วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
The Book of Eli
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
PAC MAN Nation
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
พึ่งตนพึ่งท่าน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
19 พฤษภาคม 2553
วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ลพบุรีในความทรงจำ
เมื่อเช้าว่างๆ เลยมีโอกาสได้ไปนั่งรถเล่นวิ่งไปถึงโน่นลพบุรีหรือละโว้ถิ่นเก่า บรรยากาศก็เหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อนสมัยยังทำงานเป็นมือปืนรับจ้างคั่นเวลาให้อาจารย์ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักแต่อย่างอื่นเหมือนจะขาดไปก็คือทหารที่เคยมีให้เห็นอยู่เป็นภาพที่คุ้นตาในค่ายกลับเงียบเหงามองไปแทบไม่เจอทหารแม้แต่นายนึงสงสัยคงจะมาทัศนศึกษากันในกรุงเทพ
จริงๆ ความหลังฝังใจกับลพบุรีมีเยอะพอสมควรจะให้เล่านี่คงจะยืดยาวมากเอาเป็นว่าแม้แต่คืนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ก็ทำให้จำไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จำไม่ลืมก็เพราะว่าคืนแรกที่ขนของเข้าไปพักก็ถูกมือดีมายกเค้าไปซะ กางเกงยีนส์หลายๆ ตัวที่หวงหายหมดพร้อมกับซีดีอีกเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าแทบจะเกลี้ยงกรุน้อยๆ ที่มีที่เหลือรอดมาก็คือแผ่นที่ติดรถไปทำงานด้วยกล่องนึงแค่นั้น
เมืองลพบุรีมีบรรยากาศของจังหวัดเก่าๆ แบบดั้งเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นจังหวัดทหารบกด้วยมีค่ายเยอะมาก ทหารก็เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าร้านค้าต่างๆ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารไม่ทางใดก็ทางนึงคือถ้าไม่ใช่สามีภรรยาก็ต้องมีญาติเป็นทหารหรือไม่อย่างน้อยสุดๆ ลูกค้าของร้านก็เป็นทหารแน่นอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่อยู่นอกรั้วค่ายก็อยู่ตามตึกแถวเก่าๆ ซึ่งก็ต้องขอบคุณจอมพล ป. ด้วยที่ทำให้ผังเมืองลพบุรีเป็นอย่างทุกวันนี้ซึ่งจะว่าเรียบร้อยก็ถือว่าผังเมืองค่อนข้างเรียบร้อยดีแม้ว่าในตัวตลาดจะค่อนข้างวุ่นไปนิด โดยเฉพาะแถวรอบๆ วังนารายณ์อันเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นจุดที่น่าสนใจถ้าใครไปลพบุรีสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดื่มดำ่บรรยากาศย้อนไปสมัยโบราณที่นั่น พูดถึงวังนารายณ์ยังจำภาพที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่นั่นเป็นครั้งแรกได้ไม่ลืม ภาพในหน้าขนาดใหญ่ที่่ติดตั้งไว้ตรงบันไดดูราวกับว่าใบหน้ารูปปั้นขนาดมหึมานั้นมีชีวิตจริงๆ ศิลปะแบบบายนแท้ๆ คล้ายดังกับว่ามีวิญญาณซ่อนอยู่ในตัวทำให้ดูแล้วติดเข้าไปในใจง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็นเดิิมพันแกะกันเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่อังกอร์วัดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดว่าศิลปะของหัวเมืองยังมีพลังขนาดนี้แล้วของจริงๆ ที่เมืองหลวงจะสุดยอดแค่ไหนถ้ามีโอกาสคงจะได้ไปเยี่ยมชมซักทีเพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างได้ไปเลย ซักวันจะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้
เมื่อเอ่ยถึงเมืองลพบุรีแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องนึกถึงทุกครั้งก็คือ"ลิง"นั่นเอง ลิงที่อยู่ในตัวเมืองลพบุรีมีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยต่อระหว่างตัวเมืองปรางค์สามยอดและศาลพระกาฬจะมีเยอะมากที่สุด แล้วลิงทั้งสามกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่มีโอกาสเป็นต้องยกพวกมาตีกันเรื่อย(อันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้ล้อเล่น แถมมีลากไม้มาเหมือนกับคนเลย เป็นภาพที่น่าสนใจมากๆ) ลิงแถวนั้นดุเอาการโดยเฉพาะลิงเจ้าพ่อที่บริเวณศาลพระกาฬดุมากๆ เคยเห็นมันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วก็กัดคอช่างภาพชาวญี่ปุ่นในระยะห่างไม่เกินเมตรครึ่งจนเลือดกระฉูด(ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในศาลพระกาฬอีกเลย)ในงานโต๊ะจีนลิงปีนึงเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่งก็ไม่รู้ว่าช่างภาพคนนั้นไปทำอะไรให้ลิงหงุดหงิด แต่ถ้าใครผ่านไปที่บริเวณวงเวียนศาลพระกาฬตอนดึกๆ จะเห็นหางลิงเป็นเส้นๆ อยู่รอบตัวศาลเป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกันสมัยโน้นที่ยังคะนองอยู่ยังเคยนึกๆ อยู่ว่าเอาหนังสติ๊กยิงเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างหนอ ก็ดีที่ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงบาปแย่เพราะไปทำร้ายผู้ที่ไม่ประทุษร้าย(ก็นอนอยู่นี่นานะ)
ตัวเมืองลพบุรีดูแล้วก็มีบรรยากาศของความเก่าอยู่ยิ่งถ้าใครไปในช่วงงาน"แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์"ด้วยนี่เค้าจะแต่งชุดไทยกันทั้งเมืองเลยเป็นภาพที่ดูดีมากๆ เป็นบรรยากาศย้อนยุคกันทั้งเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของ"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"ที่มีพระคุณต่อเมืองลพบุรี อีกอย่างที่คู่กับเมืองลพบุรีก็คือสวนสัตว์ลพบุรีที่เป็นเสมือนจุดพักผ่อนของชาวเมืองซึ่งก็อยู่ไม่ไกลคืออยู่แถววงเวียนสระแก้วที่เป็นวงเวียนใหญ่ประจำจังหวัด วงเวียนนี้มีเอกลักษณ์ก็คือว่ามีคชสีห์นั่งอ้าปากกว้างอยู่หลายตัว(จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่)ซึ่งก็มีโจ๊กประจำจังหวัดอยู่เกี่ยวกับคชสีห์นี้อยู่เหมือนกันว่า"ทำไมพวกมันถึงได้อ้าปากร้องถึงขนาดนั้น" ซึ่งไม่ขอเฉลยคำตอบก็แล้วกัน ไม่ไกลจากสวนสัตว์ก็มีโรงภาพยนตร์อยู่หนึ่งโรงซึ่งก็คือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหมือนกัน(ในสมัยโน้น สมัยนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า)คือว่าเค้าจะมีการพากย์ทับเสียงพากย์ในฟิล์มโดยใช้มุกที่เป็นที่รู้กันในจังหวัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่นั่นมากๆ แต่ผมฟังแล้วมันไม่ขำน่ะเพราะว่าทีมพากย์พันธมิตรก็พากย์ได้ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว พอมีเสริมขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์นะครับอย่างน้อยผมไปดูแค่ครั้งเดียวยังจำมุกที่เค้าเล่นมาได้จนถึงวันนี้เลยเจ๋งขนาดไหนคิดดูละกัน
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าบ้านเมืองไหนก็จะมีเอกลักษณ์ประจำเมืองอยู่เป็นเสน่ห์ของแต่ละเมืองไปไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือว่าในประเทศ ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่นแล้วเราจะรู้สึกสัมผัสเมืองได้ลึกมากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็น toilet tour หรือทัวร์ผ่านหรือทัวร์ห้องน้ำก็ตาม(หมายถึงแทบจะไม่ได้แวะดื่มด่ำบรรยากาศอะไร คือไปแวะดูๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำแล้วก็ไปที่อื่นต่อ) เมื่อไหร่ที่เราศึกษาประวัติเมืองแล้วได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริงๆ จะทำให้เราเห็นภาพของเมืองนั้นชัดมากขึ้น จะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่บางอย่างตัวหนังสือไม่อาจจะให้เราได้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ได้ไปเมืองอื่นๆ นอกจากเมืองที่เราอยู่บ้างเพื่อเปิดโลกให้กว้างมากขึ้น
ลองดูนะครับอย่างน้อยซักครั้งในชีวิต"ลองปล่อยให้ถนนนำพาท่านไป".. at least once in your life, take the road trip.. ขอบอกว่าทุกจังหวัดในบ้านนี้เมืองนี้มีอะไรให้ท่านไปค้นหาอีกมากมาย มีสิ่งสวยๆ งามๆ ที่รอให้ท่านไปค้นพบอีกเยอะมากๆ..
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
[ความประทับใจ]Bodyguard and assassin
พอดูจบผมได้แง่คิดอีกมุมนึงไม่ได้มองในมุมที่เป็นบทสรุปสุดท้ายของหนังก่อนที่จะขึ้นเครดิต แต่มองในมุมของคนที่สละชีพเกือบทั้งหมดไม่รวมตัวคุณชายที่ทำเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยแท้ๆ แต่คนอื่นนั้นไม่ใช่เลย
ในมุมที่ของการสละชีพของชาวบ้าน(คงจะใช้สรรพนามนี้ได้)ที่ได้เสียชีวิตเพื่อให้การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ของ ดร. ซุน ผ่านพ้นไปได้นั้นทั้งๆ ที่ทุกคนที่เสียสละชีวิตไม่ได้รู้จัก ดร.ซุนเป็นการส่วนตัวเลยแต่ก็เลือกที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นให้ลุล่วงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะ
บุญคุณที่ได้รับจากบุคคลที่เค้านับถือ
ทำไปเพียงเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการี
ความรักของสามีอันพึงมีแก่คนที่เค้ารัก
ความรักระหว่างเพื่อนฝูงร่วมอาชีพ
ความชื่นชมในคุณธรรมของคนที่เค้าเจอ
หรือแม้แต่ทำไปเพื่อไถ่บาปที่ตกค้างในใจตนเองก็ตาม
เหตุผลของผู้ที่สละชีพไม่ได้ไปไกลจนถึงอุดมการณ์แต่ว่าสิ่งที่เค้าทำไปนั้นด้วย"ใจ"จริงๆ ในสิ่งที่เค้า"เชื่อ"ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิตของเค้าเอง
คุณธรรมความดีในใจคนแท้ๆ ที่มีผลทำให้การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนั้นสำเร็วลุล่วงไปได้ แม้ว่าแต่ละคนจะสละชีพด้วยเหตุผลที่แตกต่างแต่ทุกคนได้ทำไปเพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำนั้น "ทำไปทำไม"