วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เรื่องของน้ำ.. ตอนที่1
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Believe Fact Truth ตอนที่ 2
Believe Fact Truth ตอนที่ 1
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Transformers Dark of the Moon
[ความประทับใจ]TRANSFORMERS DARK OF THE MOON : เมื่อพี่เบย์เกหมดหน้าตัก
ภาพยนตร์ชุด Transformers นี้ผมเชื่อว่าในบ้านเราคงไม่ต่างจากทั่วโลกที่มีแฟนประจำอยู่อย่างเหนียวแน่นเป็นจำนวนมากซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีผมคนนึงที่ติดใจความสนุก ความมันส์ มุกตลกแบบกัดๆ และที่ลืมไม่ได้ก็คือมุมกล้องแบบไมเคิลเบย์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากจนถึงขนาดที่ว่าต้องหาทางไปดูเพตราและปิรามิดที่กิซ่าอันเป็นสถานที่ถ่ายทำในภาคที่แล้วเพียงเพราะติดใจในมุมกล้องของพี่ท่านนัั่นเอง หลังจากผ่านการปูพื้นไปสองภาคทำให้บุคคลที่ไม่เคยเป็นแฟนการ์ตูนมาก่อนเช่นกระผมมีความเข้าใจและรู้จักตัวละครมากขึ้นแม้ว่าภาคที่ผ่านมาหลายท่านอาจจะมึนๆ กับตัวหุ่นที่มีจำนวนมากจนจำชื่อกันแทบไม่ไหวแต่ก็ไม่เป็นไรครับผมว่าจำได้ฝั่งละสองตัวก็พอแล้วแหละ ฝั่งออโตบ็อทก็ ออฟติมัส ไพร์มกับบัมเบิ้ลบี ฝั่งดีเซปติคอนก็เมกาตรอนกับสตาร์สกรีม แต่ว่าภาคนี้ตัวละครตัวใหม่เท่ห์ได้ใจมากๆ ครับโดยเฉพาะ Sentinel Prime!!!
มาถึงภาคนี้ตัวละครหลักๆ ก็กลับมากันครบยกเว้นอดีตนางเอก(เมแกน ฟ็อกซ์)ที่กลายเป็นนางมารร้ายชอบแกล้งหุ่นตัวเล็กไปซะนี่แต่ก็มีนางฟ้าวิคตอเรียซีเคร็ท Rosie Huntington-Whiteley มาแสดงแทนซึ่งดูจากหน้าตา(โดยเฉพาะริมฝีปาก)แล้วคงจะถูกใจแฟนภาพยนตร์ชาวตะวันตกเป็นอย่างดีโดยเฉพาะฉากเปิดตัวที่ค่อนข้างเซ็กซี่แต่ขอร้องหลังจากฉากนั้นแทบจะกลายเป็นพร็อบประกอบฉากไปเลยแต่ผมว่าดีนะครับที่ไม่ได้เน้นจุดอ่อนจุดนี้(หลายอ่านอาจจะเห็นไม่ตรงกันก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย) ภาคนี้ได้ดาราดังๆ หลายท่านมาร่วมแสดงด้วยซึ่งก็ช่วยเสริมความสมจริงให้กับเนื้อหาที่เกินจริงได้เป็นอย่างดีเช่น Frances McDormand เจ้าของรางวัลดารานำหญิงเวทีออสก้าร์จาก fargo และพี่ McDreamy จากซี่รี่ย์ Grey's anatomy Patrick Dempsey อีกคนที่ลืมไม่ได้คืออีตา Ken Jeong ที่แจ้งเกิดจาก Hangover อุตส่าห์โผล่มาขโมยซีนกับเค้าเหมือนกัน ไม่รู้สินะครับผมว่าตาคนนี้รับงานบ่อยเกินจนรู้สึกเฝือๆ ไปหน่อย แต่ก็นะคงจะถือภาษิตที่ว่าน้ำขึ้นให้รีบตักเพราะจากบทที่เค้ารับมาเป็นประจำคงจะทำให้ไปได้ไกลกว่านี้ยาก
หลังจากที่ได้ดูตัวอย่างที่ปล่อยมาก่อนหน้าหลายเดือนก็แอบนึกๆ ในใจว่าภาคนี้จะขายอะไรได้อีกเพราะจากสองภาคที่ผ่านมาคิดว่าโดยแกนหลักของหนังพี่เบย์ก็เอาออกมาขายหมดแล้วแต่นึกไม่ถึงครับพี่เค้าทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดไว้(เยอะ) โดยเฉพาะฉากแอคชั่นขอชมว่าทำได้ดีมากครับหลายฉากทำเอาลุ้นได้เหมือนกัน พี่เบย์ท่านเลือกเอาจุดอ่อนของสองภาคแรกมาแก้ให้เป็นจุดแข็งโดยเฉพาะเรื่องของการตัดต่อที่เร็วเกินมาภาคนี้ถูกดึงให้ช้าลงเพื่อเน้นเรื่องมุมมองของคนดูให้มีส่วนร่วมกับฉากต่อสู้มากขึ้น แม้ว่าตัวละครเยอะกว่าภาคสองอีกแต่ก็ไม่สับสนเพราะว่าพี่เค้าเน้นโชว์ที่ละตัวไม่ได้เทกระจาดออกมาทีเดียวโดยเฉพาะองค์ท้ายสุดของเรื่องนี่สุดๆ จริงๆ มีเท่าไหร่เกลงไปหมดหน้าตักซึ่งใครที่ได้ดูแล้วคงจะทราบ
อีกอย่างที่ขายได้ก็คือตัวเมืองชิคาโกเพราะล่าสุดที่ไปได้ข่าวว่าเค้าจะโปรโมทตัวเมืองให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าจากนั้นมาก็มีหนังหลายต่อหลายเรื่องเลือกที่จะใช้เมืองนี้เป็นฉากเท่าที่จำได้ล่าสุดก็ Source code แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เจ๋งมากเพราะว่าสถาปัตยกรรมในเมืองและผังเมืองของชิคาโกนี่สุดๆ จริงๆ ครับในอเมริกาถ้าเอาเรื่องตึกรามบ้านช่องและภาพรวมของเมืองผมชอบเมืองนี้ที่สุดเลยและ Transformers ก็ทำให้ชิคาโกยังคงความสวยงามไว้ได้แม้ว่าจะถูกทำลายซะเละ ถ้า the Dark knight ทำให้คนจำชิคาโกในยามราตรีได้ติดตาในฉากที่ใช้เป็นเมือง gotham แล้วละก็ transformers ก็ทำให้คนจดจำภาพชิคาโกในตอนกลางวันได้ติดตาเหมือนกัน ถ้าผู้บริหารรัฐอิลลินอยล์โดยเฉพาะอดีต สว. ที่ชื่อ Barack Obama ตั้งใจจะโปรโมทเมืองนี้ละก็ขอบอกว่าหลังจาก transformers ออกฉายไปอีกพักนึงคนจะอยากไปเที่ยวชิคาโกกันอีกเยอะมากครับ
เทคนิคเรื่องภาพและเสียงนั้นคงไม่ต้องพูดอะไรกันมากครับหนังของพี่เบย์แกทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ใช้เป็นตัวทดสอบภาพและเสียงได้เป็นอย่างดีเรียกได้ว่ามี 7.1 พี่เค้าก็ใช้เต็มทุกช่องสัญญาณนี่ถ้ามีถึง 10.4 พี่เค้าก็คงจะจัดเต็มให้อีกเช่นกัน ส่วนที่อยากชมมากสำหรับภาคนี้ก็คือบทครับ บทหนังแม้จะไม่ใช่บทเศร้าเคล้าน้ำตาแต่ก็แอบทำซึ้งได้เหมือนกันหนังมีความยาวเกือบๆ สองชั่วโมงแต่ผมไม่รู้สึกว่ายาวเพราะเดินเรื่องค่อนข้างไวและใส่สิ่งที่คนดูอยากจะดูจาก transformers ไว้เต็มๆ ขอย้ำว่า"เต็มๆ"ครับ(ยกเว้นนางเอก) อีกอย่างเกลี่ยความสำคัญของตัวละครดีจริงๆ ไม่ได้เน้นที่ตัวใดตัวหนึ่งตรงนี้ขอชมครับ
เมื่อดูจบแล้วก็รู้สึก"อิ่ม"กับสิ่งที่ตัวภาพยนตร์และทีมงานนำเสนอออกมาให้ดูแต่ชอบใจมากๆ กับประโยคหนึ่งซึ่งในตัวอย่างก็ถูกนำมาใช้คือประโยคที่ออฟติมัสไพร์มออกมาพูดว่า "You may lose faith in us, but never in yourselves" ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเราที่แม้ว่าหลายๆ อย่างจะทำให้เราสูญเสียศรัทธา(โดยเฉพาะระบบรัฐสภา)แต่อย่าสูญสิ้นศรัทธาในตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงกำลังใจที่จะสู้ต่อถ้าเกิดอุปสรรคในวันข้างหน้าจะไม่มีอีกต่อไป..
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554
X-Men First Class
ผมเองเป็นแฟนภาพยนตร์ชุด X-Men มาตั้งแต่ภาคแรกมาจนถึงภาคนี้ซึ่งจะว่าไปก็เป็นตอนที่ 5 ของซีรี่ย์เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นแฟนการ์ตูนชุดนี้มาก่อนดังนั้นเบื้องลึกเบื้องหลังหรือพื้นเพของตัวละครต่างๆ จึงไม่มีในหัวมาก่อนเลยได้แต่นั่งดูแล้วก็ทำความรู้จักไปเท่าที่ผู้กำกับนำเสนอออกมาให้ได้ชม ซึ่งก็ต้องขอชม Bryan Singer ซึ่งเป็นผู้กำกับสองตอนแรกที่ได้นำเอาการ์ตูนเรื่องนี้ออกมานำเสนอในมุมที่น่าสนใจจนทำให้เตะตาคนที่ไม่ใช่แฟนแบบผมจนต้องไล่ตามดูมาทุกภาคมากระทั่งถึงตอนล่าสุดนี้(คิดว่าน่าจะมีทำออกมาอีกเพราะมีตัวละครที่น่าสนใจสามารถนำมาเล่นได้หลายตัวเลยทีเดียว)สำหรับภาคนี้ที่่ชื่อว่า First Class นั้นจะว่าไปก็คงจะสืบต่อมาจากจุดเด่นที่ Bryan Singer เองได้พยายามนำเสนอมาตั้งแต่ภาคแรกซึ่งจะว่าไปก็ถือได้ว่าเป็นแกนการเดินเรื่องที่ฉลาดสามารถจับกลุ่มวัยรุ่นไล่ขึ้นมาถึงกลุ่มคนในช่วงวัยกลางคนได้ไม่ยากซึ่งก็คือเรื่องของ"โรงเรียนสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์"ที่มี ศาสตราจารย์ Charles Xavier หรือที่รู้จักกันในนามของ Professor X (ฉายาเท่ห์ๆ ตามแบบฉบับของซุปเปอร์ฮีโร่โดยทั่วไป)นั่นเอง
ส่วนตัวผมเองชอบ X-Men ตอนนี้มากครับเพราะรู้สึกว่าทำได้ลงตัวดีโดยเฉพาะในส่วนของบทที่แบ่งระหว่างพื้นฐานทางอารมณ์ของตัวละครและฉากแอคชั่นได้พอดิบพอดีไม่ได้หนักไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไปทำให้ดูไปได้เพลินๆ มีผ่อนหนักผ่อนเบาจนลืมไปเลยว่าดูหนังความยาวสองชั่วโมงอยู่ แถมเกลี่ยบทให้ความสำคัญกับตัวละครได้ดีโดยเฉพาะตัวนำของเรื่องคือ Charles Xavier กับ Erik Lehnsherr หรือว่าMagneto ที่ตัวผู้กำกับคือ Matthew Vaughn ที่ผมเองชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยกำกับ Stardust หนังของพี่ Matt นี่เดินเรื่องได้เข้าท่าแทบทุกเรื่องเลยเท่าที่ได้ดูมา ที่ว่าเข้าท่าก็คือแกเลือกเดินเรื่องในมุมมองใหม่ๆ แถมรู้ว่าโดยภาพรวมควรจะผ่อนสั้นผ่อนยาวในช่วงไหนไม่ให้หนังไม่น่าเบื่อจนเกินไป รวมไปถึงทีมบทที่ปูพื้นฐานและขีดเส้นใต้เน้นให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักทั้งสองตัวนี้ให้มีมิติในเชิงลึกช่วยเสริมให้บทของภาคก่อนๆ ให้ดูมีน้ำหนักขึ้นมากเลยทีเดียว แถมมีหลอดมุกตลกมาด้วยเล็กๆ มีมุกนึงตอนกลางเรื่องในบาร์เหล้าที่ผมชอบมากๆ ใครที่ดูมาแล้วน่าจะชอบเหมือนกันนะครับสำหรับฉากสั้นๆ นี้
ส่วนเรื่องของเทคนิคทางภาพและเสียงก็หายห่วงครับเพราะเดี๋ยวนี้ถือได้ว่าเรื่องของเทคนิคทางด้านภาพเริ่มจะไปถึงจุดที่อิ่มตัวเพราะดูสมจริงสมจังมาก(แม้บางฉากจะดูหลอกๆ ไปบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย) อีกอย่างการเลือกตัวแสดงใหม่ๆ มาช่วยเสริมในซีรี่ย์ X-Men นั้นก็ทำให้ดาราหลายๆ ท่านแจ้งเกิดกันไปตามๆ กันเช่น Hugh Jackman, Ellen page และในตอนนี้ดาราที่กำลังทำท่าจะรุ่งอย่าง Jame McAvoy ก็คงจะได้เกิดแบบเต็มๆ กับเค้าซักที(หวังว่านะครับ)หลังจากผลุบๆ โผล่ๆ มาหลายเรื่องขออย่าให้เป็น King of Almost เลย
เมื่อดูจบแล้วก็ได้คิดนะครับว่าตัว Professor Charles Xavier เองที่ตัวนามสกุลพ้องเสียงกับคำว่า Savoir ที่แปลว่าผู้ไถ่หรือผู้ช่วยให้รอดนั้นไม่เคยขาดความหวังกับใครทั้งนั้นเพราะเค้ามีความเชื่อว่ายังไงในตัวมนุษย์ทุกคนนั้นมีความดีแฝงอยู่แม้ในตัวคนที่ไม่ดีที่สุดก็ตาม first class ชั้นเรียนแรกของอาจารย์มือใหม่นักเรียนที่ด้อยโอกาสและมีปมด้อย(ในกรณีนี้คือมนุษย์กลายพันธุ์)บางคนอาจจะสอบตกแต่ด้วยความหวังที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวของนักเรียนทุกคน Prof. Charles ไม่เคยหยุดการพัฒนาหรือหมดกำลังใจที่จะช่วยคนหรือนักเรียนให้เป็นได้มากกว่าที่ตัวเค้าเองไม่เคยแม้แต่จะคิด ปมด้อยถ้ารู้จักดึงเอามาใช้้ก็สามารถจะกลายเป็นปมเขื่องได้ แสงเล็กๆ ในที่มืดที่สุดคือแสงที่สว่างที่สุด ความหวังที่ริบหรี่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวัง ผมเชื่อนะครับว่า"เมื่อมีความหวังก็จะเห็นโอกาส เมื่อเห็นโอกาสอุปสรรคต่างๆ ก็เป็นเหมือนบันไดช่วยให้เราก้าวข้ามไปเพื่อนำขึ้นไปสู่จุดหมาย" X-Men First Class ทำหน้าที่เสริมให้กับ X-Men ตอนก่อนหน้าได้ลงตัวดีจริงๆ ถ้าใครยังไม่ได้ไปดูว่างๆ ก็ลองไปดูครับรับรองไม่เสียดายตังค์แน่ๆ ส่วนตัวผมขอยกให้เป็น X-Men ตอนที่ดีที่สุดเพราะลงตัวที่สุดเท่าที่ได้สร้างมา
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลงนะครับ
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ไม่น่ารักเลยจริงๆ
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
[Impression] Senn HE90 Orpheus vs Stax O2 MkI, MkII.5
สมัยเมื่อยังเด็กผมชอบอ่านเรื่องราวเทพนิยายกรีกจากต่วย'ตูน(พิเศษ)มาก หลายต่อหลายเรื่องก็น่าจดจำหลายต่อหลายเรื่องก็น่าลืมแต่ทุกเรื่องเท่าที่ผมจำได้ล้วนจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมแทบทั้งสิ้นอันเป็นจุดขายของเทพนิยายกรีกเลยก็ว่าได้ยกเว้นเรื่องราวของเพอร์ซีอุส(Perseus)เท่านั้นที่ค่อนข้างจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง อีกเรื่องที่ยังพอจำได้ลางๆ ก็คือเรื่องราวของออฟีอุสผู้ที่ใช้ความสามารถทางดนตรีของตนโกงความตายที่เกิดแก่ภรรยาของเค้า
เรื่องคร่าวๆ มีอยู่ว่า ในวันแต่งงานของออฟีอุส(Orpheus)และยูรีไดซ์(Euredice)ระหว่างที่เดินทางมางานเธอได้เจอเทพารักษ์ครึ่งคนครึ่งแพะที่เรียกว่า satyr โผล่มาทำให้นางตกใจวิ่งหนีไปเจอรังของงูพิษแล้วงูนั้นก็ได้กัดเข้าที่ข้อเท้าจนนางถึงแก่ชีวิต พอออฟีอุสมาเจอร่างของนางเข้าก็ทำให้เค้าแทบจะคลั่งเพราะว่าเค้ารักเธอมากๆ ดังนั้นเค้าเลยทำสิ่งที่เค้าทำได้ดีที่สุดก็คือเล่นดนตรี แต่การเล่นดนตรีของออฟีอุสนั้นต่างจากคนอื่นตรงที่ว่าพอเค้าเล่นแล้วสิ่งมีชีวิตเทพหรือมนุษย์รวมไปถึงสรรพสัตว์จะตกอยู่ในภวังค์ของเสียงเพลงที่บรรเลงออกมาดังนั้นเค้าจึงใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้เป็นบัตรผ่านเปิดทางลงไปสู่โลกแห่งความตายตามความเชื่อกรีกที่มีเฮดีส(Hedes)เป็นผู้ปกครอง
ด้วยบทเพลงที่บรรเลงกล่่อมจนสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก(น่าจะถูกต้องกว่า)ที่มีหน้าที่ป้องกันผู้ที่ยังไม่ถึงที่ให้ลอบเข้าไปและไม่ให้พวกที่เข้าไปแล้วหนีออกมานั้นเคลิ้ม จนไปถึงวังแห่งเฮดีสและชายาเพอซิโฟเน่(Persephone)เพื่อขอต่อรองให้ปลดปล่อยวิญญาณของที่มีภรรยาสุดรักมาให้เค้า ด้วยอำนาจแห่งเสียงเพลงวิเศษส่งผลให้เฮดีสและภรรยายินดีจะทำตามคำขอของออฟีอุสโดยมีข้อแม้อยู่ว่า "ระหว่างที่กลับออกไปนั้นให้ออฟีอุสเดินนำวิญญาณของยูรีไดซ์ออกไปโดยห้ามหันกลับมามองจนกว่าจะขึ้นไปถึงพื้นโลก" ซึ่งออฟีอุสก็ยินดีทำตามข้อแม้นั้นโดยดุษฎี จากนั้นเค้าก็เริ่มบรรเลงเพลงแล้วก็เดินย้อนกลับออกไปโดยมีวิญญาณของยูรีไดซ์ลอยตามมา พอขึ้นมาถึงพื้นโลกอารามดีใจทำให้ออฟีอุสรีบหันกลับไปมองภรรยาสุดรักซึ่งขณะนั้นยังไม่พ้นเงาความมืดของโลกแห่งความตายของเฮดีสดังนั้นจึงส่งผลให้นางต้องกลับลงไปสู่โลกแห่งความตายอีกครั้งซึ่งคราวนี้เค้าเองก็ไม่สามารถจะกลับลงไปช่วยนางได้อีกตลอดกาล..
นั่นก็คือเรื่องราวคร่าวๆ ของนักดนตรีฝีมือเทพออฟีอุสที่เสียงเพลงที่เค้าบรรเลงสามารถจะกล่อมให้ผู้ที่ได้รับฟังตกอยู่ในภวังค์จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และตรงนี้เองคงเป็นที่มาของหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์ของ Senheiser ที่มีชื่อรุ่นว่า Orpheus นั่นเอง..
ย้อนหลังกลับไปสมัยที่เข้าร่วมทีมสติแตกกับคุณคิม peeradonn ก็ได้แต่ใฝ่ฝันว่าวันนึงคงจะมีโอกาสได้ครอบครองหูฟังสติแตกที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกหรือไม่ก็ขอลองฟังเป็นบุญหูซักครั้งนึง แต่ฝันก็คือฝันเพราะว่าโอกาสที่จะมีคนปล่อยออกมาให้ได้ประมูลกันบนอินเตอร์เน็ทก็ไม่ค่อยมี จะให้ไปขอซื้อต่อจากผู้ที่มีครอบครองราคาค่าตัวก็เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงก็ได้แต่เก็บความอยากไว้ในใจเงียบๆ พร้อมกับข้อสงสัยและข้อกังขาว่า "มันจะดีจริงอย่างที่เค้าว่ากันเลยหรือ"
กระทั่งวันหนึ่งมีเทพบุตรขี่ม้าขาวของประเทศได้ไปเอาหูฟังเทพตัวนี้มาจากเมืองนอกพร้อมทั้งยังใจดีจะเอาไปให้พี่ๆ น้องๆ นักเล่นหูไปฟังกันในงาน Canjoin ครั้งแรก พอทราบข่าวก็นึกในใจว่าเมื่อมีหูระดับนี้มาให้ได้ฟังกันแล้วก็สมควรที่จะมีแอมป์ตัวที่สามารถขับให้หูเทพตัวนี้ฉายแสงออกมาได้เลยตัดสินใจเอาแอมป์ตัวที่ผมเองคิดว่าน่าจะผ่านเกณฑ์ไปใช้เข้าคู่กัน ซึ่งมาถึงวันนี้ก็สมดังที่ได้ตั้งใจไว้คือแอมป์และหูฟังได้ไปช่วยกันมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับพี่น้องนักเล่นหูกันมาแล้วในงานที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณคุณพี่ kiertijaib ที่เมตตามากๆ และถือได้ว่ามีบุญคุณกับวงการหูฟังของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบหูฟังตัวนี้ให้ไปแสดงตัวในงาน Canjoin#1 และต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนทำให้งานครั้งที่ผ่านมาสำเร็จลงไปได้ด้วยดีครับ
มาวันนี้ความฝันที่ผมมีมานานหลายปีก็ได้เป็นความจริงเสียทีกับความคิดที่อยากจะฟังหูฟังสุดเทพตัวนี้ซักครั้งหนึ่ง หลังจากใช้เวลากับมันอยู่พักใหญ่เลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันเผื่อว่าใครที่ไม่ได้ไปลองฟังในงานอาจจะพอเห็นภาพของหูฟังตัวนี้ที่มีชื่อรหัสรุ่นว่า HE90 Orpheus ตามชื่อของสุดยอดนักดนตรีในตำนานกรีกได้บ้างไม่มากก็น้อย
อุปกรณ์ที่ใช้ร่วม:
Sources: iMac, CDT100 DAC: WEISS DAC202 Clock: Antelope Isochrone OCX
Cans: STAX Omega II MkI, MkII.5 Amp: Woo Audio WES Maxxest, McIntosh MC275 SPKs: Maggie 1.6QR
รูปลักษณ์ภายนอก: ตัวกรอบของไดอะแฟรมและตัวแผ่นไดอะแฟรมของ HE90 ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของหูฟังเป็นทรงรีไม่เหมือนกับของ STAX ตระกูลโอเมก้าที่เป็นวงกลม ซึ่งโดยการออกแบบทำให้บุคลิกเสียงของหูฟังทั้งสองตระกูลแตกต่างกันพอสมควรส่วนจะแตกต่างกันอย่างไรขอเอ่ยถึงในช่วงท้าย เท่าที่ทราบแผ่นไดอะแฟรมซึ่งเป็นตัวให้เสียงออกมาขอ HE90 นั้นมีความบางมากเป็นพิเศษไม่เหมือนกับหูฟังสติแตกรุ่นอื่นๆ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบมากๆ อย่างหนึ่งที่ทำให้หูฟังรุ่นนี้กลายเป็นตำนานของวงการหูฟังนี่ยังไม่รวมถึงจำนวนการผลิตที่มีทำออกมาในจำนวดจำกัดหรือเป็น Limited Edition เพียงแค่ไม่กี่ตัวในโลก
ความประทับใจแรก: เมื่อได้บรรจงเอาออกมาจากกล่องเพื่อสวมหัวลองฟังดูอยากจะบอกว่า"สมแล้วครับที่เป็นตำนานของหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์" เสียงของ HE90 ไม่เหมือนกับหูฟังอิเล็กโทรสแตติคส์หรือที่คุณคิมได้ตั้งชื่อเล่นๆ ไว้ว่าหูฟังสติแตกตัวไหนเลยเท่าที่ผมได้ลองฟังมา ไม่ว่าจะเป็น STAX SR Omega, Omega2 MkI, MkII, MkII.5 ถ้าจะให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเสียงที่ได้ยินไม่เหมือนฟังจากหูฟังแต่เหมือนฟังจากลำโพงแผ่นมากกว่า
ความเบาสบายในการสวมใส่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ HE90 ได้เปรียบหูสติแตกตัวอื่นอยู่บ้าง แต่ที่ทำให้รู้สึกประทับใจมากๆ เลยก็คือความโปร่งของเวทีเสียงที่กว้างออกไปด้านข้างมากๆ และความสะอาดของเสียงที่ออกมาให้ได้ยินที่สำคัญไม่ได้ใช้แรงในการขับมากนัก(ขับง่ายกว่า O2 เสียอีก) อีกอย่างที่ทึ่งก็คือบุคลิกเสียงของ HE90 นั้นเหมือนกับ HD800 มากๆ ครับ ผมเองโชคดีที่เคยลองฟัง HD800 จับคู่กับ WA22 Maxxed ของ Woo Audio มาก่อนซึ่งความเห็นส่วนตัวชุดนี้เป็นคอมโบที่ชอบมากที่สุดชุดหนึ่งจนมีความคิดอยู่ว่าถ้าคิดจะจัดชุดหูฟังไดนามิคก็คงจะเป็นชุดนี้แหละ พอได้มาฟัง HE90 กับ WES ซึ่งเป็นแอมป์สติแตกจากค่ายเดียวกันคือ Woo Audio ที่แอมป์ของเค้ามีบุคลิกเฉพาะคือเสียงคล้ายกันทุกรุ่นทำให้ความรู้สึกแรกที่ได้ฟัง HD800+WA22 กลับมาอีกครั้ง
ผมชอบ Combo HD800+WA22 Maxxed มากๆ และคิดว่าถ้ามีคนถามว่าจะมีแอมป์ตัวใดใหมาใช้กับ HD800 คำตอบที่ผมมีคงจะเป็นคำตอบนี้คำตอบเดียวเพราะชุดนี้ให้เสียงที่ผ่อนคลายฟังสบายโดยเฉพาะเพลงร้องนี่ได้อารมณ์จริงๆ พอได้มาฟัง HE90+WES Maxxed เท่านั้นความรู้สึกชอบคล้ายๆ กันกับที่เคยเกิดกับคอมโบ HD800 ได้กลับมาอีกทีในดีกรีที่เข้มข้นกว่าเพราะว่าคอมโบชุดหลังนี้ได้ให้อะไรมากกว่าชุดแรกมากๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากตัว DAC ที่ใช้ร่วมด้วย เพราะตอนที่ฟัง HD800+WA22 นั้นผมได้ใช้ BADA(berkley Audio Alpha Dac) เป็นต้นทางพอมาครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็น WEISS DAC202+ Antelope OCX Clock ซึ่งทำให้มีความลงตัวมากกว่า ดังนั้นถ้าใครมีคอมโบชุดนี้(HD800+WA22)อยู่ก็ขอให้รู้เลยครับว่าเสียงที่ออกมานั้นแนวเดียวกันกับ HE90+WES หรือไม่ถ้าใครมีแอมป์หลอดที่ให้เสียงอิ่มหนาเนียนและมีพลังสำรองเยอะๆ(คิดว่า minute 300B น่าจะเป็นคำตอบที่ดีมากๆ สำหรับ HD800 เช่นกันตามบุคลิกเสียงของแอมป์หลอดที่ใช้หลอดที่มีขนาดใหญ่ขับ) ถ้าเอามาใช้กับ HD800 ก็สามารถจะเติมเต็มในตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
เสียงสูง: ตรงนี้เป็นอีกอย่างที่รู้สึกอึ้งเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งกริ๊งแรกจาก HE90 ครับ เพราะว่าผมเองไม่เคยได้ยินหูฟังตัวไหนที่ให้เสียงแหลมได้ละเอียดและละเมียดเท่ากับหูฟังตัวนี้เลย เรโซแนนซ์ความสั่นค้างของกระดิ่งที่กังวานต่อเนื่องและพริ้วไหวนี่สุดยอดมาก ผมเองคิดว่าแผ่นฟิลม์ที่นำมาทำไดอะแฟรมซึ่งบางมากๆ ทำให้ HE90 ให้เสียงแหลมได้ละเอียดกว่าหูฟังตัวอื่นๆ
ผมเองได้ทดสอบโดยใช้เพลงหลากหลายแนวทั้งเพลงตลาดที่บางเพลงอัดมาไม่ค่อยดีนักและก็เพลงที่ใช้ทดสอบเครื่องเสียงหลายๆ ชุดเพื่อจะดูว่า HE90 นี้ขี้ฟ้องหรือไม่ เท่าที่ผมได้ลองฟังอุปกรณ์มาหลายๆ ชิ้นถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนมีอาการขี้ฟ้องเสียงแรกที่จะสังเกตได้ง่ายที่สุดก็คือเสียงในย่านสูงๆ นั่นเองซึ่งก็เป็นไปตามคาด HE90 มีอาการขี้ฟ้องอยู่บ้างเหมือนกัน ที่บอกว่ามีอยู่บ้างก็เพราะว่าด้วยความละเอียดของเสียงในย่านสูงที่มีทำให้ความแข็งของเสียงแหลมจากเพลงที่อัดมาไม่ดีถูกเกลาลงไปด้วยส่วนหนึ่งแต่ยังไงก็ทำให้ฟังออกว่ามันแข็งไม่ได้พริ้วแบบซีดีหรือจากไฟล์เพลงที่ริปมาดีๆ
ความเป็นดนตรี มิติ บรรยากาศ เวทีเสียงและอื่นๆ : HE90 ให้ความเป็นดนตรี(ความเข้าใจส่วนตัวของผมก็คือเมื่อฟังแล้วสามารถจะซึมซับรับรู้อารมณ์ของท่วงทำนองของบทเพลงได้)ได้สูงมาก เมื่อเปิดฟังแล้วสามารถฟังไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีความรู้สึกอยากจะ skip หรือเปลี่ยนเพลงเลยแม้แต่น้อยแต่ว่าเหมาะสำหรับฟังแบบจริงจังมากกว่าฟังแบบผ่อนคลาย เสียงของ HE90 ค่อนข้างสมจริงมีความถูกต้องสูง(ไม่อยากจะใช้คำว่า flat เพราะว่าโดยทั่วไปเมื่อพูดถึง flat มักจะนึกถึงเสียงติดแห้งและออกแข็งหน่อยๆ กัน)ผมว่า HE90 เหมาะมากๆ ครับที่จะใช้ในสตูดิโอรับรองได้ว่าได้ยินเสียงไม่มีตกหล่นแม้แต่เศษเม็ดเพลง ตรงนี้หายากครับหูฟังที่ให้ความเที่ยงตรงค่อนข้างสูงและในขณะเดียวกันก็ทำให้อยากฟังต่อไปเรื่อยๆ เพราะเท่าที่เจอมานี่มักจะให้ได้ไม่ทางใดก็ทางนึงไปเลย
บรรยากาศของ HE90 ให้ออกมาได้ชัดมากครับฟังเพลงแสดงสดให้เสียงที่ออกมาสดจริงๆ ทั้งความก้องสะท้อนของฮอลล์หรือว่าจากผนังห้องอัด ที่เด่นกว่าหูตัวอื่นก็คือความสะอาดของเสียงและความสงัดของฉากหลังซึ่งเป็นตัวเสริมให้รับรู้บรรยากาศของเพลงได้เป็นอย่างดี ส่วนเวทีเสียงและมิตินั้นออกไปทางแนวระนาบได้ด้านกว้างมากกว่าทางด้านลึก ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าเวทีคล้ายๆ กับเป็นลูกหนำเลี๊ยบแต่ตำแหน่งของเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆ นั้นแม่นยำดีจริงๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากการใช้ Clock จากภายนอกมาต่อใช้ร่วมกับ DAC
มาถึงตรงนี้ขอแวะมาคุยเรื่อง Clock นิดนึงนะครับเพราะส่วนตัวเองไม่มีศรัทธากับอุปกรณ์ชนิดนี้เลยเพราะไม่คิดว่ามันจะมีผลอะไรมากมายเกี่ยวกับเสียง แต่พอได้เอา clock ในระดับกลางๆ มาลองใช้กับชุดที่ใช้ฟังเพลงประจำแล้วพบว่ามีผลพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะตัว clock เท่านั้นแม้แต่สายและชนิดของหัวที่ทำมาใช้ต่อกับสาย sync ระหว่าง clock กับ DAC ก็มีผล ผมเองก็เกือบตกม้าตายกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันคือช่วงแรกที่ได้ clock มาใช้ร่วมกับระบบผมทดลองเอาสายเงินที่ใช้เป็นสาย DIGITAL อยู่ที่บ้านมาเปลี่ยนหัวเป็น BNC โดยหาซื้อมาจากร้านที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการสื่อสารมาลอง ผลปรากฎว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้มกับเงินที่ได้จ่ายค่า clock เลยแม้แต่น้อยจึงตัดในซื้อสายที่ค่อนข้างใช้ได้คือสาย DIGITAL ของ Oyaide กับหัว BNC ยี่ห้อเดียวกันมาเข้าคู่ผลปรากฎว่า clock ตัวเดิมพึ่งมาแผลงฤทธิ์เอาตอนนี้นี่เอง(ขอไม่พูดถึงเรื่องทางเทคนิคเกี่ยวกับสัญญาณนาฬิกานะครับเหตุเพราะว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ฮ่า..)
แม้ว่าโดยทฤษฎีว่ากันว่าถ้ามี world clcok ใช้อยู่ใน DAC อยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องหา clock มาเพิ่มกับระบบแต่พอได้ลองกับตัวเองพบว่ามันมีผลเหมือนกันและไม่ใช่อุปทานด้วยเพราะว่าให้คนอื่นๆ มาลองฟังเทียบกันระหว่างใช้ clock กับไม่ใช่ clock ก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ที่เปลี่ยนแปลงไปเท่าที่ผมเองสังเกตได้ก็คือเมื่อตอนที่ใช้ clock จากภายนอกตำแหน่งของเครื่องดนตรีต่างๆ จะนิ่งขึ้น มิติหน้าหลังชัดเจน มีความนวลของขอบเสียงเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า clock ภายนอกไม่ใช่ส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องหามาใช้แต่ถ้าเรามีความพึงพอใจกับอุปกรณ์ของเราอยู่แล้วและมีคิดว่าอยากจะเติมอะไรเพิ่มเติมให้กับมัน clock จากภายนอกเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับการนี้
มิติหน้าหลังของ HE90 ฟังออกได้ไม่ยากโดยไม่ต้องเพ่งเลยแม้แต่น้อย แม้จะให้รับรู้ความลึกและระดับระยะระหว่างเครื่องดนตรีชิ้นหน้าและหลังไม่เท่ากับลำโพงแผ่นที่ผมมี( Maggie 1.6QR) แต่ถือว่าทำได้ดีมากๆ เมื่อเทียบกับหูฟังด้วยกัน ตัว HD800 และหูฟังตระกูลโอทูทุกซีรี่ย์ที่ทำได้ใกล้เคียงแต่ยังไงก็ตาม HE90 เหนือกว่าอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด
เวทีของ HE90 ค่อนข้างจะล้ำมาด้านหน้าไม่ถอยไปด้านหลังเหมือนตระกูลโอทูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกรุกเข้ามาจนอึดอัดนักเพราะความโปร่งของเสียงที่เข้ามาชดเชย ด้วยความลำ้หน้าของเวทีแบบนี้ถ้าใครที่เป็นแฟนเพลงแจ๊สหรือว่าคลาสสิคัลน่าจะชอบประกอบกับไดนามิคที่ดีทำให้ HE90 ฟังเพลงแจ๊สได้อารมณ์จริงๆ ฟังเพลงคลาสสิคหรือว่าสกอร์ประกอบภาพยนตร์ก็เยี่ยม แต่ถ้าเอามาฟังเพลงอคูสติคที่มีเครื่องดนตรีน้อยๆ ชิ้นในแนวที่ฟังสบายๆ เอาเพลินๆ แบบบอสซ่าหรือเพลงป๊อบตลาดๆ ทั่วไปไม่ค่อยดีนัก
เสียงกลาง : เสียงกลางของ HE90 ไม่หวานเลยแม้แต่น้อยครับแต่ว่ามีความน่าฟังอยู่ในที หลายๆ ท่านอาจจะงงว่า "เอ๊ะ ยังไง หากว่ากลางไม่หวานแล้วมันจะน่าฟังตรงไหน" ที่ว่าน่าฟังก็เพราะว่าแม้เสียกลางจะไม่หวานแต่ก็มีความสมจริงอยู่ ตรงนี้ต้องการเพลงที่อัดได้ค่อนข้างดีมาเป็นตัวเสริมเพราะว่าด้วยความนวลตรงขอบเสียงกลางที่ HE90 นำเสนอนั้นจะแสดงฤทธิ์ออกมาได้เมื่อเพลงที่ใช้ฟังอัดมาค่อนข้างสมบูรณ์และพิถึพิถัน เสียงนักร้องออดอ้อนหรือว่าแผดขึ้นมาตอนโหนเสียงเป็นยังไงนี่สมจริงดีมากครับเนื้อเสียงหนาๆ ของนักร้องผิวสีก็พอดิบพอดีไม่ล้นเกิน โดยเฉพาะเสียงเครื่องเป่านี่สุดยอดครับตรงนี้ O2 สู้ไม่ได้เลย อีกอย่างก็ความฝืดของเครื่องสายจากคันสีนี่มันบาดเข้าไปในอกเลยตอนฟังเสียงเชลโลนี่ทำเอาเศร้าได้เลยทีเดียว
เสียงต่ำ : HE90 ให้ไดนามิคและรายละเอียดของเสียงต่ำได้ดีมากครับ ตำแหน่งและจุดกำเนิดของเครื่องดนตรีที่ให้เสียงต่ำแม่นยำ จังหวะของเพลงที่ดำเนินก็เป๊ะมากๆ ไม่มีหนืดเพลงที่ควรจะเร็วก็เร็วจะช้าก็ช้า แม้ว่าปริมาณของเสียงต่ำกลางๆ ขึ้นมาสูงจะไม่มากนักทำให้ขาด impact หรือแรงปะทะไปบ้าง(ตรงนี้เป็นจุดเด่นน้อยของแผ่นไดอะแฟรมบางๆ แต่ผมเองคิดว่าน่าจะชดเชยได้ด้วยพื้นที่หน้าตัดที่เพิ่มขึ้น) ความต่อเนื่องของเสียงต่ำขึ้นไปหากลางถือว่าทำได้ดีเพราะแม้ว่า impact จะน้อยแต่ก็ไม่มีความรู้สึกเลยว่าขาดแรงปะทะ
เทียบกับหูสติแตกตระกูล O2 อีกสองรุ่น : ถ้าใครที่ยังไม่ได้ลองฟังหูฟังทั้งสองตระกูลนี้ในงานที่ผ่านมาอยากจะสรุปให้ได้อ่านกันสั้นว่า เสียงของทั้งคู่ไปกันคนละทางเลยจริงๆ ไม่สามารถที่จะนำมาเทียบกันได้แต่ว่าไหนๆ ก็มีอยู่ในมือก็คงต้องลองเอามาเทียบกันดูไม่อย่างนั้นข้อมูลเกี่ยวเนื่องก็จะไม่ครบทำให้ประกอบการตัดสินใจได้ยาก จริงๆ ก็ไม่ยากหรอกเหตุก็เพราะว่า HE90 คงจะหาซื้อกันได้ยากหรือจะพูดว่าหาซื้อไม่ได้ก็คงจะไม่ผิด(เฉพาะคนที่มีงบเกินพอ)
บุคลิกของ HE90 ออกโทนสว่าง สด และให้เสียงที่เร็ว ส่วนหูฟังในตระกูล O2 ค่อนข้างจะติดหนืด ออกโทนอุ่น และติดมืดอยู่พอสมควรซึ่งก็ต่างกันไปตามรุ่นที่ออกมาจำหน่าย
SR Omega เสียงออกอุ่นน้อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับ Omega รุ่นอื่นๆ รุ่นนี้ใกล้เคียงกับ HE90 มากครับแต่ว่ายังไงก็สว่างและโปร่งไม่เท่า(จากความรู้สึก) และให้ความถูกต้องของเสียงได้ค่อนข้างสูง
Omega 2 MkI สำหรับรุ่นนี้คล้ายๆ กับ SR Omega แต่ออกอุ่นมากกว่า อีกอย่างที่เป็นจุดที่เด่นน้อยหน่อยของ O2 MkI นี้ก็คือเวทีแคบนิดนึงแต่มีดีในทางด้านลึก layer หน้าหลังทำได้ค่อนข้างดี เสียงค่อนข้างจะออกมาในโทนหูฟังมอนิเตอร์คือไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่ง ฟังได้อารมณ์สบายๆ เจือด้วยความถูกต้องของเสียงที่มีให้ค่อนข้างมาก
Omega 2 MkII คล้ายๆ กับ O2 MkI เพียงแต่ว่าเพิ่มความถี่ต่ำกลางและสูงมาให้ดังนั้นเมื่อฟัง O2 MkII จะรู้สึกว่าฟังได้สนุกกว่า เสียงกลางมีความน่าฟังมากกว่า แต่ว่าเสียงต่ำกลางค่อนข้างจะกระพือทำให้เสียงติดแกว่งๆ จนมีการคิดค้นสูตรโมดิฟายให้เสียงดีขึ้นในวงการนักเล่นหูชาวตะวันตกโดยการอุดช่องว่างระหว่างสายนำสัญญาณกับแผ่นไอดะแฟรมแบะปรับระดับสปริงรองใต้ฟองน้ำให้สูงขึ้น ซึ่งก็ทำให้เสียงที่ได้หลังการ mod ออกมาน่าฟังใช้ได้เลยทีเดียว
Omega 2 MkII.5 ที่เรียกว่า MkII.5 ก็เพราะว่ามีการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้ามาเล็กน้อย(ไม่ทราบว่าปรับปรุงอะไรมาบ้างรบกวนท่านผู้รู้มาเพิ่มเติมด้วยจะขอบคุณมากๆ ครับ) เท่าที่ลองเสียงยังน่าฟังอยู่คล้ายๆ กับรุ่นก่อนหน้าแต่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือความแกว่งของเสียงต่ำและชิ้นดนตรีมีน้อยลงได้อารมณ์ค่อนมาทางรุ่น MkI อยู่นิดๆ ถ้าจะฟังเอาสบายๆ รุ่นนี้ดีมากๆ ครับส่วนตัวผมเองถ้าไม่ติดว่ามี MkI อยู่แล้วนี่คงจะไม่พลาดที่จะสอยรุ่นนี้มาเก็บไว้ฟังเพลงแน่นอน
สรุป : ด้วยระยะเวลาประมาณหนึ่งวันที่ได้มีโอกาสได้ฟังหูฟังในฝันของผมแบบค่อนข้างเต็มที่ก็ขอบอกว่า "สมแล้วครับที่เป็นสุดยอดหูฟังในตำนาน" เพราะไม่ว่าจะพิจารณาในด้านใดก็แทบจะหาข้อติได้ไม่เจอยกเว้นราคาที่สุดขีดมากๆ อีกอย่างก็คือเวทีที่ค่อนข้างล้ำมาข้างหน้าอยู่บ้างทำให้เวลาที่ฟังในระยะเวลานานๆ ไม่ค่อยดีนัก ตรงนี้อาจจะพอดีเมื่อใช้กับแอมป์ที่มีการปรับแก้ตรงส่วนนี้มาแต่ด้วยแอมป์คู่บุญ HEV90 ที่ใช้หลอดเล็กหลายๆ หลอดมาขับผมว่าไม่น่าจะช่วยให้เวทีถอยหลังไปได้ แม้ว่าแอมป์ WES และชุดหลอดที่ติดตั้ง(Tele EL34+Mullard 6SL7)ที่ใช้ในการฟังครั้งนี้จะให้เสียงที่ค่อนข้างจะผ่อนคลายอยู่พอสมควรแต่ก็ยังรู้สึกล้าเมื่อฟังผ่านชั่วโมงที่สองไปไม่เหมือนกับหูฟังตระกูล O2 ก็หวังว่า SR 009 ที่กำลังจะออกมาจะให้เสียงที่ใกล้เคียงกับ HE90 ได้
สำหรับใครที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบแน่นอน HE90 ให้ท่านไม่ได้แน่แต่สำหรับตัวผมถือว่าหูฟังรุ่นนี้ทำได้ดีมากใกล้เคียงมากๆ ดังนั้นราคาค่าตัวของมันย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ก็ไม่น่าจะขึ้นไปสูงถึงขนาดนี้(คหสต.)
Opheus เป็นหูฟังที่ให้เสียงใกล้เคียงกับการฟังจากลำโพงแผ่นมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ฟังมา ตรงนี้ผมเองไม่ได้อนุมานแต่ว่าได้ลองฟังเทียบกันจริงๆ ผ่านต้นทางและสายสัญญาณชุดเดียวกันต่างกันตรงแอมป์และลำโพงปลายทางเท่านั้น ซึ่งถ้าใครคิดจะออกแบบหูฟังที่ให้เสียงได้แบบนี้หรือใกล้เคียงกับมันผมว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีหูฟังตัวไหนเข้ามาเป็นตำนานแทน HE90 ในอนาคตแต่ว่าอย่างไรก็ตาม"เมื่อได้เป็นตำนานแล้วก็ยังคงจะเป็นตำนานต่อไป" แม้จะมีตำนานใหม่เกิดขึ้นแต่ของใหม่ยังไงคุณค่าก็สู้ของเก่าที่ทำไว้ดีแล้วคงจะยากยกเว้นจะเอาของเดิมมาปัดฝุ่นใหม่โดยจับหลักการให้ได้แล้วใช้เทคโนโลยีปรับปรุงเพิ่มเติมคุณภาพเข้าไป
ทำให้ผมนึกถึงระบบการศึกษาของบ้านเรายุคก่อนที่มองคุณค่าของความเป็นครูและให้ความสำคัญกับตรงนั้นค่อนข้างมากจนเป็นอันรู้กันว่าสุดของของคนเก่งต้องไปเป็นครู แต่พอมาช่วงหลังๆ มีการลดความสำคัญตรงนี้ลงคล้ายๆ ว่าต้นทุนของผู้ที่จะมาเป็นครูถูกลดคุณค่ากลายมาเป็นวิชาชีพชั้นสองแทนจนสุดท้ายกลับกลายมาเป็นปัญหาให้กับระบบการศึกษาของไทยไปในที่สุด เพราะ"หาใครมาเป็นบุคคลต้นแบบให้กับคนในบ้านเมืองไม่ได้" ตรงนี้คล้ายๆ กับการออกแบบหูฟังเหมือนกันที่ช่วงหลังมาลดต้นทุนการผลิตลงโดยมองข้ามคุณภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตลงไปทำให้ของที่น่าจะใช้เป็นมาตรฐานได้กลับเสียคุณค่ากลายเป็นของบ้านๆ ไปเสียนี่
ขอบคุณที่อดทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ ขอบคุณพี่เกียรติชัยที่เมตตาเอาหูให้ผมได้มาลองฟัง ขอขอบคุณคุณคิมที่นำผมเข้ามาสู้เส้นทางสติแตก(แต่เจือด้วยความสุข)เส้นนี้พร้อมทั้งช่วยประสานงานในเรื่องต่างๆ ให้ ขอบคุณคุณเจ็ทที่เอาหู MkII.5 มาให้ลอง ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการฟังเพลงครับ
My Sennheiser HE90 Orpheus impression
First of all I'd like to say that I've been dreaming to listen to the legendary "Orpheus" since I'm begin to fall for headphones few years back, seem to me everyone I knew always mentioned these cans as the best electrostatics cans ever made, so once I have my chance from the HE90's owner khun kiertijai (appreciated for your kindness) I took my opportunities to try HE90 along with my faithfully O2 MkI and the lastest version of STAX O2 MkII from Thailand STAX's distributor, so here comes my brief impression on these three statics headphone in comparison.
System set up:
Cans: Sennheiser HE90, STAX O2 MkI, MkII.5
Sources: iMac(iTunes with Amarra 2.1.1), Sttello CDT100
DAC: WEISS DAC202
Clock: Antelope Isochrone OCX
Amp: Fully upgraded Woo Audio WES with telefunken EL34 and Mullard 6sl7, McIntosh MC275
SPK: Maggie 1.6QR
Lets begin with limited one, Sennheiser HE90 has transparency, neutral, precisely PRaT and never heard any cans has beautifully highs as HE90 before, no wonder why everybody praised about it.
To me HE90 bring the musics came to live, felt like listen to nice Electrostatics or Ribbon Speakers instead of headphone. The headstage is wider than any statics or dynamics I had listened including the good headstage cans like sennheiser HD800, HE90 also shares the same sonically character with HD800 as well(listening session with Woo Audio WA22 fully upgraded), as far as I can say it's definitely not the cans for relaxing moment alone with yourself after work, it's neutrality and accurate frequency response drew my attentions during listening session so I guessed among other purposes, to use the cans in studio would be the main designated reason.
For now STAX O2 MkI is the only statics I own, an O2 serves me well daily for hours with it's recess round shape headstage, warmer sounding and nice depth presenting, I wouldn't mind it's narrow headstage because an electrostatics transparency doesn't give me any pressure around my head as some dynamic closed-cans does. MkI has slightly fuller mids and upper-lows than HE90 but couldn't compete on the upper-ends and layering.
I used to own STAX O2 MkII before sold it out right after I've got my MkI and that doesn't means I didn't like it, I loved it, O2 MkII is a good electrostatics cans, promisingly musical with punchy bass unlike others statics, the only flaw I had with it is the bloating mid-lows which could be fix by Spritzer's mod, but stills I preferred MkI sounding. When the STAX's distributor here in Thailand Jet Live Audio asked me "would u like give the new O2 MkII( some called it O2.5) a try?" I accepted, after few hours I quite satisfied with it I'd say an O2.5 came close to MkI on neutrality but still fun to listen, the mid-lows weak point has been fixed by STAX's new diaphragm.
My conclusions: According to the Greek mythology even though "Orpheus" has failed to bring his beloved Eurydice back from the death but the Sennheiser "Orpheus" could bring my music collection back to live. Orpheus is not the cans to die for but as a head-fier you have to listen to it before you die, the HE 90 deserved it's legendary.
Comparing to an O2s with my woo WES, Orpheus is easier to drive, O2s has mellowing mids, punchy slammer lows but HE90's thinner diaphragm excel O2s on the upper, wider stage and transparencies, of course an O2s are transparent but it's like covered your camera's lens with soft filter they will lost some resolutions but give you warmer feeling instead.
SR Omega is the most neutral STAX I had listen long time ago, O2 MkI is the most neutral Omega2 and for now O2.5 is the one that I like, hope an upcoming SR009 would give me more.
So which one to choose? you'd asked, I'd say it's depends on your taste there is no right or wrong about it, to me if "Money is not a problem" HE90 Orpheus will be my choice, SR009 could be better but yeh.. what do I know.
Have fun listening guys, thank you for reading this far.
วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554
(500) Days of Summer
ส่วนที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ของผมคงเป็นการเดินเรื่องที่เปรียบเทียบช่วงเวลาที่หวานชื่นกับขมขื่นไปพร้อมๆกันได้อย่างลงตัวผสานกับเพลงประกอบเพราะๆ ทั้งเรื่องทำให้ดูได้เพลินๆ มีแทรกอารมณ์ขันเข้ามาเป็นระยะๆ เรื่องนี้ไม่เชิงว่าเป็น romantic comedy แต่ก็ทำให้มีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปากได้เกือบทั้งเรื่อง การกำกับศิลป์ของเรื่องก็เจ๋ง มุมกล้อง, องค์ประกอบการตัดต่อมีหลากหลายแบบมากเหมือนพี่ผู้กำกับกำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่แต่ก็ทำออกมาได้เข้าท่ามิเสียแรงที่เคยทำสารคดีของนักร้องวงดนตรีดังๆ มาก่อน
นักแสดงก็เลือกมาเล่นได้สมบทบาทดีครับขอเริ่มจากน้อง zooey ก่อนก็แล้วกัน จะว่าไปน้องเค้าก็เล่นหนังมาเยอะพอสมควรหลายๆ เรื่องก็เป็นหนังในดวงใจของผมแต่ส่วนมากเธอมักจะถูกฉากหลังดูดทำให้จมหายไปในจอเลยไม่โดดเด่นออกมาเท่าที่ควรแต่ไม่ใช่กับ (500)days of Summer เรื่องนี้่ zooey น่ารักมากๆ ครับโดยเฉพาะรอยยิ้มของน้องเค้า(zooey เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ้มยาก หลายๆ เรื่องที่เธอเล่นนี่แทบจะไม่มีบทยิ้มเลยก็ว่าได้) เครื่องแต่งกายภายในเรื่องก็เข้ากับบุคลิกและรูปร่างของเธอเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากหลังๆ ในวันที่เกือบๆ 500 ของเรื่องเธอเล่นออกมาทางดวงตาได้ยอดเยี่ยม(ตาของเธอมักจะเศร้าอยู่ตลอดไม่ว่าจะเล่นหนังเรื่องใดก็ตาม)
Joseph Gordon-Levitt พระเอกของเรื่องนี่ก็คงจะไม่อาจจะบรรยายอะไรได้มากนักเพราะเท่าที่ได้ติดตามผลงานของเค้ามาผมว่าเค้าเหมาะกับฉายา"ดาราร้อยบทแต่หน้าตามีอารมณ์เดียว"เหมือนกับคีอานูรีฟแถมหน้าคล้ายๆ กันด้วย ตอนที่แสดงใน inception นี่ดูเผินๆ เหมือนเอาคีอานูมาเล่น ส่วนหนึ่งผมว่าอาจจะติดมาจากสมัยที่เค้าเล่นซีรี่ย์ดัง 3rd Rock from the Sun เมื่อยังเด็กอยู่ซึ่งบทของเรื่องไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่มาเรื่องนี้บทได้เปิดโอกาสให้เค้าแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงซึ่งพอเพมาะพอดีกับบทของคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองใครลากไปไหนก็ไหลไปทางนั้น
ตัวประกอบทุกท่านก็รับส่งบทได้ลื่นดีแม้บางคนจะออกมาไม่กี่ฉากแต่บทก็กระจายให้เด่นได้ถ้วนหน้าไม่มีตกหล่น ที่โดดเด่นพอเข้าตากรรมการมั่งก็ Chloe Moretz ที่รับบทเป็น้องพระเอกที่ช่วงหลังมานี้คงอยู่ในช่วงขาขึ้นมีหนังทำเงินที่เธอแสดงอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน อีกไม่กี่วันหนังภาคต่อ Kick-Ass 2 ของเธอก็คงจะเข้าโรง ส่วนเพื่อนพระเอกอีกสองคนก็เล่นได้ลื่นดีถ้าไม่มีสองตัวละครนี้หลายๆ ฉากคงจะฝืดเลยทีเดียว
ใครยังไม่ได้ดูลองหามาดูครับ อาจจะเดินเรื่องไม่เหมือนกับหนังวัยรุ่นหนุ่มสาว Boy meets Girl ทั่วไปแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ให้มุมมองเปรียบเทียบระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้ลึกกว่าหนังแนวนี้โดยทั่วไปอยู่บ้างเหมือนกัน ขอปิดท้ายด้วยคำพูดของผู้บรรยายที่นึกจะโผล่ขึ้นมาก็โผล่ออกมาเป็นระยะๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์และสีสันของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างนึงเลยก็ว่าได้ว่า
"Most days of the year are unremarkable. They begin, and they end, with no lasting memories made in between. Most days have no impact on the course of a life..."
"วันที่ผ่านไปของปีส่วนใหญ่ไม่มีอะไรพิเศษ มันเริ่มขึ้นแล้วก็จบ ไม่มีเรื่องอะไรทิ้งไว้ให้จดจำ วันส่วนใหญ่ไม่มีผลกระทบอะไรกับทิศทางชีวิตของเรา.."
แต่วันพิเศษๆ ที่มีผลกระทบกับชีวิตของเราก็มีอยู่เช่นเดียวกัน วันที่จะมีเรื่องราวสำคัญๆ ให้เราได้จดจำไปทั้งชีวิต วันที่จะกำหนดทิศทางชีวิตของเรา ดังนั้นเลือกให้ดีว่าจะให้วันนั้นๆ มีผลกระทบกับตัวเราไปในทางไหนทางบวกหรือว่าในทางตรงกันข้าม "ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนกำหนด ไม่ใช่โชคชะตาหรือฟ้าลิขิต" ผมเชื่ออย่างนี้นะ
ในเรื่องผมชอบเพลงนี้ครับ
วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554
The Fighter ชีวิตต้องสู้
The Fighter: ชีวิตต้องสู้
กระแสจากออสการ์ในช่วงนี้ยังไม่จางหาย(สำหรับผม)เพราะว่าอยากจะตามดูภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนี้มาแต่ว่าผมเองยังไม่ได้ดู ซึ่งรางวัลแห่งเกียรติยศนี้ในปีหลังๆ มักจะถูกคนวิจารณ์กันว่าให้รางวัลขัดกับสายตาเหลือเกินหรือไม่ก็หนังที่ได้รางวัลดูยากไม่รู้ว่าจะสื่ออะไร
ผลงานทางศิลปะบางทีถ้าจะให้เข้าใจมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับที่ผู้สร้างได้บรรจงทำขึ้นมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ว่าก็ว่าเถอะนะแม้แต่นักวิจารณ์เองก็ไม่ใช่เซียนที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินหรือรู้ใจสรรพสัตว์ทุกๆ ชีวิตในโลกนี้ได้ทั้งหมด อย่างมากด้วยประสบการณ์เมื่อดูโทนสีมุมมององค์ประกอบก็บอกได้เพียงแต่ส่วนหนึ่งผมว่าไม่น่าจะเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ของภาพในใจผู้ที่ทำผลงานชิ้นนั้นๆ ออกมาไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพวาด ภาพถ่ายหรือว่าภาพยนตร์ แต่ที่แน่ๆ ที่รู้อยู่ก็คือศิลปินหรือว่าอาร์ติสนี่ร้อยทั้งร้อยล้วนแต่เจ้าอารมณ์ทั้งสิ้นเพราะกว่าจะสร้างผลงานออกมาได้แต่ละชิ้นก็วาดวิมานในอากาศกันก่อนแล้วก็เค้นมันออกมาให้เป็นชิ้นงานโดยมีหลักการผสมอยู่ในเบื้องต้นแล้วก็มีอารมณ์เป็นตัวดำเนินงานจนสำเร็จเสร็จออกมาเป็นงานศิลป์ให้เราได้มานั่งดูและชื่นชมกันในที่สุดดังนั้นเรื่องเครียดไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าศิลปินท่านนั้นๆ จะมีวิธีระบายความเครียดเหล่านั้นออกไปได้อย่างไรแค่นั้นเองซึ่งแต่ละท่านก็จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล(ตรงนี้น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียวไม่รู้มีใครเคยทำวิจัยไว้บ้างหรือเปล่า)
เพราะถ้าคิดจะเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จคำว่า"ตัวกูของกู"ต้องชัดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้มีทิฏฐิถือเนื้อถือตัวแต่ว่าต้อง"รู้จักตัวเอง"ว่าเราเป็นใครพื้นฐานที่มีเกิดมาได้อย่างไรถนัดในด้านไหนแล้วคิดจะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ยังไงอย่างนี้ถึงจะแน่ "ให้รู้ตัวไม่ใช่ให้ถือตัว"คำวิจารณ์ที่ได้รับก็เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เราสามารถจะต่อยอดพัฒนาตัวเองไปได้ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟัง ซึ่งถ้าถือตัวเองว่าเราแน่เมื่อไหร่ก็จบชีวิตได้ตรงนั้นเลยเพราะมันจะเดินไปต่อข้างหน้าไม่ได้
ส่วนตัวผมชอบ The King's Speech ที่ได้เขียนเล่าความประทับใจไปเมื่อเดือนก่อนพอมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ได้ดู Black Swan ที่ Natalie Portmanเล่นเป็นตัวเอกแล้วก็ได้รางวัลดารานำหญิงไปครองในที่สุดเมื่อดูจบแล้วก็เห็นความทุ่มเทของเธอในหลายๆ ด้านเพราะส่วนตัวผมชอบเธอมาตั้งแต่เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกคือ Leon the Professional คู่กับฌอง เรโนเมื่อตอนอายุสิบสอง(ถ้าจำไม่ผิด)แล้วก็แสดงต่อเนื่องมาสิบแปดปีจนกระทั่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ซึ่งตัวเธอเองเป็นนักแสดงที่เลือกภาพยนตร์เล่นหลากหลายแนวมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูดทั้งหนังทำเงินและหนังเอากล่อง เพราะฉะนั้นด้วยประสบการณ์ที่มีมาเกือบยี่สิบปีรางวัลดารานำหญิงสำหรับปีนี้ก็ให้เธอไปเถอะเพราะเธอเล่นได้ขอใช้คำว่า"ถึง"กับบทนังแสดงบัลเล่ต์ที่แสวงหาคำว่า"สมบูรณ์แบบ"ได้ดีจริงๆ แล้วทำไมตัวละครที่เธอแสดงนั้นมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่นั้นแต่ละคนที่ไปดูผมว่าน่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปแน่นอนซึ่ง คหสต. ผมว่าก็ถูกด้วยกันทั้งนั้นแหละเห็นหลายๆ คนมาเถียงกันเอาเป็นเอาตายในเรื่องแบบนี้ไม่เห็นมันจะได้อะไรขึ้นมาผมว่าเปิดใจรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเอาข้อมูลมาแบ่งกันให้คนอื่นได้รับรู้มุมมองของเราในอีกแง่มุมนึงซึ่งบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่เคยคิดนั้นดีกว่าตั้งเยอะ
วันที่มอบรางวัลออสการ์ผมก็นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบแม้จะไม่ค่อยโอเคกับการยัดเยียดโฆษณาแฝงของทาง Star Movie ที่เกินไปหน่อยจนตัดเอาสัมภาษณ์นักแสดงที่มาร่วมงานไปเยอะพอสมควรในส่วนของการเดินพรมแดงเข้ามาในโกดักเธียร์เตอร์ซึ่งถือว่า red carpet นี้เป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของการประกาศผลรางวัลออสการ์แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะทำสถานีโทรทัศน์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก(แต่ก็แอบงงๆ อยู่นิดหน่อยว่าเราก็จ่ายค่าบริการในการรับชมนะ)
พอมาถึงขั้นตอนพิธีในการประกาศผลรางวัลก็ว่าไปกันตามลำดับที่จัดเรียงไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ที่น่าสังเกตก็คือปีนี้มีการเอายกเอาครอบครัวของนักแสดงท่านต่างๆ ส่วนหนึ่งมาเป็นจุดเด่นของงาน รวมไปถึงครอบครัวของพิธีกรคู่ขวัญในงานที่มาปล่อยมุกได้น่ารักน่าชังใช้ได้เลยทีเดียว ซึ่งก็น่าชื่นชมทางผู้จัดนะครับเพราะว่าการที่บุคคลจะประสบความสำเร็จขึ้นมาได้นั้นต้องมีครอบครัวสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมือนเป็นเบาะนุ่งมารองรับเวลาตกต่ำเป็นเหมือนกำแพงคอนกรีตคอนผลักดันไปข้างหน้าเวลาท้อถอย ดังนั้นการที่จะยกเรื่องของครอบครัวทั้งพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าลุงน้าขึ้นมาเป็นสิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง มาถึงตรงนี้ผมนึกถึงคำขอบคุณของนาตาลี พอร์ตแมนตอนขึ้นมารับรางวัลที่ว่า
"I want to thank my parents, who are right there, first and foremost for giving me my life and for giving me the opportunity to work from such an early age and showing me everyday how to be a good human being by example."
โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกคนเลยก็ว่าได้ ถ้าใครมี"พ่อแม่ที่ทำตัวที่ดีเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตผมว่าเด็กคนนั้นมีชัยไปเกินกว่าครึ่งชีวิต"แล้ว
มาถึงตรงนี้ก็ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันครับเพราะมัวแต่พล่ามยาวมาอาจจะทำให้หลายๆ ท่านที่กรุณาเข้ามาอ่านรำคาญได้ สาเหตที่ต้องร่ายยาวมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่าประเด็นของ The Fighter ที่ผมเองเมื่อดูจบแล้วสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือคำขอบคุณของนักแสดงท่านต่างๆ ที่ขึ้นมารับรางวัลบนเวทีออสการ์ในวันนั้นที่ทุกท่านจะต้องกล่าวถึง"ครอบครัว" ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แง่คิดมุมมองในตรงนี้ได้ชัดเจนจริงๆ ที่ว่าคนเราจะรุ่งหรือว่าจะร่วงก็มีครอบครัวนั่นแหละเป็นตัวช่วยกระตุ้น บทของเรื่องเล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวของนักสู้ชีวิตในเมือง Lowell ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมเมืองหนึ่งแห่งมลรัฐ Massachusetts ทางฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมลรัฐนี้คนส่วนมากจะรู้จักแต่เมือง Boston ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งเช่น Harvard, M.I.T หรือ Massachusetts Institute of Technology
หนังเปิดเรื่องที่ช่องโทรทัศน์ HBO มาทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของอดีตนักชกดาวรุ่งพุ่งลงจนดับคนหนึ่งที่ชื่อว่า Dickie Eklund ซึ่งเคยเป็นหน้าตาของเมืองเล็กๆ แห่งนี้จนถึงขนาดที่ว่าให้ฉายาพี่ท่านว่า"ความภาคภูมิใจแห่งเมืองโลวล์" The Pride of Lowell ที่ให้ฉายาแบบนั้นเพราะนักมวยโนเนมคนนี้ได้น็อคนักมวยในตำนานท่านหนึ่งที่ชื่ือว่า Sugar Ray Leonard ลงได้แล้วทำให้ตัวเค้าเองก็หลงติดอยู่กับอดีตในตอนโน้นโดยไม่ได้มองดูเลยว่าสภาพของตนเองในตอนนี้เป็นอย่างไร ด้วยบทของ Dick Eklund นี่เองที่ส่งผลให้ Christian Bale อดีตนักแสดงเด็กดาวรุ่งคนหนึ่งของวงการสมัยที่เค้าแสดงในภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมเรื่องหนึ่งของโลก Empire of the Sun ที่กำกับโดยพ่อมดแห่งวงการมายา Steven Spielberg แล้วก็แทบจะหายเข้ากลีบเมฆไปจนกลับขึ้นมายืนบนแท่นอีกครั้งในวงการนี้ในบทของมหาเศรษฐี Bruce Wayne ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins ซึ่งใน The Fighter นี้ Bale เล่นได้ไม่เหลือมาดผู้ดีจนคนดูเชื่อว่าคนนี้นี่เป็นกุ๊ยสมบูรณ์แบบจริงๆ ตอนที่พิมพ์ความประทับใจใน the King's Speech นั้นผมเองยังไม่ได้ดูเรื่องนี้พอดูจบก็บอกตัวเองว่า "สมควรแล้วที่ Bale ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชาย"แห่งปี
เมื่อพูดถึงรางวัลนักแสดงสมทบชายก็ไม่สมควรที่มองข้ามรางวัลนักแสดงสมทบหญิงซึ่ง The Fighter ก็มีเข้าชิงรางวัลกันสองท่านซึ่งก็คือ Amy Adams และMelissa Leo ซึ่งตัวละครที่ทั้งสองท่านแสดงในเรื่องนี้เล่นกันได้ดิบและธรรมชาติดีมากทั้งคู่แต่ว่าด้วยบทที่ต้องเล่นกับอารมณ์ที่หลากหลายมากกว่าของ Leo ทำให้เธอได้รับรางวัลดาราสมทบหญิงไปในที่สุด และตอนนี้เธอเองก็ได้เป็นตำนานของออสการ์ไปแล้วเนื่องจากตอนที่ขึ้นไปรับรางวัลเธอได้ทิ้ง "F Bomb" ลูกเบ้อเริ่มไว้บนเวทีทำเอาคนดูอึ้งไปตามๆ กัน
ส่วนดารานำชายที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าไปชิงรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้คือ "Marky Mark" Wahlberg มือแร็บในดวงใจคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นน้องชายของDonnie Wahlberg อดียบอยแบนด์วงแรกของโลก N.K.O.T.B ที่ตอนหลังหายไปจากหน้าสื่อไป แม้จะออกมาปรากฎตัวในภาพยนตร์และซีรีย์ดังๆ หลายเรื่องเช่น The Six Sense, Ransom, Saw, Band of Brothers แต่ก็ไม่สามารถทำให้เค้าเข้ามายืนในแนวหน้าได้แบบน้องชาย จะว่าไปชีวิตของ Marky Mark นั้นคล้ายๆ กับชีวิตของบท Mickey Ward ที่เค้าได้รับในเรื่อง The Fighter อยู่เหมือนกัน แม้ว่าบทนี้จะเปิดโอกาสให้เค้าได้แสดงอารมณ์ได้หลากหลายมากกว่าทุกเรื่องที่เคยเล่นมาและตัวเค้าเองก็เล่นได้เป็นธรรมชาติแบบสุดๆ แต่ว่าบทนี้เด่นสู้บทของ Colin Firth จาก The King's Speech ไม่ได้แค่นั้นเอง ถ้าปีนี้ Colin ไม่ได้รับการเสนอชื่อตัวของ Marky Mark คงจะมีโอกาสที่จะได้ครอบครองรางวัลออสการ์ในสาขาดารานำชาย
บทของเรื่องนี้เขียนได้ไหลลื่นและมีความลึกดีมากๆ และด้วยมุมกล้องที่สุดเทพ(เทพจริงๆ ขอบอก ผมชอบมากกว่ามุมกล้องของ The King's Speech เสียอีก) เป็นมุมกล้องธรรมดาๆ ที่เน้นความดิบและสมจริงเป็นหลักเหมาะมากๆ สำหรับการนำเสนอเรื่องจริงๆ ของคนจริงๆ ออกมาให้เราได้ดู โดยเฉพาะมุมกล้องที่ผมขอเรียกว่า"มุมตอดและมุมทิ้ง"ซึ่งผู้กำกับภาพเหมือนจะรู้เลยว่าคนดูกำลังมองดูตรงจุดไหนของภาพพี่เค้าก็เลยตอดให้ดูนิดนึงในจังหวะที่ทิ้งกล้องตอนเปลี่ยนมุมซึ่งการที่จะทำได้อย่างนี้นี่ผู้กำกับภาพต้องเข้าใจคนธรรมดาที่เรียกว่ามนุษย์จริงๆ ถึงเล่นมุมกล้องแบบนั้นได้
ผมอยากจะให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ดูลองไปหามาดูครับเนื้อหาอาจจะหนักไปซักนิดแต่ว่ารับรองว่าดูจบจะไม่มีอะไรค้างในใจ ส่วนตัวผมว่าได้อารมณ์หนัง feels good แบบของค่าย GTH บ้านเราอยู่เหมือนกันซึ่งจะว่าไม่่น่าจะเป็นไปได้เพราะพี่ท่านเล่นใส่ความดิบมาตลอดเรื่องแต่ David O. Russell ผู้กำกับและทีมงานสามารถทำได้ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ Bale และ Mark นั่งคู่กันนี่ทำให้พระเอกกลายเป็นพระรองกันเลยทีเดียว พอตอนรายชื่อทีมงานขึ้นมาจะมีคลิปเล็กๆ ให้เราได้ดูกันซึ่งคลิปนี้แหละที่ผมว่ามีส่วนอย่างมากทำให้ Bale ได้รับรางวัลดาราสมทบชายทั้งๆ ที่เค้าเองไม่ได้อยู่ในคลิปเลย ส่วนในคลิปนั้นจะมีเรื่องราวอะไรให้ได้เราดูกันก็อยากแนะนำให้หามาดูนะครับถ้ายังไม่ได้ดูสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ The Fighter ภาพยนตร์สำหรับคนสู้ชีวิตผ่านบทที่เค้นชีวิตและนักแสดงที่ทุ่มชีวิตแสดง
สำหรับเรื่องนี้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ดิบสมจริงแต่ Feels Good"
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับผม
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
127 hours
วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554
จากแกรมมี่ถึงออสก้าร์
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สัญชาตินั้นสำคัญไฉนหนอ..
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
[ความประทับใจ] Burlesque หรือว่านี่คือ Coyote Ugly รีเมค
ได้ดูภาพยนตร์เพลงอีกเรื่องที่ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คิดไว้นิดนึงคือ Burlesque ที่พึ่งได้รับรางวัล Best Original Song จากเวทีลูกโลกทองคำมาจากนักร้องสาว(เหลือ)น้อยเสียงใหญ่ Cher ซึ่งห่างหายจากจอไปนาน จะว่าไป Cher เป็นนักร้องคนนึงที่มีฝีมือการแสดงในระดับที่ดีซึ่งจะว่าไปก็หายากอยู่เหมือนกัน มาเรื่องนี้ Cher ได้ประกบกับนักร้องสาวอายุคราวลูก Christina Aguilera ซึ่งก็พึ่งเห็นเธอแสดงหนังนี่แหละแต่ก็ถือว่าสอบผ่านแบบสบายๆ กับบทที่เธอได้รับซึ่งไม่ได้ต้องแสดงอารมณ์อะไรหลากหลายนักนอกจากร้องและเต้นตามรูปแบบของภาพยนตร์ประเภทนี้
สำหรับบทนั้นถ้าใครชื่นชอบภาพยนตร์แนวเดียวกับ Coyote Ugly(เป็นภาษาอินเดียนอ่านว่า ไคโยตี้ มิใช่ โคโยตี้)ซึ่ง plot ก็คือเด็กสาวบ้านนอกหนีเข้ามาในกรุงเพื่อไล่ตามฝันของตนส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็คงจะเดาได้ไม่ยากส่วนตัวว่ามันคล้าย Coyote Ugly เกินงามไปนิดนึงทั้ง plot หลักและรองแต่ยกประโยชน์ให้จำเลยในส่วนของโปรดักชั่นซึ่งทำได้ดีนะในสายตาของผมทั้งฉากและเครื่องแต่งกายทำออกมาได้ครบเครื่องของการแสดงที่เรียกว่า Burlesque ซึ่งก็คือการแสดงลิปซิงก์ประกอบการเต้นในท่าทางที่ยั่วยวนและแต่งตัวโชว์เนื้อหนังนั่นเอง
เพลงประกอบเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของเรื่องเพลงดีมากทุกเพลงเลยก็ว่าได้ครับเปิดฟังกับหูฟังนี่ทำเอาเพลินลืมเวลาเลยทีเดียว เสียงที่อัดมาในหนังก็อัดมาดีมากขอชมทีมงานผสมเสียงของโซนี่ครับ เสียงต่ำแน่นลึกดี เสียงแอมเบี๊ยนในฉากของบาร์ก็สมจริงดีมากๆ โดยเฉพาะไฟในเพลงปิดเรื่องนี้ชอบจริงๆ จัดไฟง่ายมากๆ แต่คนเล่นไฟฝีมือไม่ธรรมดาทำให้ไฟธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดาได้ ส่วนเสียงร้องเพลงของสองเสือสาวแห่งวงการเพลงทั้งสาวใหญ่ Cher และสาวน้อย Christina Aguilera ถือได้ว่าร้องได้มาตรฐานอยู่แล้วทำให้ไม่แปลกใจที่สองเพลงจากทั้งสองท่านนี้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Original Song ของลูกโลกทองคำ
สรุป: ใครมีเวลาแล้วอยากดูหนังที่ไม่ต้องคิดอะไรมากนักเน้นฟังเพลงและดูไฟประกอบฉากประกอบที่จัดได้ดี พร้อมทั้งให้แง่คิดเล็กน้อยกับชีวิตที่น่าเบื่อนี้บ้างก็หามาดูเถอะครับไม่เสียดายตังค์แน่นอน
ส่วนที่ชอบจริงๆ ของบทในเรื่องนี้ก็คือความเป็น"นักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง"(ไม่อยากเรียกว่าฉวยโอกาสเพราะจะกลายเป็นภาพในเชิงลบ)ของนางเอกนี่ประทับใจครับ ดูจบนึกถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบลท่านนึงซึ่งก็คือ Muhamed ElBaradei ที่ไม่ยอมนั่งงอมืออมนิ้วเท้ารอโอกาสแต่รู้จักสร้างโอกาสให้กับชีวิตของตนจนเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกคือได้รับรางวัลโนเบลในที่สุด และอีกหนึ่งบทบาทที่ท่านได้บินมาเข้าร่วมกับผู้ชุมนุมจำนวนหลายแสนหรืออาจจะเป็นเรือนล้านพลิกประวัติศาสตร์อียิปต์บ้านเกิดในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เพราะคำปราศรัยของเค้าผ่าน youtube ทำเอาคนรุ่นใหม่ออกมาเดิมร่วมกับเค้าที่จัตุรัส Tahrir จนเกินควรเกินคาดซึ่งทำให้เกิดสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นที่ประเทศอียิปต์
เพียงคนๆ นึงที่รู้จักสร้างโอกาสให้กับตนสามารถทำให้เกิดสิ่งยิ่งใหญ่ขึ้นได้ไม่เหมือนคนอีกจำนวนมากที่มักจะรอคนเอาโอกาสมาหยิบยื่นให้ ซึ่งรอให้ตายก็คงไม่มีใครมอบให้หรอกนอกจากจะสร้างขึ้นเอง...
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังและฟังเพลงครับ