงินที่ได้จ่ายค่า clock เลยแม้แต่น้อยจึงตัดในซื้อสายที่ค่อนข้างใช้ได้คือสาย DIGITAL ของ Oyaide กับหัว BNC ยี่ห้อเดียวกันมาเข้าคู่ผลปรากฎว่า clock ตัวเดิมพึ่งมาแผลงฤทธิ์เอาตอนนี้นี่เอง(ขอไม่พูดถึงเรื่องทางเทคนิคเกี่ยวกับสัญญาณนาฬิกานะครับเหตุเพราะว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ฮ่า..)

แม้ว่าโดยทฤษฎีว่ากันว่าถ้ามี world clcok ใช้อยู่ใน DAC อยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องหา clock มาเพิ่มกับระบบแต่พอได้ลองกับตัวเองพบว่ามันมีผลเหมือนกันและไม่ใช่อุปทานด้วยเพราะว่าให้คนอื่นๆ มาลองฟังเทียบกันระหว่างใช้ clock กับไม่ใช่ clock ก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ที่เปลี่ยนแปลงไปเท่าที่ผมเองสังเกตได้ก็คือเมื่อตอนที่ใช้ clock จากภายนอกตำแหน่งของเครื่องดนตรีต่างๆ จะนิ่งขึ้น มิติหน้าหลังชัดเจน มีความนวลของขอบเสียงเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า clock ภายนอกไม่ใช่ส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องหามาใช้แต่ถ้าเรามีความพึงพอใจกับอุปกรณ์ของเราอยู่แล้วและมีคิดว่าอยากจะเติมอะไรเพิ่มเติมให้กับมัน clock จากภายนอกเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับการนี้

มิติหน้าหลังของ HE90 ฟังออกได้ไม่ยากโดยไม่ต้องเพ่งเลยแม้แต่น้อย แม้จะให้รับรู้ความลึกและระดับระยะระหว่างเครื่องดนตรีชิ้นหน้าและหลังไม่เท่ากับลำโพงแผ่นที่ผมมี( Maggie 1.6QR) แต่ถือว่าทำได้ดีมากๆ เมื่อเทียบกับหูฟังด้วยกัน ตัว HD800 และหูฟังตระกูลโอทูทุกซีรี่ย์ที่ทำได้ใกล้เคียงแต่ยังไงก็ตาม HE90 เหนือกว่าอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด

เวทีของ HE90 ค่อนข้างจะล้ำมาด้านหน้าไม่ถอยไปด้านหลังเหมือนตระกูลโอทูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกรุกเข้ามาจนอึดอัดนักเพราะความโปร่งของเสียงที่เข้ามาชดเชย ด้วยความลำ้หน้าของเวทีแบบนี้ถ้าใครที่เป็นแฟนเพลงแจ๊สหรือว่าคลาสสิคัลน่าจะชอบประกอบกับไดนามิคที่ดีทำให้ HE90 ฟังเพลงแจ๊สได้อารมณ์จริงๆ ฟังเพลงคลาสสิคหรือว่าสกอร์ประกอบภาพยนตร์ก็เยี่ยม แต่ถ้าเอามาฟังเพลงอคูสติคที่มีเครื่องดนตรีน้อยๆ ชิ้นในแนวที่ฟังสบายๆ เอาเพลินๆ แบบบอสซ่าหรือเพลงป๊อบตลาดๆ ทั่วไปไม่ค่อยดีนัก




เสียงกลาง : เสียงกลางของ HE90 ไม่หวานเลยแม้แต่น้อยครับแต่ว่ามีความน่าฟังอยู่ในที หลายๆ ท่านอาจจะงงว่า "เอ๊ะ ยังไง หากว่ากลางไม่หวานแล้วมันจะน่าฟังตรงไหน" ที่ว่าน่าฟังก็เพราะว่าแม้เสียกลางจะไม่หวานแต่ก็มีความสมจริงอยู่ ตรงนี้ต้องการเพลงที่อัดได้ค่อนข้างดีมาเป็นตัวเสริมเพราะว่าด้วยความนวลตรงขอบเสียงกลางที่ HE90 นำเสนอนั้นจะแสดงฤทธิ์ออกมาได้เมื่อเพลงที่ใช้ฟังอัดมาค่อนข้างสมบูรณ์และพิถึพิถัน เสียงนักร้องออดอ้อนหรือว่าแผดขึ้นมาตอนโหนเสียงเป็นยังไงนี่สมจริงดีมากครับเนื้อเสียงหนาๆ ของนักร้องผิวสีก็พอดิบพอดีไม่ล้นเกิน โดยเฉพาะเสียงเครื่องเป่านี่สุดยอดครับตรงนี้ O2 สู้ไม่ได้เลย อีกอย่างก็ความฝืดของเครื่องสายจากคันสีนี่มันบาดเข้าไปในอกเลยตอนฟังเสียงเชลโลนี่ทำเอาเศร้าได้เลยทีเดียว




เสียงต่ำ : HE90 ให้ไดนามิคและรายละเอียดของเสียงต่ำได้ดีมากครับ ตำแหน่งและจุดกำเนิดของเครื่องดนตรีที่ให้เสียงต่ำแม่นยำ จังหวะของเพลงที่ดำเนินก็เป๊ะมากๆ ไม่มีหนืดเพลงที่ควรจะเร็วก็เร็วจะช้าก็ช้า แม้ว่าปริมาณของเสียงต่ำกลางๆ ขึ้นมาสูงจะไม่มากนักทำให้ขาด impact หรือแรงปะทะไปบ้าง(ตรงนี้เป็นจุดเด่นน้อยของแผ่นไดอะแฟรมบางๆ แต่ผมเองคิดว่าน่าจะชดเชยได้ด้วยพื้นที่หน้าตัดที่เพิ่มขึ้น) ความต่อเนื่องของเสียงต่ำขึ้นไปหากลางถือว่าทำได้ดีเพราะแม้ว่า impact จะน้อยแต่ก็ไม่มีความรู้สึกเลยว่าขาดแรงปะทะ





เทียบกับหูสติแตกตระกูล O2 อีกสองรุ่น : ถ้าใครที่ยังไม่ได้ลองฟังหูฟังทั้งสองตระกูลนี้ในงานที่ผ่านมาอยากจะสรุปให้ได้อ่านกันสั้นว่า เสียงของทั้งคู่ไปกันคนละทางเลยจริงๆ ไม่สามารถที่จะนำมาเทียบกันได้แต่ว่าไหนๆ ก็มีอยู่ในมือก็คงต้องลองเอามาเทียบกันดูไม่อย่างนั้นข้อมูลเกี่ยวเนื่องก็จะไม่ครบทำให้ประกอบการตัดสินใจได้ยาก จริงๆ ก็ไม่ยากหรอกเหตุก็เพราะว่า HE90 คงจะหาซื้อกันได้ยากหรือจะพูดว่าหาซื้อไม่ได้ก็คงจะไม่ผิด(เฉพาะคนที่มีงบเกินพอ)

บุคลิกของ HE90 ออกโทนสว่าง สด และให้เสียงที่เร็ว ส่วนหูฟังในตระกูล O2 ค่อนข้างจะติดหนืด ออกโทนอุ่น และติดมืดอยู่พอสมควรซึ่งก็ต่างกันไปตามรุ่นที่ออกมาจำหน่าย

SR Omega เสียงออกอุ่นน้อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับ Omega รุ่นอื่นๆ รุ่นนี้ใกล้เคียงกับ HE90 มากครับแต่ว่ายังไงก็สว่างและโปร่งไม่เท่า(จากความรู้สึก) และให้ความถูกต้องของเสียงได้ค่อนข้างสูง

Omega 2 MkI สำหรับรุ่นนี้คล้ายๆ กับ SR Omega แต่ออกอุ่นมากกว่า อีกอย่างที่เป็นจุดที่เด่นน้อยหน่อยของ O2 MkI นี้ก็คือเวทีแคบนิดนึงแต่มีดีในทางด้านลึก layer หน้าหลังทำได้ค่อนข้างดี เสียงค่อนข้างจะออกมาในโทนหูฟังมอนิเตอร์คือไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่ง ฟังได้อารมณ์สบายๆ เจือด้วยความถูกต้องของเสียงที่มีให้ค่อนข้างมาก

Omega 2 MkII คล้ายๆ กับ O2 MkI เพียงแต่ว่าเพิ่มความถี่ต่ำกลางและสูงมาให้ดังนั้นเมื่อฟัง O2 MkII จะรู้สึกว่าฟังได้สนุกกว่า เสียงกลางมีความน่าฟังมากกว่า แต่ว่าเสียงต่ำกลางค่อนข้างจะกระพือทำให้เสียงติดแกว่งๆ จนมีการคิดค้นสูตรโมดิฟายให้เสียงดีขึ้นในวงการนักเล่นหูชาวตะวันตกโดยการอุดช่องว่างระหว่างสายนำสัญญาณกับแผ่นไอดะแฟรมแบะปรับระดับสปริงรองใต้ฟองน้ำให้สูงขึ้น ซึ่งก็ทำให้เสียงที่ได้หลังการ mod ออกมาน่าฟังใช้ได้เลยทีเดียว

Omega 2 MkII.5 ที่เรียกว่า MkII.5 ก็เพราะว่ามีการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้ามาเล็กน้อย(ไม่ทราบว่าปรับปรุงอะไรมาบ้างรบกวนท่านผู้รู้มาเพิ่มเติมด้วยจะขอบคุณมากๆ ครับ) เท่าที่ลองเสียงยังน่าฟังอยู่คล้ายๆ กับรุ่นก่อนหน้าแต่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือความแกว่งของเสียงต่ำและชิ้นดนตรีมีน้อยลงได้อารมณ์ค่อนมาทางรุ่น MkI อยู่นิดๆ ถ้าจะฟังเอาสบายๆ รุ่นนี้ดีมากๆ ครับส่วนตัวผมเองถ้าไม่ติดว่ามี MkI อยู่แล้วนี่คงจะไม่พลาดที่จะสอยรุ่นนี้มาเก็บไว้ฟังเพลงแน่นอน




สรุป : ด้วยระยะเวลาประมาณหนึ่งวันที่ได้มีโอกาสได้ฟังหูฟังในฝันของผมแบบค่อนข้างเต็มที่ก็ขอบอกว่า "สมแล้วครับที่เป็นสุดยอดหูฟังในตำนาน" เพราะไม่ว่าจะพิจารณาในด้านใดก็แทบจะหาข้อติได้ไม่เจอยกเว้นราคาที่สุดขีดมากๆ อีกอย่างก็คือเวทีที่ค่อนข้างล้ำมาข้างหน้าอยู่บ้างทำให้เวลาที่ฟังในระยะเวลานานๆ ไม่ค่อยดีนัก ตรงนี้อาจจะพอดีเมื่อใช้กับแอมป์ที่มีการปรับแก้ตรงส่วนนี้มาแต่ด้วยแอมป์คู่บุญ HEV90 ที่ใช้หลอดเล็กหลายๆ หลอดมาขับผมว่าไม่น่าจะช่วยให้เวทีถอยหลังไปได้ แม้ว่าแอมป์ WES และชุดหลอดที่ติดตั้ง(Tele EL34+Mullard 6SL7)ที่ใช้ในการฟังครั้งนี้จะให้เสียงที่ค่อนข้างจะผ่อนคลายอยู่พอสมควรแต่ก็ยังรู้สึกล้าเมื่อฟังผ่านชั่วโมงที่สองไปไม่เหมือนกับหูฟังตระกูล O2 ก็หวังว่า SR 009 ที่กำลังจะออกมาจะให้เสียงที่ใกล้เคียงกับ HE90 ได้

สำหรับใครที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบแน่นอน HE90 ให้ท่านไม่ได้แน่แต่สำหรับตัวผมถือว่าหูฟังรุ่นนี้ทำได้ดีมากใกล้เคียงมากๆ ดังนั้นราคาค่าตัวของมันย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ก็ไม่น่าจะขึ้นไปสูงถึงขนาดนี้(คหสต.)

Opheus เป็นหูฟังที่ให้เสียงใกล้เคียงกับการฟังจากลำโพงแผ่นมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ฟังมา ตรงนี้ผมเองไม่ได้อนุมานแต่ว่าได้ลองฟังเทียบกันจริงๆ ผ่านต้นทางและสายสัญญาณชุดเดียวกันต่างกันตรงแอมป์และลำโพงปลายทางเท่านั้น ซึ่งถ้าใครคิดจะออกแบบหูฟังที่ให้เสียงได้แบบนี้หรือใกล้เคียงกับมันผมว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีหูฟังตัวไหนเข้ามาเป็นตำนานแทน HE90 ในอนาคตแต่ว่าอย่างไรก็ตาม"เมื่อได้เป็นตำนานแล้วก็ยังคงจะเป็นตำนานต่อไป" แม้จะมีตำนานใหม่เกิดขึ้นแต่ของใหม่ยังไงคุณค่าก็สู้ของเก่าที่ทำไว้ดีแล้วคงจะยากยกเว้นจะเอาของเดิมมาปัดฝุ่นใหม่โดยจับหลักการให้ได้แล้วใช้เทคโนโลยีปรับปรุงเพิ่มเติมคุณภาพเข้าไป

ทำให้ผมนึกถึงระบบการศึกษาของบ้านเรายุคก่อนที่มองคุณค่าของความเป็นครูและให้ความสำคัญกับตรงนั้นค่อนข้างมากจนเป็นอันรู้กันว่าสุดของของคนเก่งต้องไปเป็นครู แต่พอมาช่วงหลังๆ มีการลดความสำคัญตรงนี้ลงคล้ายๆ ว่าต้นทุนของผู้ที่จะมาเป็นครูถูกลดคุณค่ากลายมาเป็นวิชาชีพชั้นสองแทนจนสุดท้ายกลับกลายมาเป็นปัญหาให้กับระบบการศึกษาของไทยไปในที่สุด เพราะ"หาใครมาเป็นบุคคลต้นแบบให้กับคนในบ้านเมืองไม่ได้" ตรงนี้คล้ายๆ กับการออกแบบหูฟังเหมือนกันที่ช่วงหลังมาลดต้นทุนการผลิตลงโดยมองข้ามคุณภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตลงไปทำให้ของที่น่าจะใช้เป็นมาตรฐานได้กลับเสียคุณค่ากลายเป็นของบ้านๆ ไปเสียนี่


ขอบคุณที่อดทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ ขอบคุณพี่เกียรติชัยที่เมตตาเอาหูให้ผมได้มาลองฟัง ขอขอบคุณคุณคิมที่นำผมเข้ามาสู้เส้นทางสติแตก(แต่เจือด้วยความสุข)เส้นนี้พร้อมทั้งช่วยประสานงานในเรื่องต่างๆ ให้ ขอบคุณคุณเจ็ทที่เอาหู MkII.5 มาให้ลอง ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการฟังเพลงครับ

My Sennheiser HE90 Orpheus impression


First of all I'd like to say that I've been dreaming to listen to the legendary "Orpheus" since I'm begin to fall for headphones few years back, seem to me everyone I knew always mentioned these cans as the best electrostatics cans ever made, so once I have my chance from the HE90's owner khun kiertijai (appreciated for your kindness) I took my opportunities to try HE90 along with my faithfully O2 MkI and the lastest version of STAX O2 MkII from Thailand STAX's distributor, so here comes my brief impression on these three statics headphone in comparison.

System set up:
Cans: Sennheiser HE90, STAX O2 MkI, MkII.5
Sources: iMac(iTunes with Amarra 2.1.1), Sttello CDT100
DAC: WEISS DAC202
Clock: Antelope Isochrone OCX
Amp: Fully upgraded Woo Audio WES with telefunken EL34 and Mullard 6sl7, McIntosh MC275
SPK: Maggie 1.6QR


Lets begin with limited one, Sennheiser HE90 has transparency, neutral, precisely PRaT and never heard any cans has beautifully highs as HE90 before, no wonder why everybody praised about it.

To me HE90 bring the musics came to live, felt like listen to nice Electrostatics or Ribbon Speakers instead of headphone. The headstage is wider than any statics or dynamics I had listened including the good headstage cans like sennheiser HD800, HE90 also shares the same sonically character with HD800 as well(listening session with Woo Audio WA22 fully upgraded), as far as I can say it's definitely not the cans for relaxing moment alone with yourself after work, it's neutrality and accurate frequency response drew my attentions during listening session so I guessed among other purposes, to use the cans in studio would be the main designated reason.


For now STAX O2 MkI is the only statics I own, an O2 serves me well daily for hours with it's recess round shape headstage, warmer sounding and nice depth presenting, I wouldn't mind it's narrow headstage because an electrostatics transparency doesn't give me any pressure around my head as some dynamic closed-cans does. MkI has slightly fuller mids and upper-lows than HE90 but couldn't compete on the upper-ends and layering.

I used to own STAX O2 MkII before sold it out right after I've got my MkI and that doesn't means I didn't like it, I loved it, O2 MkII is a good electrostatics cans, promisingly musical with punchy bass unlike others statics, the only flaw I had with it is the bloating mid-lows which could be fix by Spritzer's mod, but stills I preferred MkI sounding. When the STAX's distributor here in Thailand Jet Live Audio asked me "would u like give the new O2 MkII( some called it O2.5) a try?" I accepted, after few hours I quite satisfied with it I'd say an O2.5 came close to MkI on neutrality but still fun to listen, the mid-lows weak point has been fixed by STAX's new diaphragm.



My conclusions: According to the Greek mythology even though "Orpheus" has failed to bring his beloved Eurydice back from the death but the Sennheiser "Orpheus" could bring my music collection back to live. Orpheus is not the cans to die for but as a head-fier you have to listen to it before you die, the HE 90 deserved it's legendary.

Comparing to an O2s with my woo WES, Orpheus is easier to drive, O2s has mellowing mids, punchy slammer lows but HE90's thinner diaphragm excel O2s on the upper, wider stage and transparencies, of course an O2s are transparent but it's like covered your camera's lens with soft filter they will lost some resolutions but give you warmer feeling instead.

SR Omega is the most neutral STAX I had listen long time ago, O2 MkI is the most neutral Omega2 and for now O2.5 is the one that I like, hope an upcoming SR009 would give me more.

So which one to choose? you'd asked, I'd say it's depends on your taste there is no right or wrong about it, to me if "Money is not a problem" HE90 Orpheus will be my choice, SR009 could be better but yeh.. what do I know.



Have fun listening guys, thank you for reading this far.

ผู้ติดตาม