วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อต้องทำห้องดูหนังแบบบ้านๆ (นอก)

สิ่งที่สำคัญมากๆ ซึ่งไม่อาจจะขาดได้สำหรับโฮมเธียเตอร์ก็คือห้องนั่นเองเพราะถ้าปราศจากห้องดูหนังก็คงต้องเอาชุดลำโพงทีวีและ AVR ไปเปิดฟังกลางแจ้งเป็นหนังกลางแปลงส่วนตัวซึ่งก็คงจะผิดวัตถุประสงค์ที่ลงทุนซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาเพื่อมอบความสุข"ภายใน"บ้านให้กับเรา แม้ว่าระบบที่ใช้จะเป็นเพียงแค่ Dolby Prologic แต่ยังไงก็ตามห้องที่ใช้ก็คงต้องให้ความสำคัญกับมันเช่นเดียวกันซึ่งเมื่อมองไปรอบๆ บ้านแล้วก็เหลือแต่เพียงโรงรถเก่าที่นานๆ ใช้งานทีเท่านั้นที่พอจะเอามาทำห้องดูหนังฟังเพลงได้เมื่อตกลงปลงใจแล้วก็ลงทุนเอ่ยปากขอแม่ไปจนได้พื้นที่ทำห้องมาในที่สุด

ในการทำห้องดูหนังนั้นพื้นของห้องสำคัญมากๆ เพราะถ้าหากพื้นห้องอ่อนตัวแล้วขณะที่ซับวูฟเฟอร์ทำงานก็จะเกิดอาการเบสผิดปกติก็คือเสียงความถี่ต่ำจะหายบวมเบลอขาดแรงปะทะดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องเทพื้นใหม่ให้กับเจ้าโรงรถที่พื้นไม่ค่อยแน่นหนานักนี้ ขนาดคร่าวๆ ของโรงรถนี้อยู่ที่สามคูณห้าเมตรโดยประมาณแล้วก็สองเมตรครึ่งซึ่งได้สัดส่วนที่ค่อนข้างจะดีพอสมควรแต่จะให้เพอร์เฟ็คคงต้องทำห้องฟังเป็นรูปคางหมูจะเยี่ยมมากๆ เนื่องจากข้อมูลในหนังสือเครื่องเสียงที่ท่านผู้รู้หลายๆ ท่านแนะนำไว้ตรงกันก็คือสัดส่วนของห้องฟังที่ดีก็คือขนาดของด้านกว้างยาวและสูงต้องไม่สามารถหารกันลงตัวได้ พอช่างเข้ามาเทพื้นก็ได้เจอสิ่งที่นักเล่นเครื่องเสียงมักจะเจออยู่เป็นปกติก็คือความเห็นของช่างที่มักจะบอกว่าทำไปทำไมแบบนี้มันเกินความจำเป็นซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปแบบที่เค้ามีการแนะนำสั่งสอนต่อๆ กันมาหรือเปล่าเพราะมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้เมื่อไหร่ที่ต้องปรับปรุงห้องฟังไม่ว่าจะเป็นทางด้านก่อสร้างหรือว่าระบบไฟต่างๆ ก็จะเจอความเห็นแบบนี้อยู่เป็นประจำและมักจะพูดเหมือนกันว่า "สเป็คของที่บอกนี้มันเกินความจำเป็น" ซึ่งในฐานะนักเล่นที่ดีก็ต้องยืนยันกับพวกเขาเหล่านั้นไปว่า "ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะถ้าเซ้าซี้เดี๋ยวหาคนอื่นมาทำก็ได้"

หลังจากเทพื้นเสร็จสิ่งที่ต้องมาพิจารณาต่อก็คือผนังของห้องซึ่งจากที่ได้เรียนรู้อัตราส่วนซับและสะท้อนเสียงของห้องฟังต้องอยู่ที่ประมาณ 60-40 ถ้าเป็นห้องดูหนังต้อง 70-30 โดยตัวเลขที่มากกว่าก็คืออัตราส่วนของอุปกรณ์ซับเสียง เนื่องจากเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ทำไปแบบบ้านๆ (นอก)โชคดีอยู่อย่างของการที่อยู่บ้านนอกก็คือพอจะหาไม้มาใช้บุผนังห้องได้ในราคาไม่แพงซึ่งเรื่องกรุฝาตีโครงคร่าวเพื่อกันเสียงคงไม่ต้องพูดกันก็เพราะว่าเบี้ยที่มีมันน้อยก็เอาไม้ตีเข้ากับผนังปูนกันดาดๆ เลยอาศัยหลักการที่พอมีในหัวอยู่ว่าระดับและขนาดของไม้ต้องสูงต่ำไม่เท่ากันเพื่อใช้เป็น diffusor สะท้อนความถี่แบบไม่เป็นระเบียบ โดยเฉพาะตำแหน่งที่อยู่ด้านข้างเยื้องมาข้างหน้าลำโพงและตรงกลางระหว่างลำโพงซ้ายขวา ทีนี้ปัญหาที่เจอหลังจากห้องเสร็จก็คือว่าทีวีที่ต้องตั้งอยู่กลางห้องทางด้านหน้าซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานของห้องดูหนังเป็นตัวสะท้อนเสียงเป็นอย่างดีและจะส่งผลให้มิติตรงกลางในขณะฟังเพลงเกิดปัญหาเสียงพุ่งออกมามากเกินไปและทำให้มิติทางด้านลึกไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ก็เลยต้องเอาไม้มาตีเป็น diffusor แบบบ้านๆ อีกอันเอาไว้บังทีวีขณะเปลี่ยนมาฟังเพลงซึ่งก็ทุลักทุเลพอสมควรเนื่องจากว่าตามรูปแบบมาตรฐานแล้วอุปกรณ์ต่างๆ จะต้องวางอยู่ด้านหน้ากับพื้นบนกะบะทรายที่ทำเองโดยอาศัยเศษหินอ่อนมารองฐานของอุปกรณ์ต่างๆ สี่มุมเนื่องจากไม่มีเงินมากพอจะซื้อหินอ่อนหรือแกรนิตแผ่นใหญ่มาวางลงบนทรายในกะบะ ตัวแขวนสายรวมไปถึง tiptoe ก็อาศัยช่างในพื้นที่ทำให้ในราคาคนกันเองซึ่งผลที่ได้รับก็ออกมาในทางที่ดีแต่พอเบี้ยเริ่มมีมากขึ้นเมื่อเอาของดีๆ ที่เค้าขายกันที่กรุงเทพมาเปลี่ยนแทนพบว่าอุปกรณ์ที่เค้าผ่านการวิจัยและทดลองมาแล้วให้เสียงที่ดีกว่ามากแต่อาจจะได้ความภูมิใจน้อยกว่าอุปกรณ์ทำเอง

ย้อนกลับมาในส่วนของพื้นกัน ทีแรกได้ลองเอาไม้มาตีขึ้นเป็นโครงแล้ววางแผ่นไม้ลงไปปรากฎว่าเสียงเบสมีปัญหาจึงเอาออกไปแล้วใช้พรมปูทับลงไปบนพื้นปูนแทนซึ่งก็ให้ผลที่ดีกว่าถ้ามีเบี้ยมากกว่านั้นก็คงจะเอาปาเก้มาปูแต่ก็ว่ากันไปพอสมควรกับเบี้ยที่มีอยู่ในมือที่เรียกได้ว่าใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอดีมีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้นไม่ยอมเป็นหนี้เด็ดขาด เมื่อพื้นลงตัวทีนี้ก็มาถึงผ้าม่านที่ต้องติดตั้งอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของห้องโดยที่เลือกให้สามารถเลื่อนปิดเปิดได้แม้ว่าจะไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่เพียงบานเดียวด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับเสียงล้วนๆ ตรงที่ว่าถ้าหากเสียงทึบเนื่องจากวัสดุซับเสียงมีมากเกินไปก็จะได้อาศัยเปิดเพิ่มอัตราส่วน live หรือสะท้อนของห้องให้เพิ่มมากขึ้นได้ซึ่งผ้าม่านแบบนี้ก็ตอบสนองความต้องการของผมได้เป็นอย่างดีทำให้แอบช่ืนใจลึกๆ ว่าหลักกูที่อิงกับหลักการก็พอใช้ได้เหมือนกันเนาะ

พอพื้นเสร็็จผนังเสร็จพรมปูผ้าม่านพร้อมก็คงถึงเวลาที่ต้องเอาลำโพงเข้ามาทดสอบระบบกันซึ่งก็พบว่าห้องเองก็ต้องการเวลา burn-in เหมือนกันพอใช้งานไปซักพักเสียงก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นซึ่งให้เดาก็คงจะเกี่ยวข้องกับการให้ตัวของปูนและความอยู่ตัวของแผ่นไม้ที่เข้าลิ้นกันอยู่ซึ่งผ่านไปประมาณสองสามอาทิตย์ก็เริ่มจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ถือว่าการทำห้องฟังแบบบ้านๆ นี้ได้เสร็จสมบูรณ์แล้วซึ่งประสบการณ์ในครั้งนี้ก็ได้ให้อะไรหลายๆ อย่างกับผมซึ่งถือว่าเป็นคุณค่าของการที่ได้วางแผนและได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ทำให้รู้สึกสนุกมีความสุขระคนกับความภูมิใจไปด้วยในขณะเดียวกัน..

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นกับโฮมเธียเตอร์

ย้อนหลังกลับไปเกือบๆ ยี่สิบปีก่อนด้วยความคันในหัวใจอยากจะมีโฮมเธียเตอร์เป็นของตัวเองซักชุดนึงก็ดั้นค้นหาข้อมูลและฟังเปรียบเทียบ AVR ในระดับเริ่มต้นหลายๆ ยี่ห้อ(จะว่าไปโดยงบที่มีก็แค่สามสี่ยี่ห้อเท่านั้นที่พอจะเอื้อมถึง)สุดท้ายก็ได้  AVR DENON มาตัวนึงจากงานแสดงเครื่องเสียงที่ซื้อก็เพราะว่ามหาจักรเค้าลดราคารุ่นนี้ค่อนข้างเยอะถ้าจำไม่ผิดกำลังขับ 70W ต่อ 5Ch ซึ่งระบบเสียงในสมัยนั้นก็มีเพียงแค่ Dolby Prologic ที่ตำแหน่งช่องสัญญาณด้านหลังเป็นโมโนยกเว้น AVR รุ่นใหญ่ๆ ที่ได้ประทับตรา THX ที่จะมีโหมดเสียง THX Surround ที่ทำการหน่วงและหลอกให้ฟังแล้วคล้ายๆ กับเป็นช่องสัญญาณสเตอรีโอซึ่งในยุคโน้นสมัยโน้น Processor Surround รุ่นใหญ่ของยี่ห้อเทพทั้งหลายให้เสียงออกมาน่าประทับใจมากๆ ในระดับนึงเลยทีเดียวแต่เราเองเนื่องจากเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ใช้ DENON ลดราคาไปก่อนก็แล้วกัน

AVR ในระดับเริ่มต้นในสมัยโน้นก็หนีไม่พ้น YAMAHA, Pioneer, DENON ที่เข้ามาตีตลาดระดับล่างขึ้นไปซึ่งก็มีบุคลิกเสียงแตกต่างกันไปพอสมควรจนกระทั่งทุกวันนี้เท่าที่ได้ลองฟังดูก็พบว่าแต่ละยี่ห้อก็รักษาจุดเด่นของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดียกเว้น DENON ที่รู้สึกว่าจะหายไปจากตลาดโฮมฯ ของบ้านเราไปแล้ว สรุปคร่าวๆ จากที่เคยได้ฟัง YAMAHA ให้เสียงโอบล้อมดีมาก เสียงใสๆ เนื้อเสียงติดบางพอสมควรในรุ่นเริ่มต้นถ้าจัดเข้าชุดกับลำโพงของเค้าจะดี  Pioneer เนื้อเสียงแน่นหนัก ดูหนังสนุกแต่ฟังเพลงไม่ค่อยดีติดแข็งๆ Marantz ฟังเพลงเข้าท่าเนื้อเสียงลื่นไหลดูหนังก็เข้าขั้นดีติดตรงที่ออกจะเรียบร้อยไปนิดแต่ถ้าเอามาใช้งานกึ่งๆ ดูหนังฟังเพลง 50/50 ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมาก

หลังจากได้ AVR ตัวแรกมาแล้วก็มาถึงในส่วนของลำโพงซึ่งก็ได้อานิสงส์หลังจากไปตะลอนทำงานมาหนึ่งคู่คือ BOSE 301 SeriesIII ซึ่งผมว่าเอามาดูหนังค่อนข้างดีทีเดียวเนื่องจากเป็นลำโพง Direct Reflecting ที่ต้องอาศัยเสียงสะท้อนผนังด้านข้างและด้านหลังทำให้แม้ว่าจะมีลำโพงเพียงคู่เดียวก็ให้สนามเสียงที่โอบล้อมตัวเราได้โดยอาศัยเทคโนโลยีแบบนี้ของเค้าถ้าใครเอาเพลงที่อัดมาแบบแนวๆ เช่นเพลงของ Deep Forest ก็จะได้เสียงรอบทิศจากลำโพงเพียงคู่เดียวแต่ก็ต้องอาศัยตำแหน่งวางช่วยด้วยคือต้องให้ช่วงว่างด้านข้างกับด้านหลังระหว่างลำโพงกับผนังมากกว่าการตั้งลำโพงปกติหน่อยนึงถ้าเจอห้องฟังเล็กลำโพงแบบนี้แทบจะหมดราคาไปเลยก็ว่าได้

มาถึงตอนนี้ด้วยความที่ว่าไม่มีคนแนะนำอะไรอาศัยประสบการณ์แบบเด็กบ้านนอกที่ต้องขอหยิบยืมลำโพงจากพี่ๆ เพื่อนๆ มาลองก็พบว่าในรูปแบบของการดูหนัง Multi CH ลำโพงยี่ห้อเดียวกันเมื่อนำมาเข้าชุดจะทำให้ชุดดูหนังได้รีดศักยภาพของมันออกมาได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรมากมายกับมัน ส่งผลให้ความต่อเนื่องของสนามเสียงมีความกลมกลืนกันแม้จะเพียงเพียงแค่ Dolby Prologic โดยมี Video Hifi ในระบบ Stereo ที่ต้องอาศัยซื้อม้วนเทปจากร้านแมงป่องหรือของ CVD เป็นแหล่งโปรแกรมมาเปิดก็ตามทีแต่เพียงเท่านี้ก็ให้ความสุขกับผมได้อย่างมากมาย จะว่าไปสิ่งที่ทำให้ผมอยากได้โฮมเธียเตอร์ก็เพราะได้ไปลองฟังระบบ Laserdisc ที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าใกล้ๆ บ้านเปิดโชว์หนังเรื่อง TopGun เป็นตัวจุดประกายเท่านั้นซึ่งผมคิดว่ามนุษย์เงินเดือนคนชั้นกลางทั่วไปก็คงจะเริ่มต้นแบบนี้เป็นจำนวนไม่น้อยแล้วก็ค่อยๆ ขยับขยายเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่ก็เลิกเล่นเปลี่ยนแนวไปทำอย่างอื่นก็คิดว่าคงมีจำนวนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

การใช้ม้วนวิดีโอเป็นแหล่งโปรแกรมก็ช่วยเปิดประสบการณ์ของหนังที่ให้เสียงออกมาในรูปแบบ stereo แม้ว่าจะเสียอารมณ์กับสัญญาณรบกวนทางด้านภาพและเสียงตามคุณภาพของม้วนเทปอยู่บ้างแต่ด้วยความตื่นตาตื่นใจทำให้มองข้ามข้อด้อยจากหนังที่อัดมาจาก Laserdisc เหล่านี้ไปได้แต่ว่าความคันไม่เคยปราณีใครเมื่อเริ่มต้นเข้ามาในวังวนแล้วก็จะถูกมันดูดเข้าไปในส่วนลึกๆ ของมันไปเร่ือยๆ ทางเลือกก็คงมีอยู่แค่สองสามทางก็คือหนึ่งตามกระแสของมันไป สองสู้กับมัน สามเลิกยุ่งเกี่ยวกับมันแล้วหากิจกรรมอย่างอื่นทำแทน ส่วนตัวของผมเป็นประเภทแรกคือถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็เสียเงินมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไว้ค่อยมาแชร์ประสบการณ์อันมีคุณค่าที่ได้จากวังวนนี้อีกทีนึง สำหรับวันนี้คงต้องจบแต่เพียงเท่านี้เพราะง่วงมากจริงๆ

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

กว่าจะว่าง..

ในช่วงเวลาชีวิตของคนเราก็คงจะมีหลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปมีขึ้นมีลงมีสุขมีทุกข์มีว่างไม่ว่างก็ตามแต่จังหวะที่ชีวิตจะจัดมาให้แต่ละคนซึ่งก็ให้อะไรกับเราในหลากหลายแง่มุมอยู่ที่เราเองว่าจะเลือกชื่นชมหรือก่นด่าก็ว่ากันตามสะดวก จะว่าไปการพิมพ์บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวลงในblogเพื่อเตือนความจำเป็นสิ่งที่ตัวผมเองคิดว่าน่าจะทำให้ได้ดีกว่าดีบ่อยกว่านี้และต่อเนื่องมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเพราะมีอะไรเข้ามาขวางไว้ซะทุกทีไป การแก้ตัวไม่ใช่สิ่งที่ดีนักการแก้ไขนี่สิคือสิ่งที่ควรทำจากนี้ไปก็หวังว่าคงจะมีเวลาและโอกาสมาพิมพ์ให้บ่อยกว่าเดิมเพื่อเก็บอะไรไว้ให้ตัวเองอ่านในภายหลังหรือเผื่อว่ามีใครที่คิดว่าพอจะเอาอะไรไปใช้ประโยชน์ได้บ้างก็คงจะดีไม่น้อยแต่คิดว่าเนื้อหาสาระที่มีก็ดาดๆ ไม่มีอะไรพิเศษแต่การที่มีความหวังอยู่บ้างก็ทำให้ชีวิตนี้สดใสและน่ารื่นรมย์กว่าการไร้ซึ่งความหวัง จะว่าไปเวลาที่จะได้มาฟังเพลงจากหูฟังหรือจากลำโพงในช่วงหลังๆ มานี้ลดน้อยถอยลงไปกว่าเดิมมากมายอาจจะถึงจุดอิ่มตัวก็เป็นได้ อีกอย่างพอมาสนใจกับการจัดชุดดูหนังแบบค่อนข้างเอาจริงเอาจังก็ทำให้อารมณ์ในการฟังเพลงระเหิดไปจากใจไปได้พอสมควรเลยทีเดียว

การดูหนังหรือว่าฟังเพลงเป็นสันทนาการที่ควรจะมอบความสุขให้กับเราๆ ได้ดีแต่พอคลุกอยู่กับมันอยู่พักใหญ่การพักผ่อนกับสิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นภาระที่จะต้องดูแลจัดหาเครื่องเคราเครื่องเคียงไม้ประดับที่นำเข้ามาเพื่อแต่งเติมเสียงให้กับอุปกรณ์ที่มีจนบางครั้งเมื่อหันกลับไปมองยังจุดแรกเริ่มก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่ามาไกลถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนแล้วนี่เรา แม้ว่าจะไม่ได้พิมพ์อะไรมากนักลงไปในเว็บบอร์ดที่ต้องแวะเวียนเป็นประจำอย่าง www.taf.in.th แต่ก็แวะเข้าไปอ่านอยู่เป็นประจำทุกวันรวมไปถึงบอร์ดอื่นๆ ด้วยซึ่งก็ประสบปัญหาคล้ายๆ กันก็คือไม่มีคนเข้าไปพิมพ์ความเห็นหรือตั้งกระทู้เหมือนในช่วงแรกๆ ที่ก่อตั้งเว็บบอร์ดส่วนนึงคงเป็นเพราะสมาชิกเกิดการอิ่มตัวอีกส่วนนึงคงเป็นเพราะ app ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มบุคคลถูกลดขนาดมาอยู่ในอุ้งมือของทุกคนทำให้การพูดคุยกันกับกลุ่มคนที่รู้จักคุ้นเคยผ่านเว็บบอร์ดเปลี่ยนมาเป็นคุยผ่าน app แทนตามยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนไปเนื่องจากได้รับการตอบสนองจากเพื่อนๆ เร็วกว่าเมื่อเทียบกับการคุยกันผ่านเว็บบอร์ด ส่วนตัวในฐานะมด(Mod)คนนึงของเว็บก็พยายามเข้าไปทำให้เกิดความเคลื่อนไหวบ้างตามหน้าที่ที่ตัวเองได้รับผิดชอบก็คงจะทำได้เท่านั้นซึ่งก็ยอมรับความความถี่ที่เข้าไปพิมพ์อะไรมันก็น้อยลงไปบ้างแต่หากจะหยุดไปเลยก็คงจะไม่ใช่เพราะเว็บบอร์ดมีความจำเป็นสำหรับกลุ่มคนที่ต้องการข้อมูลและความช่วยเหลือจากกลุ่มสมาชิกที่สนใจในเรื่องเดียวกันถ้าหยุดเคลื่อนไหวกันไปเลยก็คงทำให้หลายๆ คนเสียโอกาสไปซึ่งก็คงจะน่าเสียดายหากเป็นเช่นนั้นในที่สุด

เอาเป็นว่าใกล้ปีใหม่ไทยแล้วก็ขอต้ังปณิธานเล็กๆ ว่าจะพยายามทำตัวเป็นมดที่ดีขึ้น เป็นbloggerที่ขยันมากขึ้นเพราะประโยชน์ที่เกิดมีจากตัวหนังสือที่พิมพ์ออกมาโดยไม่ได้ตรวจทานแบบนี้มีผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็เพื่อปล่อยให้ความคิดมันไหลออกมาโดยไม่มีการเติมแต่งจากความบริสุทธิ์ใจนี้คงจะมีออกมาบ่อยขึ้น ส่วนหนึ่งคิดว่าคงจะต้องเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการติดตั้งชุดดูหนังที่ภูมิใจกับมันมากๆ เนื่องจากติดตั้งปรับแต่งแคลิเบรทด้วยตัวเองล้วนๆ ลงไปด้วยซึ่งหากไม่ได้บันทึกเอาไว้เกรงว่าอาจจะลืมเรื่องราวในส่วนนี้ไปก็ได้ในอนาคต..

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

85th Academy Awards Winners





และแล้วก็มาถึงวันที่คนรักหนังรอคอยกันก็คือวันประกาศผล Academy Award หรือที่คุ้นกันในชื่อรางวัลออสการ์จนในที่สุดก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น The Oscars อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ เช่นเคยรายชื่อที่ออกมาก็คงมีถูกใจและไม่ตรงใจกันบ้างซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติส่วนใครได้รางวัลอะไรบ้างก็มีดังต่อไปนี้..



Best Picture : Argo – Grant HeslovBen Affleck, and George Clooney
Best Director : Ang Lee – Life of Pi
Best Actor : Daniel Day-Lewis – Lincoln as Abraham Lincoln
Best Actress : Jennifer Lawrence – Silver Linings Playbook as Tiffany Maxwell
Best Supporting Actor : Christoph Waltz – Django Unchained as Dr. King Schultz
Best Supporting Actress : Anne Hathaway – Les Misérables as Fantine
Best Writing – Original Screenplay : Django Unchained – Quentin Tarantino
Best Writing – Adapted Screenplay : Argo – Chris Terrio from The Master of Disguise by Antonio J. Mendez & The Great Escape by Joshuah Bearman
Best Animated Feature : Brave – Mark Andrews and Brenda Chapman
Best Foreign Language Film : Amour (Austria) in French – Michael Haneke
Best Documentary – Feature : Searching for Sugar Man – Malik Bendjelloul and Simon Chinn
Best Documentary – Short Subject : Inocente – Sean Fine and Andrea Nix Fine
Best Live Action Short Film : Curfew – Shawn Christensen
Best Animated Short Film : Paperman – John Kahrs
Best Original Score : Life of Pi – Mychael Danna
Best Original Song : "Skyfall" from Skyfall – Adele Adkins and Paul Epworth
Best Sound Editing : Skyfall – Per Hallberg and Karen Baker Landers และZero Dark Thirty – Paul N. J. Ottosson
Best Sound Mixing : Les Misérables – Andy Nelson, Mark Paterson, and Simon Hayes
Best Production Design : Lincoln – Rick Carter and Jim Erickson
Best Cinematography : Life of Pi – Claudio Miranda
Best Makeup and Hairstyling : Les Misérables – Lisa Westcott and Julie Dartnell
Best Costume Design : Anna Karenina – Jacqueline Durran

Best Film Editing : Argo – William Goldenberg
Best Visual Effects : Life of Pi – Bill Westenhofer, Guillaume Rocheron, Erik-Jan de Boer, and Donald R. Elliott



หลายๆ เรื่อง(ส่วนใหญ่)ที่ได้รางวัลหลักๆ นั้นส่วนตัวผมเองดูมาแล้วเกือบทุกเรื่องซึ่งทุกเรื่องก็สมควรได้รางวัลจริงๆ นั่นแหละในมุมมองของคนธรรมดาๆ ที่รักการดูหนังคนหนึ่ง ผมว่าปีหลังๆ ที่ผ่านมานี้ภาพยนตร์อัตชีวประวัติหรือภาพยนตร์ที่อิงมาจากเหตุการณ์จริงๆ กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นดังคำที่ผมเคยได้ยินมาว่า "นิยายที่ว่าเน่าแล้วชีวิตจริงมันเน่ายิ่งกว่านิยายอีก" เหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ในโลกรวมไปถึงในบ้างเราก็ตามถ้ามีคนเอาไปทำเป็นหนังคงจะสนุกมากซึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้เป็นตัวการันตีได้ว่าถ้านำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาดัดแปลงออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่บนจอเงินนั้นมันสนุกได้มากเพียงใด 

ยกตัวอย่าง Argo ที่ในฐานะของคนที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองมากเท่าไหร่พอไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นๆ สรุปจบท้ายเป็นอย่างไรระหว่างที่ชมก็ตามเรื่องราวที่อยู่บนจอตรงหน้าไปเรื่อยๆ ตามที่ทีมงานได้นำเสนอก็ลุ้นกันตั้งแต่ต้นไปจนจบเรื่องโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ส่วน Les Misérables ก็ไม่ต้องพูดถึงดูเรื่องนี้ไปก็เพลินไปกับเสียงร้องของนักแสดงคลอไปกับเสียงดนตรีจากวงออเครสตร้าไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าเหตุการณ์บนจอจะสลดหดหู่เพียงใดแต่เครื่องสายและทองเหลืองที่บรรจงใส่เข้าไปก็ทำให้รู้สึกไม่เศร้าจนเกินไปนักได้ Life of Pi ของหลี่อันก็ถือว่าแจ๋วมากๆ ไม่รู้ใครที่ได้ดูจะรู้สึกเหมือนผมหรือว่าแต่ผมว่ากรรมการที่ได้ดูคงรู้สึกเช่นตรงช่วงแรกๆ ที่ตัวเอกติดอยู่ในเรือนั้นถ่ายได้ชวนอ้วกจริงๆ สมแล้วที่ได้รับรางวัล Cinematography มุมกล้องที่นำเสนอทำเอาเมาเรือไปกับตัวละครกันเลยก็แล้วกัน 

อีกอย่างปีที่ผ่านมาก็ถือว่าครบรอบ 50 ปีของภาพยนตร์ชุด James Bond 007 ซึ่งส่วนตัวผมเองแล้ว Skyfall เป็นบอนด์อีกหนึ่งตอนที่ผมประทับใจมากๆ ไม่รวมถึงตอนแรกที่เคยดูสมัยที่ Roger Moore รับบทสายลับของสหราชอาณาจักรคนนี้นี่ยังไม่รวมถึง Sean Connery ใน Never Say Never Again ที่ทำให้ผมได้รู้จักบอนด์ในอีกแง่มุมนึงจนต้องมาตามหาข้อมูลจนทราบว่า อ่อ คนนี้นี่เอง double o seven คนแรกของโลก ซึ่งมุก eject seat ของ Skyfall ในตอนที่บอนด์กับเอ็มซิ่งแอสตันคันเก่งของลุงฌอนขึ้นไปยังไฮแลนด์สก็อตนั้นทำเอาผมยิ้มออกมาได้เลยทีเดียว(ไม่รู้มีใครเก็ทมุกนี้หรือเปล่าแต่คิดว่าแฟนๆ ของบอนด์คงจะเข้าใจ) ผมคิดว่าบทสรุปในตอนจบของ Skyfall นั้นเติมเต็มช่องว่างระหว่างตอนนี้กับตอนแรกๆ ของภาพยนตร์ชุดนี้ได้ดีใช้ได้เลย



ภาพยนตร์ให้อะไรกับผมหลายๆ อย่างทั้งเปิดมุมในการมองโลก สอนให้รักในการเล่าเรื่อง ทำให้รู้จักการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องที่ชอบเพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องเล่นๆ ในมุมมองขอผู้ใหญ่แถวบ้านแต่ก็ทำให้ผมรู้จักวิธีหาความรู้ใส่หัวทึบๆ ใบนี้ ผมเชื่อว่าถ้ารู้จักจับแง่คิดแล้วภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้อะไรกับชีวิตได้เยอะแยะมากมายเช่น 

มุมในการมองเหตุการณ์อย่างคนมีศรัทธาจาก Life of Pi ที่ให้ผู้ฟังเลือกระหว่างเรื่องราวที่ดีกับเรื่องราวที่แย่ซึ่งทั้งสองเรื่องที่ว่านี้ไม่แตกต่างกันในบทสรุปสุดท้าย 

เหตุการณ์และโอกาสจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีท่านนึงของสังคมที่หยิบยื่นให้คนขี้คุกซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสจากใครได้"ฉุกคิด"ปรับเปลี่ยนชีวิตมาเป็นคนอีกคนที่ดีกว่าเดิมของ Les Misérables

เรื่องราวของคนหกคนซึ่งอาจจะเล็กในมุมมองของผู้บริหารประเทศใหญ่แต่เป็นเรื่องใหญ่ของอีกประเทศนึงซึ่งต้องแบกภาระในการดูแลคนกลุ่มนี้เอาไว้ใน Argo 


เราไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวใดที่เป็นเรื่องใหญ่ในสายตาคนอื่น เราไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ไหนที่ทำให้ใครได้ฉุกคิดเพื่อเปลี่ยนชีวิตได้(อย่าคิดว่าคนทุกคนมองมุมเดียวกับเราประหนึ่งเราเป็นศูนย์กลางจักรวาล) แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรหากผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแล้วไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมสุดท้ายตัวเราเองก็ต้องเลือกเองว่าจะทำให้เรื่องราวนั้นไปในทางใดทางที่ดีหรือทางที่ดีน้อยกว่า ทุกคนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีตัวเราเองเป็นตัวเอก "Life of เรา" จะดำเนินไปในทางไหน จะบาลานซ์ผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของคนอื่นๆ ในสังคมได้บ้างหรือไม่ซึ่งก็คงต้องเลือกกันเองแล้วละครับ.. 

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลงนะครับ 

[เล่าสู่กันฟัง]weiss medea+ MAN301





ปีใหม่ปีนี้ฤกษ์งามยามดีมีเสี่ยร้านหูฟังใจดีคนนึงมอบ DAC สุดเทพมาให้ผมลองฟังถึงที่บ้านก็ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ จริงๆ จะว่าไปแล้วพี่น้องชาว taf หลายต่อหลายท่านคงจะมีโอกาสได้ไปลองฟังที่ Jet Live Audio กันมาบ้างแล้วสำหรับ source คู่นี้ซึ่งก็คงจะประจักษ์กับความสุดยอดของมันว่าให้เสียงได้ขนาดไหนแต่คิดว่าอีกหลายๆ ท่านก็คงยังไม่เคยได้ลองก็ขอถือโอกาสมาบอกเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับตามความรู้สึกที่ผมมีกับ DAC ตัวนี้

ชุดที่ใช้ทดสอบ 

หูฟัง: STAX SR-009
music server: MAN301
DAC: weiss medea+
electrostatic driver: Woo Audio WES Max พร้อมหลอด EL34 กับ Mullard ECC35(จาก พอจ. แถวๆ สาธร)
Power Amp: McIntosh MC275
ลำโพง: Manepan 1.6QR, 1.7
สายสัญญาณและสายสำโพง: Viard Audio Design
เครื่องกรองและรักษาระดับแรงดันไฟ: Clef audio puresine1000 max, Magnet IRG-2000 max







เกริ่นนำ + MAN301 impression

ส่วนตัวผมเองถือว่าเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนประจำของ weiss hi-end จากประเทศสวิสมานานพอสมควรซึ่งก็ค่อนข้างคุ้นและติดบุคลิกเสียงจากอุปกรณ์ของค่ายนี้อยู่บ้างพอมีโอกาสได้เพิ่มอุปกรณ์ของเค้าอีกชิ้นเข้ามาในระบบเลยรับรู้ถึงความแตกต่างได้ไม่ยากเท่าไหร่ สำหรับอุปกรณ์ของ weiss hi-end นั้นค่อนข้างจะให้เสียงที่ค่อนข้างเที่ยงตรงอยู่พอสมควรมีเติมน้ำตาลเข้าไปบ้างนิดหน่อยเพื่อช่วยลบความคมของสัญญาณดิจิตัลซึ่งส่งผลให้เสียงของอุปกรณ์ที่เรียกว่า DAC(Digital to Analog Coverter) มีความเป็นอนาล็อกอยู่มากแต่ยังไงก็ตามก็คงจะเทียบกับแหล่งปล่อยสัญญาณอนาล็อกแท้ๆ แบบเครื่องเล่นแผ่นเสียงคงไม่ได้ที่พอใครได้ฟังแล้วก็ติดอกติดใจไปตามๆ กัน ผมเองก็คนหนึ่งที่ชอบแผ่นเสียงมากๆ แต่เนื่องด้วยความสะดวกในการใช้งานก็เลยต้องเอาเครื่องเล่นแผ่นเก็บไว้ในโกดังรอเวลาเอาออกมาปัดฝุ่นใหม่เมื่อสถานที่อำนวย 

อุปกรณ์ที่นำมาต่อกับ DAC โดยปกติแล้วนักเล่นเครื่องเสียงมักจะใช้ CD Transport หรือว่า CD ใบ้(ตามภาษาผม)มาใช้ร่วมกับมันแต่รุ่นหลังๆ พอ computer audio เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นการใช้ต้นทางที่เป็นคอมพิวเตอร์และ music server ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทตรงนี้แทน CD transport ซึ่งเท่าที่ลองฟังมาผมว่าตัว music server และโปรแกรมที่ใช้เล่นเพลงจากคอมฯ ที่ออกมาช่วงหลังๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมามากๆ ส่วนจะเลือกใช้ตัวไหนก็คงอยู่ที่ความสะดวกและความชอบของแต่ละบุคคล ส่วนตัวของผมเองเนื่องจากใช้ Mac อยู่สำหรับโปรแกรมฟังเพลงนั้นผมว่า Amarra เหมาะสาวก Mac มากกว่าตัวอื่นๆ เนื่องจากใช้งานง่ายพร้อมกับทำงานร่วมกับ iTunes ได้ไม่มีปัญหาแต่ก็มีโปรแกรมอื่นๆ อีกหลายตัวที่น่าใช้เช่นเดียวกันก็ลองหาข้อมูลดูนะครับ

music server ตัวแรกที่ผมเองได้ลองฟังก็คือ AURENDER จากแดนกิมจิซึ่งก็สร้างความประทับใจให้ผมมากพอสมควรทำให้มุมมองที่ผมมีต่อ music server เป็นไปในทางที่ดีกว่าเดิมจากนั้นพอทราบข่าวว่าทาง weiss มีออก music server ที่ผนึกรวมร่างเอา DAC ตัวเก่งของเค้าออกมาจำหน่ายก็เลยเลือกที่จะเปลี่ยนรูปแบบการฟังเพลงจาก computer audio มาเป็น music server เต็มตัว ความแตกต่างระหว่าง computer audio กับ music server จากประสบการณ์ตรงก็ขอบอกว่าต่างกันมากพอสมควรที่บอกได้อย่างนี้ก็เพราะว่าภาค DAC ที่ผมใช้อยู่เดิมกับ music server ตัวใหม่นั้นใช้ ship DAC ตัวเดียวกันคือ ship ของ DICE ซึ่งผมว่าให้เสียงได้ไม่เลวเลยครับ ข้อดีของ DICE ก็คือความเป็นดิจิตัลมีไม่มากเท่าไหร่แต่ข้อเด่นน้อยของมันก็คือจะให้รายละเอียดที่ยิบยับมากมายเหมือน ship DAC Hi Res รุ่นอื่นๆ คงไม่ได้และก็คิดว่าคงไม่ใช่จุดขายของเค้าด้วย พอได้ MAN301 เข้ามาประจำการที่บ้านในช่วงแรกๆ ก็รู้สึกอึดอัดอยู่พอสมควรครับเนื่องจากตัว firmware จากมือใหม่หัดขับ music server อย่าง weiss hi-end ทำให้ระบบไม่เสถียรเมื่อใช้งานร่วมกับ NAS(Network Attached Storage) รุ่นใหม่ๆ ที่มี OS ในตัวซึ่งพอได้แจ้งข้อมูลไปทางผู้ผลิตจากนั้นไม่กี่วัน FW ตัวใหม่ก็ถูกปล่อยออกมาให้ได้ใช้ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณคุณเจ็ท Jet Live Audio กับคุณกิตติคุณ Discoveryhifi ที่ช่วยประสานงานให้ด้วยครับ






การใช้งานของ MAN301 นั้นควบคุมผ่าน iPad ทำให้เลือกเพลงและจัด playlist ได้สะดวกง่ายดายผ่าน app ที่ชื่อว่า Weiss-MAN แต่สำหรับคนที่ติดรูปแบบการใช้งาน computer audio แบบผมต้องปรับตัวกันบ้างพอสมควรซึ่งจะขอผ่านในส่วนของการใช้งานและข้อมูลทางเทคนิคออกไปนะครับเนื่องจากว่าคงจะหาอ่านกันได้ไม่ยากตรงนี้อยากจะเล่ามุมมองของผู้ใช้งานมากกว่าเป็นรีวิวแบบเต็มรูปแบบ การเล่นเพลงเดียวกันผ่านอุปกรณ์สองชิ้นทั้งๆ ที่ใช้ DAC ship ตัวเดียวกันเพียงแต่ปรับปรุงอุปกรณ์บางอย่างเข้าไปและลดขั้นตอนการส่งผ่านข้อมูลให้สั้นลงจาก Hard drive ผ่าน motherboard ของคอมไปยัง DAC ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ความแตกต่างของเสียงได้มากพอสมควรเลยทีเดียว 

ตามหลักการส่งผ่านข้อมูลดิจิตัลไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อแบบไหนไม่น่ามีผลอะไรกับเสียงแต่ในการใช้งานจริงๆ เท่าที่สัมผัสมาพอว่ามีความต่างกันอยู่พอสมควรครับ แต่จะด้วยเหตุใดนั้นคงมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันรวมไปถึง human error และอคติส่วนตัวด้วยซึ่ง คหสต. ผมไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องพวกนี้มากนักขอให้ฟังแล้วถูกใจและคุ้มกับที่ได้ลงทุนไปก็ถือว่ากำไรแล้ว ความแตกต่างของเสียงระหว่าง DAC ตัวเดิมคือ weiss DAC202 กับ MAN301 เท่าที่พอจะฟังออกได้ก็คือความลื่นไหลของเสียง รายละเอียด มิติ เวที พร้อมกับไดนามิคประเภทต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดซึ่งก็พบว่าการเชื่อมต่อต่างรูปแบบกันให้เสียงที่แตกต่างกันแม้กระทั่งการส่งผ่านข้อมูลเดียวกันผ่านอุปกรณ์ต่างชนิดเช่น USB กับ NAS ก็ให้เสียงที่แตกต่าง ในทางเทคนิคแล้วผมไม่ทราบว่าตัวไหนดีกว่า(อาจต้องรบกวนคุณ WindowsX มาช่วยให้ความรู้เพิ่มเติม)แต่ตอนนี้ส่วนตัวรู้สึกพอใจและใช้เฉพาะการส่งผ่านข้อมูลจาก NAS ผ่านสาย LAN เข้ามายังเครื่องมากกว่าการส่งข้อมูลผ่านทางสาย USB ถ้าใครมีอุปกรณ์ที่สามารถให้เราเลือกใช้การส่งผ่านข้อมูลได้หลายๆ แบบลองสลับฟังเทียบกันดูก็ดีนะครับอาจจะเจอแบบที่ผมเจอก็ได้ว่าบางอย่างที่เราไม่เคยคิดจะเลือกใช้กลับให้อะไรที่มากกว่าในทางที่ดีขึ้นได้ 

MAN301 เล่นไฟล์เสียงที่เป็นที่นิยมในท้องตลาดได้ทุกแบบทั้ง FLAC AIFF WAV mp3(ไม่แน่ใจเรื่อง ape เพราะไม่มีไฟล์ทดสอบ) อีกทั้งยังสามารถเล่นและ rip เพลงจาก CD โดยตรงลงไปใน hard drive ในตัวซึ่งทำให้ผู้ที่นิยมสะสม CD เพลงสามารถใช้เจ้าตัวนี้แทน CD player ได้เลย(ขอบอกว่าพอ rip ไฟล์จาก CD เก็บไว้แล้วคุณอาจจะไม่ได้แกะ CD แผ่นนั้นออกมาจากกล่องอีกก็เป็นได้ครับ) จุดเด่นของ MAN 301 ซึ่งก็ยังคงรักษาสิ่งที่ผมชื่นชอบเจ้า DAC ตัวจ้อย 202 เอาไว้ด้วยก็คือความน่าฟังของเสียงดนตรีและความต่อเนื่องของเสียงย่านต่างๆ สำหรับผมนั้นถ้าใครที่เรียกตัวเองว่าเป็น music lover แล้วคิดจะหา music server มาใช้งานแล้วละก็น่าจะหาโอกาสไปลองฟังเจ้าตัวนี้ประกอบการตัดสินใจดูด้วยก็น่าจะดีครับ เสียงอาจจะไม่ติดหูในทันทีทันใดแต่ลองใช้เวลากับมันสักพักใหญ่ๆ ฟังเพลงที่เราคุ้นเคยดูเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายไปกับ CD transport บวกกับ DAC อีกตัวในระดับราคาเท่าๆ กันในท้องตลาดในตอนนี้ผมคิดว่าหา DAC ตัวไหนดีกว่า MAN 301 ยากเหมือนกันนะ







ความประทับใจแรกกับ weiss medea+:หลังจากที่ไปรับ DAC medea+ มาแล้วผมเลือกใช้การเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตัลออกมาจาก MAN301 ที่ทำหน้าที่เป็นต้นแหล่งปล่อยข้อมูลดิจิตัลผ่านสาย AES/EBU ของ Viard Audio Design สลับกับ PAD Venustas ไปยัง medea+ ซึ่ง DAC ตัวนี้มีข้อต่อ digital in ให้มาแบบค่อนข้างครบครันครับรวมไปถึงขั้วต่อสัญญาณแบบ thunderbolt ซึ่งทาง apple เองใช้ในคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งออกมาเสียดายที่ไม่มีสายต่อ thunderbolt ไม่อย่างนั้นคงจะได้ทดสอบดูว่าขั้วต่อแบบใหม่จากฝั่ง apple นั้นจะมีดีขนาดไหนในการส่งผ่านสัญญาณเสียงเมื่อเทียบกับอย่างอื่นซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด 

ในช่วงแรกที่ทดลองฟังนั้นผมเลือกใช้ชุดหูฟังเป็นหลักเนื่องจากว่าถ้าจะฟังแบบจับจุดเด่นมองหาความแตกต่างแล้วหูฟังสามารถแยกแยะได้ดีและง่ายกว่าลำโพงอยู่พอสมควร พอเปิดฟังในช่วงแรกสิ่งที่ต่างจากเสียงที่เคยฟังผ่าน MAN301 ก็คือบุคลิกที่ค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางอุปกรณ์รุ่นสร้างชื่อไปในวงกว้างของ weiss ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ในสตูดิโอก็คือ DAC รุ่น minerva ซึ่งให้เสียงที่สดชัดและค่อนข้างเที่ยงตรง แต่ที่ไม่เหมือนกันนักก็คือ medea+ มีกลิ่นอายของความเป็นอนาล็อคเจืออยู่ตรงนี้ทำให้น้ำเสียงของ medea+ เมื่อใช้ร่วมกับ MAN 301 นั้นลื่นไหลน่าฟังมากกว่า อย่างที่ได้บอกไว้ครับว่าจุดเด่นน้อยของ DICE สำหรับผมนั้นก็คือเรื่องของรายละเอียดซึ่งแม้ว่าพอเปลี่ยนจาก DAC202 มาเป็น MAN301 ที่ได้รับการปรับปรุงมาแล้วตรงส่วนนี้ดีขึ้นแต่เมื่อเทียบกับ DAC Hi-res ตัวอื่นๆ ที่มีในตลาด MAN301 อาจจะเด่นน้อยกว่า แต่พอเปลี่ยนมาต่อร่วมกับ medea+ นั้นเรื่องของรายละเอียดกลายเป็นจุดแข็งขึ้นมาทันที ความสงัดของพื้นเสียงดีมากครับการแยกแยะเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ออกมาอย่างยอดเยี่ยมตรงนี้ถือว่าเป็นความประทับใจแรกสำหรับผมเลยก็ว่าได้


เวทีเสียง มิติ บรรยากาศ ความเป็นดนตรี: DAC เสียงสะอาดๆ มักจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของรายละเอียดและการนำเสนอตำแหน่งของเครื่องดนตรี DAC ตัวนี้ก็เช่นเดียวกันครับการวางตำแหน่งของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นนั้นแน่นอนมาก หลังจากที่ผมใช้เวลากับมันอยู่พอสมควรกับชุดหูฟังเริ่มรู้สึกว่ามันยังไม่มีอะไรที่มากกว่านั้นซ่อนอยู่จากเสียงที่ได้ยินเลยลองสลับเอาชุดลำโพงที่ปกติใช้เป็นคู่หลังสำหรับชุดดูหนังมาต่อร่วมดูถึงได้รู้ว่าจุดที่รู้สึกว่าไม่สุดนั้นคือเรื่องของเวทีและมิติ อย่างที่ทราบกันครับว่าจุดเด่นน้อยของหูฟังเมื่อเทียบกับลำโพงคือการนำเสนอตำแหน่งเวทีและมิติเสียงที่ให้แบบลำโพงไม่ได้แต่หลายๆ อย่างเช่นเรื่องของรายละเอียดลำโพงก็ให้ได้ไม่เท่ากับหูฟังยกเว้นลำโพงในระดับราคาสูงๆ ที่ผ่านการตั้งตำแหน่งมาอย่างดี 

แม้ว่า SR-009 ให้เวทีและมิติเสียงดีกว่าหูฟังแทบจะทุกรุ่นที่มีในตลาดยกเว้นเทพของหูฟังอย่าง Orpheus พอสลับเอาชุดลำโพงมาทดสอบทำให้รู้ว่าเวทีที่กว้างและลึกมากๆ นั้นเป็นอย่างไร จะว่าไปแล้ว MAN301 ก็ให้ตรงนี้ได้ดีแต่เมื่อเทียบกับ DAC รุ่นพ่ออย่าง medea+ ทำให้ส่วนที่ดีกลายเป็นด้อยไปได้เหมือนกันเพลงหลายๆ เพลงที่คุ้นหูเมื่อเอามาฟังใหม่กับ medea+ ทำให้รู้สึกเหมือนเอามาทำดนตรีใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าในตัว medea+ มีภาคที่ใช้ upsampling อยู่ในตัวหรือไม่เนื่องจากไม่ได้ไปค้นดูข้อมูลทางเทคนิคแต่พอฟังแล้วรู้สึกเหมือนเพลงปกติ 44.1/16 ธรรมดานั้นเสียงเหมือน 192/24 ซึ่งให้เสียงที่สดและชัดขึ้นแต่ก็ไม่รู้สึกว่าเสียงคมขึ้นขอบแต่อย่างใด ปกติส่วนของของผมเองเมื่อเจอ DAC ที่สดชัดและให้เสียงที่ค่อนข้างเที่ยงตรงมักจะฟังได้ไม่นานเพราะกัดหูแต่ medea+ นี่ฟังได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกล้า ให้ความรู้สึกประมาณว่าฟังเพลงที่นักดนตรีชั้นยอดตั้งใจเล่นกันแบบเป๊ะไม่มีหลุดแต่ก็คงให้อารมณ์เพลงที่ดีมากๆ อยู่ด้วย มาถึงตรงนี้แล้วอยากจะบอกว่า DAC ตัวนี้ขี้ฟ้องจริงๆ ครับ





เสียงสูง กลาง ต่ำ: ใครอยากจะทราบว่า DAC ที่ให้เสียงย่านสูงได้เยี่ยมๆ ซักตัวนึงเป็นอย่างไรแนะนำให้ไปลองฟัง medea+ ดูครับถือว่าเป็น DAC ที่ให้มาตรฐานสำหรับเสียงสูงคุณภาพได้เลย เสียงเครื่องดนตรีโลหะที่นอกจากไดนามิคความสดความแผดของเสียงจะเป๊ะมากแล้วเรโซแนนซ์ปลายเสียงนี่ออกมายาวและพริ้วมาก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อนสมัยที่หาความรู้เรื่องความแตกต่างระหว่าง CD กับแผ่นเสียงได้เจอแผ่นหนึ่งที่ให้นิยามตรงนี้กับผมได้ดีมากก็คือแผ่น direct-to-disc ของ Lincoln Mayorga และ Amanda Mcbroom ชุด Growing up in Hollywood Town แทร็คที่ชื่อเพลงว่า dusk ผมว่าเสียง triangle ที่เคาะตอนต้นเพลงนั้นยังไง CD ก็ให้เสียงแบบแผ่นไม่ได้แต่พอได้มาฟัง medea+ แล้วรู้สึกว่าในเรื่องของความพริ้วและกังวานนั้นใกล้เคียงเสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงมากๆ ครับ 

เสียงกลางของ medea+ นั้นออกแนวสมจริงมากกว่าที่จะฉ่ำหวาน บางเพลงที่อัดมาแบบสดๆ เช่นชุด Secret Island ของค่าย Clarity records ที่มีจุดเด่นตรงที่ใช้ mic สองตัวในการบันทึกเสียงจังหวะนักร้องแกว่งตัวไปมาตอนที่ปิดไฟฟังดูรู้สึกน่าขนลุกดีจริงๆ หลายต่อหลายเพลงที่อัดมาแบบสดๆ จากหลากค่ายเพลงที่ผมเองเลือกมาลองเวลาทดสอบเครื่องเนื่องจากเสียงกลางเป็นเสียงที่ผมค่อนข้างคุ้นอยู่แล้วโดยเฉพาะเสียงคนพูดหรือร้องเพลงโดยที่ไม่ได้แต่งเสียงเพิ่มจะพอบอกได้ว่า DAC ตัวนั้นๆ ให้เสียงออกมาได้ถูกต้องเที่ยงตรงแค่ไหน ในความเข้าใจของผมนิยามของเสียงดีก็คือเสียงจริงๆ เป็นอย่างไรก็สมควรจะออกมาได้ใกล้เคียงของจริงมากเท่านั้น

เสียงต่ำของ medea+ เร็วและให้รายละเอียดที่ดีครับ ฟังจากหูฟังก็บอกได้ในระดับหนึ่งว่าเสียงเบสของ DAC ตัวนี้ดีมากแต่เนื่องจากปริมาณเบสของหูฟังและลำโพงที่ผมใช้ค่อนข้างจะออกมาแบบให้คุณภาพแต่ปริมาณไม่ค่อยมากนักซึ่งตรงนี้คงจะบอกอะไรได้ลำบากพอสมควรสำหรับใครที่ชื่นชอบเสียงในย่านความถี่ต่ำ แต่ถ้าเน้นเอาคุณภาพเรื่องของความถูกต้องของหนังกลองหลากหลายประเภทจากทุกภูมิภาคเช่นกลองพื้นเมืองแอฟริกัน กลองใหญ่ญี่ปุ่น ทิมปานีของออเครสตร้าวงใหญ่ตั้งแต่เบสช่วงบน กลางและต่ำลึกๆ เท่าที่ผมเลือกมาทดสอบถือว่าเยี่ยม ยิ่งพอต่อซับร่วมกับลำโพงคู่หลักด้วยแล้ว(XLR เข้าลำโพงหลัก RCA เข้าซับ)ถือว่าเทพจริงครับเบสมาครบมากในทุกย่าน






สรุป weiss medea+: ผมเองได้ใช้เวลาอยู่กับ DAC ตัวนี้ประมาณครึ่งเดือนซึ่งถือว่าค่อนข้างนานพอสมควรได้ลองสลับสับเปลี่ยนสายและอุปกรณ์ต่อร่วมไปมาอยู่ระยะหนึ่งซึ่งทำให้ได้ทราบว่าพอเปลี่ยนอะไรนิดอะไรหน่อยในระบบก็มีผลกับเสียงที่ออกมา จากที่ได้ทดลองฟังในชุดหูฟังในช่วงแรกเปลี่ยนมาเป็นลำโพง maggie 1.6QR ในช่วงที่สองจนมาสรุปที่ 1.7 ในช่วงสุดท้ายพบว่าเสียงมีการพัฒนาดีขึ้นมาเป็นลำดับๆ เมื่อฟังมาระยะหนึ่งเหมือนชุดฟังเพลงที่ผมใช้อยู่นั้นรีดศักยภาพของ medea+ ออกมาได้ไม่หมด จะเรียกว่าไม่แมทช์กันก็คงจะไม่ใช่เพราะชุดเดิมก็ให้เสียงที่ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้วยิ่งฟังไปก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันยังไปได้อีก 

medea+ เป็น DAC ที่ค่อนข้างครบเครื่องครับทั้งการเชื่อมต่อเข้า-ออก การเล่นไฟล์เพลงในรูปแบบต่างๆ การออกแบบและน้ำหนักที่มากพอสมควรทำให้ความนิ่งในการจัดวางดีมากๆ เสียงที่ตอบสนองได้ค่อนข้างครบสำหรับคนที่เสาะแสวงหาความสุดยอด คงไม่มีอะไรจะบอกในตรงนี้มากนักนอกจากกว่า "medea+ จะให้เสียงออกมาได้ดีมากแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับระดับของซิสเต็มที่นำเข้าไปต่อร่วมด้วย" ประมาณที่ฝรั่งเค้าบอกว่า Sky is a limit ถ้าใครอยากจะลองฟัง Source คู่นี้ที่ผมว่าสุดยอดของ source ชุดหนึ่งในโลกนี้ก็ลองไปฟังที่ร้าน Jet Live Audio ดูได้ครับผม 


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคุณเจ็ท Jet Live Audio มากๆ ครับสำหรับ"น้ำใจ"ในการช่วยเหลือผมในหลายๆ เรื่องในช่วงนี้ซึ่งผมว่าตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังขาดสิ่งนี้อยู่ ถ้ามี"น้ำใจ"ให้แก่กันและกันแล้วผมว่าประเทศชาติคงจะพัฒนาไปได้อีกไกลมากๆ หลังๆ มานี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าคนไทยยอมกันไม่ได้รอกันไม่เป็นเลยทำให้เกิดปัญหาในบ้านเราเมืองเราในหลายๆ ระดับตั้งแต่ปัญหาการจราจรไปจนถึงปัญหาการพัฒนาบริหารบ้านเมืองที่ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอยให้กัน นี่ก็เริ่มปีใหม่แล้วก็หวังว่าสิ่งดีๆ คงจะเกิดมีแก่บ้านเมืองเราให้มากกว่าที่ปีที่ผ่านๆ มา 

"ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีความสุขในการฟังเพลงในปีใหม่นี้นะครับ"

ผู้ติดตาม