วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

127 hours

วันนี้บนดอยเกิดไฟดับทำให้ผมว่างๆ ไม่ได้ทำอะไรมากนักโชคดีที่ที่พักมีเครื่องปั่นไฟในตอนเย็นเลยมีโอกาสได้พักหายใจหายคอนั่งดู 127 Hrs หนังอีกเรื่องที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ดารานำชาย แล้วก็อื่นๆ ซึ่งบอกตามตรงว่าเก็บไว้ในกรุมานานแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้ดูอีกทีอีกอย่างชื่อหนังไม่ได้ดึงดูดอะไรเลยทั้่งๆ ที่ผู้กำกับ Danny Boyle เป็นหนึ่งในผู้กำกับคนโปรดของผมอีกท่านหนึ่งเลยทีเดียว(ต้องสารภาพว่าหลังๆ ไม่ค่อยมีเวลาได้ไล่ล่าตามหาข้อมูลหนังเหมือนที่เคยทำเป็นประจำด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง)


plot ของเรื่องก็ถือว่าน่าสนใจในระดับนึงที่นักกีฬาหรือจะเรียกว่านักผจญภัยไต่เขาท่านหนึ่งได้ตกลงไปติดอยู่ในซอกผาที่แคบซึ่งในจังหวะที่ตกลงมานั้นมีก้อนหินชอล์คก้อนนึงตกมาทับมือของเค้าพอดิบพอดีซึ่งบทที่เอ่ยถึงหินก้อนนี้ในเรื่องนี่ผมชอบจริงๆ มีแอบกัดเล็กๆ แกมตัดพ้อผ่านบทพูดของพระเอกที่ว่า "This rock... this rock has been waiting for me my entire life. It's entire life, ever since it was a bit of meteorite a million, billion years ago. In space. It's been waiting, to come here. Right, right here. I've been moving towards it my entire life"


หนังเปิดโอกาสให้ทีมงานได้เล่นภาพเล่นเสียงและการตัดต่อซึ่งความเห็นส่วนตัวผมว่ามันเกินงามไปนิดทำให้เสน่ห์และความกดดันรวมไปถึงพลังของเรื่องด้อยลงไปหน่อยจึงทำให้พลาดรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย(แอบลำเอียงหน่อยๆ เพราะพี่ Danny) แต่สีสันที่สดใสมีการถ่ายย้อนตัดแสงแรงๆ ตอนที่เน้นภาพแห่งห้วงความคิดโดยใส่โทนสีร้อนๆ เข้าไปตามสไตล์ของพี่ Boyle ก็ยังมีให้เห็นเป็นเสน่ห์และลายเซ็นต์ของพี่ท่านอยู่เช่นเคยแต่เรื่องนี้ใส่มากเกินงามไปอีกนิดอยู่ดีนั่นแหละไม่เหมือนตอนที่ใช้เทคนิคนี้กับ Slumdog ซึ่งวางจังหวะได้เหมาะเจาะพอดีไม่มากไม่น้อย


เมื่อดูจบก็พยายามคิดว่าโดยบทโอกาสที่จะทำให้หนังเดินไปได้สุดๆ ในทางใดทางนึงทำได้ยากมากซึ่งพี่ Boyle นำเสนอออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเจ๋งแล้ว อีกอย่างที่ต้องชมก็คือพระเอกของเรา James Franco เล่นได้ดีจริงๆ ที่ได้เข้าไปชิงดารานำชายในรอบสุดท้ายได้ก็สมควรแม้จะพลาดก็ไม่เป็นไรเพราะอายุยังน้อยยังมีโอกาสได้เล่นหนังดีๆ อีกเยอะการแสดงทางสีหน้าและแววตาเค้าทำได้ดีจริงๆ เพราะภาษาร่างกายที่แสดงออกโดยบทนั้นแทบไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไร(ก็มือติดหินอยู่ถ้าพี่ Boyle แกจะให้เต้น B-Boy ก็คงจะทำได้ลำบาก) ส่วนที่ชอบจริงๆ ของเรื่องก็คือบทที่กล่าวถึงช่วงเวลาสุดท้ายตอนคนใกล้ๆ จะตายที่มักจะนึกย้อนกลับไปในอดีตว่าเคยทำอะไรมาบ้างแล้วเรื่องใดที่ยังค้างคาอยู่ในใจก็จะฝังแน่นอยู่ซึ่งฝรั่งก็มีความเชื่อว่าถ้าตายไปในขณะที่ยังมีห่วง(Unfinished Business) จริงๆ แถวบ้านเราก็มีแนวคิดคล้ายๆ กันอยู่เหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้แรงเท่ากับทางฝั่งตะวันตกเพราะความเชื่อทางโน้นถ้ายังมีเรื่องค้างคาก็ติดอยู่ล่องลอยในโลกนี้นานเลยจนกว่าจะถึง judgement day

ผมเองเคยได้ยินเรื่องราวตอนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตาย(near death experience)จากคนรู้จักมาเหมือนกันเค้าก็เล่าว่าในขณะที่รู้สึกว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ แล้วนั้น(พี่เค้าเกิดอาการที่เรียกว่า heart attack หรือหัวใจวายตามภาษาบ้านเรา)ภาพมันย้อนมาให้เห็นจริงๆ ว่าเคยทำอะไรมาบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพสุดท้ายที่ติดอยู่ในใจเค้าก็เป็นเรื่องที่ได้ทำผิดพลาดเอาไว้หากตายไปก็คงจะตกนรกตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ในตอนนั้นพี่เค้าก็เลยสวดมนต์ขอให้พระรูปที่ตัวเองนับถือมาช่วยขออย่าให้ตายในตอนนี้เลยซึ่งสุดท้ายก็รอดมาได้ ตอนนี้พี่เค้าก็เลยเดินสายทำบุญอยู่ตลอดเพราะคิดว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นก็คงจะมีอยู่อีกดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทเลยไม่รอให้หลวงพ่อหลวงปู่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยพี่เค้าเลยหาทางช่วยตัวเองโดยการทำบุญเพื่อจะได้ให้บุญช่วยโดยเฉพาะการปล่อยสัตว์ปล่อยปลาให้ชีวิตและช่วยให้การรักษาพยาบาลกับคนป่วยอนาถาตามสถานพยาบาลต่างๆ รวมไปถึงพระภิกษุที่อาพาธในโรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเรื่องของพี่คนนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกถึงเป็นเรื่องแรกเลยตอนที่ดูหนังเรื่องนี้จบ หลายๆ คนที่ได้ดูเรื่องนี้ก็คงจะมีเรื่องราวให้ได้นึกถึงเช่นเดียวกันก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าเคยผ่านประสบการณ์หรือได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรมาบ้างแต่สุดท้ายก็คงจะไม่หนีเรื่องของความตายเพราะบทในหนังชวนให้นึกถึงแต่เรื่องนี้จริงๆ...

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

จากแกรมมี่ถึงออสก้าร์

สำหรับผมการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดทำให้ใจที่วิ่งวนสับสนมาตลอดวันค่อยๆ กลับมาเข้าร่องเข้ารอยตามที่มันควรจะเป็นก่อนที่จะเข้านอนเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะนอนไม่หลับทำให้พักผ่อนไม่พอซึ่งจะกระทบต่อการทำงานโดยรวมแล้วก็จะทำให้ระบบของร่างกายและจิตใจเสียได้ในระยะยาวเพราะผมมีความเชื่อว่าก่อนจะนอนถ้าได้หันกลับมามองดูตัวเองว่าวันนี้ได้ทำผิดพลาดอะไรมาบ้างหรือว่ามีข้อคิดอะไรที่แว๊บขึ้นมาระหว่างวันก็น่าจะพิมพ์เก็บไว้ก่อนที่มันจะจางหายไปเหมือนกับความฝันที่ถ้าไม่รีบบันทึกตอนที่พึ่งตื่นขึ้นมาก็จะลืมกันได้ง่ายๆ ดังนั้นการจดบันทึกก่อนนอนหรือบันทึกประจำวันมีประโยชน์มากๆ สำหรับตัวผมเอง

อาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าในปีที่ผ่านไปก็มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกใบน้อยนี้หลายๆ อย่างที่มีทั้งน่าสนใจน่าตกใจน่าชื่นใจและน่าอนาถใจซึ่งเรื่องที่ไม่จรรโลงอารมณ์ก็น่าจะปล่อยมันทิ้งผ่านไปสมควรที่จะจดจำแต่เรื่องที่น่าชื่นใจเท่านั้นพอไม่อย่างนั้นก็มีแต่เครียดปล่าวๆ ลำพังแค่งานก็เหนื่อยจะแย่แล้วทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจตัวเองด้วยเรื่องของคนอื่นหรือไม่เป็นเรื่องก็ตามที เมื่อเดือนที่แล้วผมได้ดูถ่ายทอดการประกาศผลรางวัลแกรมมี่ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ระดับโลกของคนทำเพลงรวมไปถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ดูการประกาศผลรางวัลออสการ์จากโกดักเธียเตอร์ก็พอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งจริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมาตั้งแต่สองสามปีที่ผ่านมาเท่าที่ผมเองได้สังเกตดู

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้คืออะไรหลายๆ ท่านอาจจะนึกถามในใจซึ่งก็ขอบอกตรงนี้ก็แล้วกันว่าสิ่งนั้นก็คือการย้อนรอยของกงล้อที่ในที่สุดก็จะหมุนวนกลับมาที่เดิมเหมือนกับแฟชั่นเสื้อผ้าแม้แต่วงการเพลงและหนังก็เช่นเดียวกันเมื่อไหร่ที่พัฒนาไปถึงจุดที่หาทางไปต่อได้ยากหรือไม่ได้ก็มักจะย้อนเอาของเก่ากลับมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ เริ่มจากวงการเพลงที่ย้อนกลับไปหายุคโมทาวน์และก็ดิสโก้ผสมๆ กันอยู่แบบจางๆ เหมือนกับว่าใจคนที่รับฟังเพลงแร็บแล้วก็บีทแบบกระชากใจรวมไปถึงเสียงร้องที่โฮกกันอย่างสุดๆ กลับไปหาจุดที่มีความสละสลวยของภาษาและท่วงทำนองและบีทที่ฟังง่ายๆ ในสไตล์ของเลาจน์และเฮาส์มิวสิค ศิลปินหลายๆ ท่านเช่น kety perry, lady gaga, cee lo green กับอีกหลายๆ ท่านและวงรวมไปถึงน้องหอก britney spears ที่ซิงเกิ้ลล่าสุดก็ย้อนกลับไปยุคใกล้ๆ กับ katy กับ lady gaga ที่ฟังเมื่อไหร่ก็เห็นภาพ madonna โผล่มาทุกที(ยกเว้น katy ที่กลิ่นอายของเพลงค่อนข้างจะออกมาในยุคหลังจาก madonna นิดนึง) กลุ่มผู้ฟังอายุ 20up เริ่มหันมาหาความไพเราะมากกว่าความสะใจมากขึ้นส่วนหนึ่งอาจจะเป็นสภาวการณ์ของโลกเป็นไปในทางที่รุนแรงรุมเร้าทำให้เกิดความเครียดซึ่งถ้ายิ่งฟังเพลงแรงๆ ก็อาจจะทำให้สติแตกกันไปเลยก็เป็นได้ ส่วนตัวผมรู้สึกดีที่เพลงดีๆ เริ่มมีมาให้ฟังกันมากขึ้น เพลงเพราะๆ ที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหูเริ่มกลับมาเกิดกันได้อีกคุณภาพของคนที่รักการฟังเพลงในบ้านเมืองของเราก็มีเพิ่มมาขึ้นยิ่งเด็กๆ สมัยนี้เล่นดนตรีกันเก่งๆ ก็มีโอกาสที่จะแสดงฝีมือออกมาให้โลกรับรู้ผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ มากมายทำให้เราได้มีเพลงดีๆ ฟังกันจากกลุ่มศิลปินออนไลน์ผ่าน youtube และ facebook

ในส่วนของหนังก็เริ่มมีหลังที่ดูง่ายๆ มาให้ดูกันมากขึ้นส่วนหนังที่ดูยากๆ ก็ยังมีให้เสพกันอยู่ไม่ขาดก็แล้วแต่ว่าจะเลือกเสพหนังแบบไหนซึ่งความหลากหลายที่มีก็ถือว่าเป็นโอกาสทองอย่างหนึ่งให้เราได้เลือกชมกันตามรสนิยมของแต่ละท่านได้ตรงตามความต้องการ ยิ่งมาดูการประกาศผลรางวัลออสการ์ทำให้รู้ว่าแนวคิดของคนเริ่มหันมาหาความจริงกันมากขึ้นเรื่องอะไรไกลตัวเกินหรือว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยเหมือนๆ หายไปจากสื่อและชีวประวัติของบุคคลสำคัญเริ่มเป็นที่สนใจของคนในวงกว้าง โดยสังเกตจากร้านหนังสือก็ได้เท่าที่เจอมาหลายๆ ทวีปสิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกันก็คือ bestseller ของทุกที่(เท่าที่มีบุญได้ไปมา)เป็นชีวประวัติของบุคคลสำคัญแทบทั้งสิ้น(จริงๆ ก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วเพียงแต่ว่าเปอร์เซ็นต์มากขึ้นผิดหูผิดตาเท่าที่มองผ่านๆ เกือบจะทั้งแผงมีแต่ชีวประวัติทำให้คิดเอาเองว่า โอ.. มีคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานกันในสาขาต่างๆ เยอะขนาดนี้เลยหรือนี่)

ประวัติของบุคคลหลากหลายทั้งพื้นหลังและประสบการณ์รวมไปถึงสาขาวิชาชีพที่แตกต่างทำให้ทางเลือกของคนรุ่นใหม่เปิดกว้างแต่ไม่รู้สินะครับเท่าที่ได้พูดคุยกับคนส่วนใหญ่ก็มักจะปิดทางเลือกของตนเองเสียนี่ทั้งๆ ที่มีทางออกอยู่เยอะเลย คงต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้คน(เริ่มที่ตัวผมเองก่อน)เปิดทางเลือกให้กับตัวเองให้มากโดยการหาทางออกให้ไอเดียในใจมันพุ่งออกมาบ้างหลังๆ มาเริ่ม"ใช้ความคุ้นมากกว่าความคิด"ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยเพราะจะทำให้ความคิดใหม่ๆ ในเชิงสร้างสรรมันหลบหายเข้าไปในซอกมืดของใจ เมื่อไหร่ที่ใครก็ตามปิดความคิดสร้างสรรค์นานๆ เข้าถ้าจะให้คิดไปทำดีต่อยอดคนอื่นก็ยากเลยเอาแต่จับผิดไม่มีคิดดีต่อกันความไว้ใจซึ่งกันและกันก็ไม่เกิด การเอาใจเขามาใส่ใจเราก็จะหายใจจากสังคมเรื่อยๆ

อนิจจาทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้กันด้วย..

เริ่มจากแกรมมี่มาออสการ์แล้วมาจบที่นี่ได้ไงหว่า เฮ้อ.. นอนดีกว่าคืนนี้ -.-

ผู้ติดตาม