วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Hails the dog
ท่านเปรยๆ ว่าสุนัขที่ดีต้องรู้จัก
๑. เห่า คอยเตือน
๒. หอน ต้อนรับเวลานายกลับ
๓. เฝ้า เวลาไม่อยู่ก็ช่วยดูแลทรัพย์สิน หรือคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างกายตอนนายอยู่
๔. ปรึกษาหารือ เห็นดีไปกับนายทุกเรื่อง
เลยมานั่งนึกๆ ตรองตามเอาตาประสาคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ว่า อืม.. จะว่าไปคุณสมบัตินี้ก็คล้ายๆ กับคนที่ทำหน้าที่ติดตามอยู่ใกล้ผู้ใหญ่เช่นกันคือ
๑. เห่า เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นต้องรู้จักให้สัญญาณ และต้องรู้เวลาไหนควรพูดเวลาไหนควรเงียบ
๒. หอน นายมีคุณงามความดีอะไรสมควรจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้บ้าง เป็นการยกย่องเชิดชูผู้มีพระคุณ
๓. เฝ้า คอยดูแลรักษาสมบัติให้นายหรือว่าองค์กร ไม่ดูเบาปล่อยผ่านเรื่องที่อาจจะเกิดปัญหาที่บางทีได้ยินผ่านหูมา
๔. ปรึกษาหารือ เป็นที่ไว้ใจรับฟังทุกเรื่องแต่ก็ต้องมีเหตุผลกำกับด้วย และเสนอความคิดเห็นบ้างตามโอกาสที่เหมาะสม หรือไม่ก็ตอนที่นายถาม
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
[Review] WEISS DAC202
สืบเนื่องมาจากความสงสัยส่วนตัวแท้ๆ ที่ว่า DAC รุ่นใหม่ล่าสุดของ weiss ซึ่งรุ่นพี่(ออกมาก่อน)คือ wiess Minerva ได้ไปสร้างชื่อที่เวป computeraudiophile ให้ได้กล่าวขานว่าเป็น DAC ที่ดีที่สุดในโลกมาแล้วว่าเสียงจะดีขนาดไหนเชียว เมื่อเกิดความสงสัยก็ไม่คิดว่าจะรอให้ใครมาบอกเพราะ"สิบปากว่าไม่เท่าตาดู สิบตาดูไม่เท่าสองหูฟังเองในเรื่องของเครื่องเสียง" ก็เลยต้องรบกวนท่านผู้ที่คุณก็รู้ว่าใครอีกครั้งนึงเพื่อขอหยิบยืม DAC ตัวเล็กๆ ขนาดพอดีมือนี้มาลองฟังดู ท่านผู้ใจดีท่านเดิมก็ดีใจหายเช่นเคยส่งมาให้ได้ลองฟังเพื่อเป็นประสบการณ์ทางด้านเสียงเพิ่มให้กับคลังเก็บส่วนตัวอีกหนึ่งรายการก็ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้อีกครั้งครับ
ส่วนตัวเองเชื่อว่าสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้แปลงสัญญาณดิจิตอลมาเป็นอนาล็อคหรือที่เรียกกันว่า DAC(Digital to Analog Converter) นั้นในระดับราคาสูงๆ คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่มากนักยกเว้นเรื่องของรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นตามค่า sampling rate ที่หลังๆ มาอัพกันขึ้นไปน่ากลัวมากๆ โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบเสียงของไฟล์ความละเอียดสูงๆ มากเท่าไหร่เนื่องจากค่อนข้างจะติดใจในเสียงสไตล์เก่าๆ แบบอนาล็อคที่ฟังแล้วมันอินกับเพลงได้ง่ายกว่าเสียงในสไตล์รุ่นใหม่ที่ฟังแล้วคมชัดไม่มีตกหล่นเหมือนดู TV LED Hidef เทียบกับดูหนังที่ฉายออกมาโดยตรงผ่านแผ่นฟิล์มอย่างไรอย่างนั้น แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปถ้าไม่เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาก็คงจะไม่ใช่ยิ่งมาทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าการฟังเพลงในรูปแบบของ music server ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างเต็มตัวแล้ว ผมเชื่ออย่่างนั้นนะ(เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน)
อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
Source: iMac 27" รุ่นโบราณแต่ก็ถือว่าทำงานได้เยี่ยมอยู่ ต่อผ่าน port firewire 800 อย่างเดียวเท่านั้น เล่นกับ Amarra+iTunes
Audio interface: Metric Halo ULN-2 รุ่นเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากคนๆ นึงที่ชื่อว่า Kent poon
สาย Firewire: Audioquest รุ่นกลางๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าทำหน้าที่ได้ไม่บกพร่องเลย
สาย DIGITAL : AES/EBU ของ ซิ่งแหลก( Xindak ) รุ่น บ่อมิไก๊(เจ้าของสอบถามว่าจะเอาจริงหรือตอนที่สั่งซื้อเพราะว่ามันแพงคนไม่ซื้อกัน เค้าว่างั้นนะ) โมหัวท้ายเป็น furutech rhodium, Oyaide จากร้านบอมบอม (ประกอบได้เยี่ยมมากว่ากันว่าเสียงกินสายราคาแพงกว่าหลายเท่าได้)
amp&cans: Woo Audio Maxxest, STAX O2 MkI, L3K, HD800, ED8
DAC: weiss DAC202, Berkeley Audio Design Alpha DAC (BADA)
ความประทับใจแรก: เสียงของ weiss DAC202 นั้นสดชัดเจนแล้วก็สะอาดมากๆ เท่าที่จำได้คิดว่าสะอาดมากกว่า DAC ทุกตัวที่เคยได้ลองฟังมาก็ว่าได้ครับ บุคลิคเสียงออกสดเร็วไดนามิคดีเช่นเดียวกับ DAC รุ่นใหม่ๆ ทั่วไป ที่สำคัญที่สุด wow factor ของ DAC ตัวนี้อยู่ที่ความเป็นสามมิติของเวทีเสียง
การเชื่อมต่อ: DAC202 เป็น DAC ที่ให้ช่องทางเชื่อมต่อมาทางด้านหลังเครื่องได้ครบครันมากๆ ตัวนึงในท้องตลาดเช่นเดียวกับรุ่นพี่ที่เคยสร้างชื่อไว้คือ ในส่วนของทาง DIGITAL ให้มาทั้ง Firewire, AES/EBU in/out(ใช้เป็น audio interface ได้ทันที), SPDIF Coax, แล้วก็ขั้วเชื่อมต่อสัญญาณนาฬิกาจากภายนอก ส่วนทางฝั่ง Analog ก็ให้ขั้วต่อ out แบบ XLR และก็ RCA มาให้ได้เลือกใช้ตามอุปกรณ์ที่เรามีอยู่แล้ว
ข้อด้อยในส่วนของการเชื่อมต่อคือตำแหน่งของขั้ว firewire กับขั้ว IEC ไฟขาเข้านั้นอยู่ชิดกันมากๆ ถ้าใครใช้สาย firewire กับสายไฟอย่างดีๆ ที่มีหัวค่อนข้างใหญ่จะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน อาจจะติดคงจะต้องเลือกตัวใดตัวนึงเอาไว้หรือไม่ก็เอาหัว IEC มาโมดิฟายซึ่งก็สามารถทำได้ถ้าต้องการ
ความเป็นดนตรี รายละเอียด บรรยากาศ มิติและเวทีเสียง: ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของ DAC ตัวนี้ก็ว่าได้เพราะเนื่องจากว่าส่วนตัวใช้ BADA อยู่ซึ่งก็นับได้ว่าเป็น DAC ตัวนึงที่ให้ตำแหน่งของเวทีเสียงค่อนข้างจะดีมากๆ อยู่แล้วแต่เนื่องจากว่าการทดสอบในครั้งนี้นั้นเน้นตรงที่ต่อกับ computer เป็นหลักดังนั้นส่วนหนึ่งซึ่งมีผลมากแบบสุดๆ ก็คือ audio interface ในที่นี้ก็คือ ULN-2 ซึ่งส่งผลเป็นอย่างมากในเรื่องของเสียงโดยรวมๆ ของระบบ
เมื่อลองเปิดเพลง classical เท่าที่มีอยู่กับสกอร์ประกอบภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่เด่นมากๆ คือ Gladiator ของ Erich Kunzel: Cincinnati Pops Orchestra ที่เอาไว้ทดสอบเรื่องของเวทีเสียง มิติและรายละเอียดได้ค่อนข้างดี เมื่อค่อ DAC202 เข้าไปในระบบแล้วเปิดเพลงนี้ขึ้นมาครั้งแรกเสียงที่ได้นี่ทำเอาแปลกใจไปเลยเพราะเรื่องจากว่าจาก BADA ที่เคยคิดว่าจำลองเวทีมาดีมากๆ พอมาเจอ DAC202 แล้วต้องบอกว่าแพ้ไปเลยก็ว่าได้ คหสต. คิดว่าเนื่องจากว่า DAC202 ไม่ต้องต่อผ่าน interface สามารถจะต่อตรงเข้ากับ iMac ได้เลยทันที ถ้าไม่นับเรื่องของความสะดวกแล้วขั้นตอนการเชื่อมต่อที่สั้นทำให้ได้เปรียบตัวอื่นที่ต้องต่อผ่านตัวกลางอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ตรงนั้นเป็นจุดเด่นมากๆ ของ DAC202 ซึ่งก็คิดว่า DAC ตัวนี้ทำออกมาเพื่อสาวกลุงจ็อบแท้ๆ เลยทีเดียวเนื่องจากว่าใช้ firewire ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ Mac มาเป็นตัวเชื่อมต่อหลัก(จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มีเหมือนกันแต่เนื่องจากว่าผู้เขียนใช้แต่ Mac ก็เลยขอแอบโฆษณาหน่อย)
เวทีเสียงของ DAC202 ให้ตำแหน่งที่แม่นยำไม่คลุมเครือคือเรียกได้ว่าไม่ต้องเพ่งฟังก็สามารถบอกได้เลยว่าเครื่องดนตรีชิ้นไหนอยู่ตรงไหน ทำให้สามารถดื่มด่ำไปกับบทเพลงไปได้ในขณะเดียวกันก็นำเสนอความถูกต้องของตำแหน่งเครื่องดนตรีได้ไม่มีคลาดเคลื่อน เนื่องจากว่าฟังจากหูฟังทำให้ตำแหน่งเวที(Head stage)ไม่เป็นไปในแนบระนาบตรงอยู่ด้านหน้าเหมือนฟังจากลำโพงซึ่งสามารถจะนำเสนอเรื่องของเวทีได้ชัดเจนมากกว่าที่เรียกว่า Sound Stage แต่ออกจะโค้งคล้ายๆ กับวงกลมไปรอบหัวทำให้หูฟังบอกเรื่องของเวทีได้ค่อนข้างยากแต่จากประสบการณ์ที่มีอยู่นิดหน่อยไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเอาไปใช้กับชุดลำโพงเวทีเสียงจะออกมาสมจริงได้เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับลำโพงตั้งพื้น
DAC202 ให้เสียงค่อนข้างจะ laid back ถอยไปข้างหลังนิดๆ ทำให้ฟังแล้วค่อนข้างผ่อนคลายไม่ดุดันเหมือนรุ่นพี่คือ weiss minerva แม้จะฟังจากหูฟัง DAC ตัวนี้ก็นำเสนอเรื่องของเวทีได้ดีมาก มิติหน้าหลังเป็นสามมิติเป็นชั้นๆ ไม่มีบังกันแม้แต่น้อยเพราะความสะอาดของเสียงที่ให้มา ยิ่งมาฟังกับเพลงที่อัดมาแบบสดๆ หรือว่าเพลงในรูปแบบของการแสดงสดด้วยแล้วทำให้บรรยากาศที่นำเสนอออกมานั้นสมจริง เสียงของเครื่องเป่าทองเหลืองชนิดต่างๆ ที่แผดขึ้นมาพร้อมๆ กันนั้้นจะให้บรรยายออกมาคงลำบาก แต่บอกได้เพียงแต่ว่าความเป็นดนตรีมีสูงมากทำให้เสียงที่ออกมามีลีลาเหมือนผ้าแพรพริ้วเมื่อโดนลมคือมีหนักเบาสูงตำ่อยู่ในที แต่ยังไงก็ตามไม่ใช่บุคลิกของเสียงแบบอนาล็อคแน่นอนเป็นความเป็นดนตรีในรูปแบบของอุปกรณ์ดิจิตอลแต่ก็ถือว่าดีกว่ารุ่นพี่เยอะมากเพราะเสียงของ Minerva ค่อนข้างแข็งไปนิดแต่ตัวนี้ไม่รู้สึกว่าเสียงแข็งเลย แต่ยังไงก็ตามเสียงไม่เหมือนฟังจากแหล่งโปรแกรมที่เป็นอนาล็อคคือแผ่นเสียงเมื่อฟังเพลงเดียวกัน
อีกอย่างที่ค่อนข้างเยี่ยมก็คือเรื่องของรายละเอียดเมื่อฟังเพลงที่อัดมาแบบความละเอียดสูงๆ HRx นั้นมันสุดยอดจริงๆ ต้องลองฟังเลยละครับ(ถ้ามีโอกาส) เพราะถือว่าเป็นการเปิดหูรับฟังไฟล์เพลงรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเป็นมาตรฐานในอนาคต
ความถี่ต่ำ: เรื่องนี้สำหรับวัยรุ่นแล้วปริมาณมาเป็นอันดับแรกส่วนผู้สูงอายุนั้นแม้วาปริมาณจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมากนักแต่ว่าก็ต้องมีอยู่อีกเช่นกันเพียงแต่ความรู้ว่าความต้องการคุณภาพมีมากกว่าแค่นั้นเอง แล้วความถี่ต่ำแบบไหนที่มีคุณภาพล่ะหลายๆ ท่านอาจจะถามซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วผมเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน หุหุ
จากประสบการณ์ส่วนตัวเบสที่มีคุณภาพมากๆ คือเสียงฟ้าร้องกับฟ้าผ่า เสียงฟ้าร้องให้ความถี่ต่ำช่วงกลางๆ ได้ดีให้น้ำหนักมีแรงปะทะที่เยี่ยม เสียงฟ้าร้องเป็นคอนเซ็ปของความถี่ต่ำไล่จากต่ำมากๆ ไปต่ำช่วงกลางจนถึงปลายเสียงในช่วงบนๆ ในตอนที่กำลังคำรามเบาๆ เสียงความถี่ต่ำของฟ้าร้องจะไม่นิ่งเพราะจะมีแรงสั่นสะเทือนตามมาเป็นระลอกหนักเบา ส่วนฟ้าผ่าเป็นเรื่องของไดนามิคและความฉับไวบวกกับแรงปะทะที่หนักแน่นมากๆ ที่เกิดในช่วงเวลาสั้นๆ คหสต. เสียงเบสคุณภาพคือแบบนี้แหละ
อาจจะดูเป็นอุดมคติมากไปหน่อยแต่ว่าเป็นข้อสรุปเท่าที่ผมเองพยายามหาคำตอบออกมาเท่าที่จะคิดได้(เอาไว้บอกตัวเองเท่านั้นครับเพราะไม่อย่างนั้นจะไม่มีมาตรฐานอ้างอิง เพราะเชื่อว่าทุกเรื่องต้องมีเหตุผลรองรับ) เลยตั้งเป็นหลักการส่วนตัวเอาไว้บอกตัวเองว่า เบสคุณภาพต้อง
1. หนัก: แรงปะทะดี(impact) หนัก
2. แน่น: ไดนามิค ความเร็วต้องได้ไม่ช้าหรือเร็วเกิน
3. มีรายละเอียด: มีหนักเบาพร้อมแรงสั่นสะเทือนหรือหางเสียงของเบส(bass resonant)
4. ลึก: ลงได้ลึกให้ความรู้สึกได้
สำหรับ DAC202 นั้นให้สิ่งที่เรียกว่าเบสที่มีคุณภาพ(ตาม คหสต. ผม)ได้ค่อนข้างดี จากการฟังเพลงและแผ่นทดสอบหลายๆ แทร็คพบว่า DAC202 ให้รายละเอียดของเบสได้ดีมาก เสียงจากแหล่งกำเนิดต่างๆ กันเช่นเครื่องเคาะคนละชนิดหรือว่าเสียงจากเครื่องดนตรีที่ให้ความถี่ต่ำออกมานั้นมีรายละเอียดให้ได้รับรู้ถึงแรงกระเพื่อมของแผ่นหนังหรือว่าจากลมที่ผ่านอุปกรณ์ออกมาได้เลย แม้ว่าจะประโคมขึ้นมาพร้อมกันเราก็สามารถแยกแยะได้ว่าชิ้นไหนเป็นชิ้นไหน (gladiator OST: Erich Kunzel: Cincinnati Pops Orchestra, Way down deep: jennifer warnes, Why so seriuos?: Hans zimmer, Holiday: greenday, In my life: TAS The Absolute Sound 2008, Mint interluse: Etc., กับไฟล์ HRx อีกหลายๆ แทร็ค) หลายๆ แทร็คได้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ในจังหวะที่ต้องการเน้นอารมณ์ก็ให้ความเร็วและแรงปะทะของเบสได้เยี่ยมอีกเช่นกัน
เสียงกลาง: โดยส่วนใหญ่แล้วเพลงที่ฟังๆ กันไม่ว่าจะเป็นเพลงในแนวไหนเสียงที่เป็นพระเอก(อาจจะเป็นนางเอกด้วยสำหรับบางแนว)ก็คือเสียงในย่านกลางๆ นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เครื่องสาย หรือเสียงเครื่องเคาะประเภทต่างๆ ชุดเครื่องเสียงชุดใดที่นำเสนอเสียงในย่านนี้ออกมาได้ดีก็แทบจะเรียกได้ว่าจะสามารถซืื้อใจนักเลงเครื่องเสียงได้ตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่ได้ฟังเลยก็คงจะไม่ผิดนัก
ในกรณีของ DAC202 ตัวนี้ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยก็ว่าได้ คหสต. เมื่อได้ฟัง weiss minerva ครั้งแรกที่ไม่ค่อยจะประทับใจมากนักแม้ว่าเสียงจะออกมาดีมากๆ ก็ตามก็คือความถี่ย่านกลางๆ ค่อนขึ้นไปสูงของ minerva ที่ออก digital แท้มากไปนิดนึงทำให้เสียงมีติดกร้าวอยู่บ้าง แต่ว่าก็คงจะได้ปรับการพัฒนามาแล้วในตัวของ DAC202 ทำให้พอฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามีความกร้าวอยู่ในน้ำเสียงแต่ตรงข้ามฟังแล้วค่อนข้างจะผ่อนคลายดีใช้ได้เลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความ laid back ของเวทีด้วยแต่ว่าฟังแล้วได้อารมณ์สดชื่นมากกว่าผ่อนคลาย
แม้ว่าบุคลิกโดยรวมๆ แล้ว DAC202 จะให้เสียงที่ค่อนข้าง flat ตามแบบของอุปกรณ์ในสตูดิโอแต่ก็เป็น flat ที่ไม่แห้งกร้านมีความสดชัดน่าฟังอยู่ ทำให้ฟังเพลงร้องได้ค่อนข้างดี(เด่นไปทางนักร้องหญิงมากกว่านักร้องชาย) หลายๆ ท่านที่หลงเสียงนางครวญอยู่ถ้าได้ฟัง DAC ตัวนี้น่าจะชอบได้ไม่ยากยิ่งถ้าได้จับคู่กับแอมป์หลอดเพื่อเพิ่มความเนียนและต่อเนืองให้เนื้อเสียงด้วยแล้วละก็รับรองได้่ว่าได้เข้าไปอยู่ในห้องฟังบ้านใดก็เปลี่ยนบ้านนั้นให้เป็น auditorium เล็กๆ ได้ในทันใด แม้จะเปิด stand up comedy(Dane Cook: Retaliation) ฟังก็รู้สึกอินไปกับบรรยากาศได้ดีมากๆ เช่นกันกับการฟังเพลงทั่วไป
ธรรมดาถ้าฟัง DAC หรือว่า audio interface ที่ให้เสียงได้ค่อนข้าง flat ส่วนตัวจะรู้สึกว่าเสียงร้องจะออกกรอบๆ (crispy) เพราะความชัดของเนื้อเสียง แต่กับ DAC ตัวนี้ไม่รู้สึกแบบนั้นซึ่งก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เสียงร้องชัดเจนดีแม้จะไม่ได้อารมณ์เนียนมากๆ แบบแผ่นเสียงแต่ก็ถือว่าให้ความเนียนได้ระดับนึง อาจจะเรียกว่าเป็น"ความเนียนแบบดิจิตอล"ก็คงจะได้ครับ
ความถี่สูง: การตอบสนองความถี่สูงของอุปกรณ์ดิจิตอลนี่เป็นจุดที่สามารถทำให้ตกม้ากันตายมาหลายๆ ต่อหลายรุ่นแล้ว โดยส่วนมากถ้าได้ฟังเครื่องเสียงซักชุดนึงเสียงที่จะสะดุดหูได้ง่ายกว่าเสียงอื่นๆ คือเสียงสูงเนื่องจากฟังแล้วจะเด่นนำความถี่อื่นออกมาค่อนข้างมากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสะดุดหูแล้วจะดีเสมอไป
มีเครื่องเล่นบางยี่ห้อที่เคยได้ลองฟังมาให้เสียงสูงที่ค่อนข้างสดชัดมากๆ หลายๆ ท่านฟังทีแรกตามงานแสดงหรือว่าในห้องโชว์เครื่องตามร้านต่างๆ แล้วจะรู้สึกชอบขึ้นมาทันที แต่ว่าจริงๆ แล้วเสียงที่สดชัดสะดุดหูนั้นอาจจะมากไปนิดถ้าฟังไปในระยะเวลาช่วงนึงแล้วอาจจะรู้สึกล้าหูได้ ซึ่งถ้าล้าแล้วยังฟังติดต่อไปอีกก็จะทำให้เครียดมากกว่าผ่อนคลายตรงนี้เป็นข้อความระวังอย่างนึงในการเลือกซื้อ ไม่ต้องรีบร้อนยิ่งถ้าฟังแล้วโดนมากๆ ให้ฟังไปอีกซักพักนึงดูว่ายังรู้สึกโอเคอยู่หรือเปล่า ถ้ายังโอเคอยู่ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารู้สึกล้าหูแล้วละก็ขอให้รู้ว่าอุปกรณ์ตัวนั้นหรือชิ้นนั้นอาจจะไม่ใช่ตัวที่เรากำลังมองหาอยู่
ความถี่สูงของ DAC เป็นจุดที่ทำให้ออกมาดีได้ค่อนข้างยากถึงแม้ว่าจะมีการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ดีๆ มาประกอบเข้าไปก็ตามเพราะข้อมูลที่มีแต่ 0 กับ 1 จะทำให้ออกมาเป็นกราฟที่เป็นเส้นแหลมๆ ขึ้นลงๆ ในช่วงความกว้าง(ความยาวคลื่น)ถี่ๆ จะให้ออกมาฟังแล้วพริ้วเหมือนร่องของแผ่นไวนีลก็คงจะไม่ง่ายนัก ดังนั้นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะฟังเพลงจาก DAC ตัวไหนก็ตามความถี่สูงจะติดแข็งอยู่บ้างมากน้อยอยู่ที่การออกแบบ เมื่อได้ลองเอา DAC202 มาฟังก็คิดว่าก็คงจะคล้ายๆ DAC ตัวอื่นๆ ซึ่งก็คิดไม่ผิดนักแต่ว่าในความเหมือนก็มีความต่างอยู่
ที่ว่าต่างกันคือลีลาในการนำเสนอความถี่สูงออกมาให้มีความหนักเบาอยู่ในเนื้อเสียงอย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นในส่วนของความถี่ต่ำ จริงๆ แล้วจุดเด่นอีกอย่างของ DAC ตัวนี้คือลีลาในการนำเสนอนั่นเอง ทำให้เวลาฟังเพลงแล้วได้อารมณ์เสียงไม่ตายรู้สึกว่าเพลงแต่ละเพลงที่เปิดมันมีวิญญาณอยู่แม้จะไม่เท่าฟังจากแผ่นไวนีลก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่เคยได้ยิน DAC ตัวไหนให้ลีลาในเพลงได้แบบตัวนี้ ยกตัวอย่างเสียงกระดิ่งในช่วงท้ายๆ ของเพลง Gladiator เหมือนกับว่าได้ฟังเสียงกระดิ่งจริงๆ มีความกังวานอยู่หลายระดับตั้งแต่เสียงหลักและโน๊ตที่เกิดจากเรโซแนนท์ของเสียง อีกทั้งระยะใกล้ไกลและน้ำหนักหนักเบาในการเคาะซึ่งตรงนี้แม้พยายามจะเปลี่ยนสายหรือสลับอุปกรณ์ใดๆ (เท่าที่พอมี)ให้กับ DAC ที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่ก็ให้ได้ไม่เท่าแม้ว่าเสียงจะไม่ห่างกันมากแต่ยังไงก็ให้ได้ไม่เท่า ยิ่งฟังแทร็ค Canon in D จากแผ่น The Bose Special Edition Lifestyle Music System CD แล้วจะชัดเจนมากๆ ถือว่าแทร็คนี้เอาไว้ทดสอบรายละเอียดของความถี่สูงได้ดีมากๆ แทร็คนึง เพราะว่าตอนที่เครื่องเคาะชิ้นใหม่ดังขึ้นถ้าเรายังสามารถได้ยินเรโซแนนท์ของเสียงโน๊ตเดิมอยู่ได้ไม่มีบังกันแล้วค่อยๆ เบาลงไปแต่เสียงโน๊ตหลังก็ยังชัดเจนพูดง่ายๆ ก็คือให้"เสียงแหลมออกมาพริ้ว"นั่นเองจึงจะถือว่าใช้ได้
เทียบกับ BADA: ตรงนี้ค่อนข้างลำบากนิดนึงในการที่จะเขียนบรรยายความรู้สึกออกมาเพราะถ้าจะว่าไปข้อมูลทางเทคนิคของทั้งคู่นั้้นแทบจะไม่ต่างกันดังนั้นตรงนี้คงจะอยู่ที่ความชอบส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ตรงนี้เองที่คุยกันค่อนข้างยากในวงการเครื่องเสียงเพราะมีเรื่องของความชอบส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ยังไงก็ตามของดีไม่ว่าใครฟังแล้วถ้ามันดีจริงก็ต้องออกมาดีถูกใจทุกคนที่ได้ฟัง ในกรณีของ DAC ทั้งสองตัวนี้ก็เช่นกันต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่ในระดับราคาของตัวมัน BADA นั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของ DAC ในระดับราคาของมัน DAC202 ก็ถือว่ายืนอยู่ในแถวหน้าในระดับของมัอีกเช่นกัน แต่ว่าพอนำมาเทียบกับแล้ว(โอกาสที่จะได้เอามาฟังเทียบกันได้นี่แทบจะเรียกว่ายากมากๆ เพราะของในระดับนี้การที่เจ้าของจะเอามาให้คนอื่นได้ลองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ต้องขอขอบคุณท่านเจ้าของมาอีกครั้งหนึ่ง)ทำให้พอรู้สึกความแตกต่างได้พอสมควรเลยทีเดียว
โดยสรุปแล้วถ้าใช้ Mac เป็นต้นทางโดยต่อผ่าน firewire แล้วละก็ DAC202 ใช้งานได้สะดวกแล้วก็ให้เสียงที่ดีมากๆ ในตัวของมันเองตรงนี้ BADA ซึ่งต้องมี interface คั่นอยู่สู้ไม่ได้เลยในทุกด้าน แต่ถ้ามี transport แยกต่างหากแล้วเทียบกับโดยผ่านขั้วต่อ digital แบบ AES/EBU หรือว่า SPDIF ก็ตาม คหสต. เสียงแทบไม่ต่างกันเลยแม้ว่า DAC202 จะได้เปรียบเรื่องของความสะอาดในเนื้อเสียงอยู่บ้างแต่ว่าถ้าฟังแบบพิเคราะห์แล้วไม่ต่างกัน ดังนั้นถ้าจะเลือกซื้อ DAC ซักตัวการเชื่อมต่อเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาคิดให้ดีว่าเราใช้งานแบบไหนมากกว่ากัน ถ้าตอบโจทย์ตรงนี้ได้แล้วจะเลือก DAC มาใช้เพิ่มในระบบอีกตัวนึงก็จะช่วยทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นและตอบสนองสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ได้
คหสต. ถ้ามี transport ดีๆ ใช้อยู่แล้ว BADA ก็ตอบสนองความต้องการได้ดีมากพอๆ กับ DAC202 แต่ถ้าเน้นใช้ computer ไม่ว่าจะเป็น OS ไหนก็ตามเป็นต้นทางแล้วละก็ขอให้มี firewire เป็นตัวจ่ายสัญญาณ DAC202 เหนือกว่า BADA ค่อนข้างมากในเรื่องของลีลาการนำเสนอเสียงเพลงออกมา ทำให้ความเป็นดนตรีมีมากกว่า(ในบางแนวเพลง สำหรับบางแนวเพลงอาจจะคมชัดมากไปนิดนึง ตรงนี้ไฟล์ต้นทางมีผลเยอะ) เนื่องจากขั้นตอนในการเชื่อมต่อน้อยกว่าสั้นกว่าดังที่กล่าวไว้แล้วตอนต้น
ภาค headphone amp: ส่วนตัวเคยมีอคติกับภาคเฮดโฟนแอมป์ของ BM DAC1 มาเนื่องจาก คหสต. รู้สึกว่าเหมือนกับใส่มาเป็นของแถมเท่านั้นเพราะว่าคุณภาพเสียงถือว่าไม่น่าประทับใจนัก จากนั้นมาพอมาเห็น DAC ที่ให้ภาคเฮดโฟนติดมาด้วยก็เลยไม่ค่อยอยากจะลองเสียบฟังดูเท่าไหร่เพราะความรู้สึกว่าเป็นของแถมมาให้ก็ยังมีอยู่ แต่พอมานึกถึง audio interface ตัวนึงที่เคยได้ใช้คือ TC Konnnekt 8 ซึ่งภาคเฮดโฟนทำออกมาได้ไม่เลวเลยจึงลองเอาหูฟังมาลองต่อดูเผื่อว่ามีอะไรน่าสนใจเพราะเห็นว่าก็มีคนชมภาคหูฟังของ DAC202 อยู่บ้างเหมือนกัน
หูฟังที่ได้ลองต่อฟังดูก็ได้แต่ Audio-technica L3000, Sennheiser HD800 และก็ Ultrasone ED8 ซึ่งแต่ละตัวก็ขับง่ายยากต่างกันไปตัวที่ขับยากสุดในชุดนี้ก็คงจะเป็น HD800 นั่นเองซึ่งตั้งแต่เคยได้ลองมามีแอมป์แค่ตัวสองตัวเท่านั้นที่คุมอยู่ พอมาทดลองต่อดูก็เป็นไปตามคาดก็คือภาคเฮดโฟนของ DAC202 ยังคุม HD800 ได้ไม่ค่อยดีนัก(สายสต็อค)แต่พอเปลี่ยนเอาสาย APS V3 มาเปลี่ยนแล้วต่อฟังดูอีกทีเหมือนกับว่าคุมได้นิ่งขึ้นแต่ก็ยังถือว่าขับ HD800 ได้ไม่สุดนัก
ไม่ใช่ว่าขับไม่ไหวนะครับตรงนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนที่ว่าไม่สุดก็คือผมเองเคยฟัง HD800 จากแอมป์ที่มีกำลังพอสมควรเช่น RPX300 และก็ WA22 ซึ่งนำมาขับ HD800 ได้ค่อนข้างดีพอเจอแอมป์หูฟังตัวอื่นๆ เลยมีมาตรฐานส่วนตัวที่สูงไปหน่อยเท่านั้นเอง ที่ว่าไม่สุดก็คือผมเองเคยเอาแอมป์หลายๆ ตัวขับ HD800 แล้วถือเอาความถี่ต่ำในบางเพลงเปิดทดลองแล้วเหมือนกับแป่กเป็นเกณฑ์คือไปไม่ค่อยไหว DAC202 ก็เจอกรณีคล้ายๆ แบบนี้เช่นกันเพียงแต่ว่าก็พอไปได้เพียงแต่ว่ามีแกว่งนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าขับออกมาได้ดีเลยทีเดียว
แต่ที่น่าประทับใจก็คือหูฟังที่ขับได้แบบไม่ยากนักเช่น ED8 หรือแม้แต่ L3000 ที่ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ภาคเฮดโฟนแอมป์ของ DAC202 ขับหูฟังเหล่านี้ได้ค่อนข้างโอเคเลย เสียงออก flat มากๆ ฟังๆ ไปก็นึกในใจว่า weiss ที่คุ้นกับการทำเสียงที่ใช้ในสตูดิโอจริงๆ เอาหูตัวไหนฟังก็รู้สึกว่ามันกลางๆ ไปหมดแต่ก็ฟังได้สนุกดี
ใช้เป็น interface: เนื่องจากว่าที่บ้านใช้ ULN-2 เป็น interface ต่อกับ BADA อยู่ก็เลยอยากลองภาค interface ของ DAC202 ดูเนื่องจากไม่มีโอกาสได้ลอง INT202 ที่ว่ากันว่าเป็น interface อีกตัวที่ดีแต่ราคาก็ค่อนข้างสูงเหมือนกัน พอได้เอา DAC202 มาต่อกับ BADA โดยผ่านสายสัญญาณ AES/EBU สองเส้นก็คือ ซิ่งแหลก รุ่นบ่อมิไก๊ กับ Oyaide FTVS-910 ผลออกมาเป็นที่น่าประทับใจเหมือนกัน มีข้อดีขอด้อยต่างกับ ULN-2 เล็กน้อยที่ต่างกันก็คือ DAC202 ให้เสียงสะอาดกว่ารายละเอียดจะดีซึ่งก็เป็นข้อด้อยตรงจุดนี้อยู่ด้วยว่าถ้าสายสัญญาณเป็นเงินก็จะทำให้เสียงสดมากไปหน่อย
ส่วนตัวคิดว่าน่าจะใช้สายทองแดงหรือไม่ก็ผสมถึงจะเข้ากับบุคลิกเสียงของ DAC202 เมื่อเทียบกับ ULN-2 ความอบอุ่นของ ULN-2 มีมากกว่าแต่ว่าฟังๆ ไปเหมือนจะมีม่านหมอกจางๆ คลุมเสียงอยู่ตรงนี้ก็เป็นข้อด้อยของ ULN-2 อีกเช่นกัน แต่ยังไงก็ตามก็ถือว่าทั้งคู่ใช้เป็น audio interface ได้ดีเพราะต่างก็เหมาะสำหรับนำไปใช้ในสตูดิโอเช่นเดียวกัน ความแตกต่างทางด้านเสียงนอกจากจุดที่บอกไปแล้วในเรื่องของมิติหรืออะไรอย่างอื่นไม่รู้สึกว่าแตกต่างกันเลย(เทียบ ULN-2 กับ DAC202 ฟังผ่าน BADA)
สรุป: สำหรับผู้ที่ใช้ Computer เป็นหลักในการฟังเพลงแล้วละก็โดยขนาดแล้วการติดตั้งทำให้ DAC202 ตอบโจทย์ได้ดีมากๆ อีกทั้งเสียงที่ออกมาก็ไม่ธรรมดาอีกด้วยถ้างบถึงตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับ computer audiophile เลยก็ว่าได้
บุคลิกเสียงของ DAC202 แนวเสียงคล้ายกับรุ่นพี่คือ weiss minerva แต่ว่า upgrade มาแล้วคือสด ชัด รายละเอียดเยี่ยมและก็ flat มากๆ ตามแบบของอุปกรณ์ที่เหมาะกับการนำไปใช้ในสตูดิโอซึ่งต้องการความเที่ยงตรงสูง แต่ก็ให้เสียงที่ไม่แข็งหรือหยาบกร้านเลย
ข้อเด่นมากๆ อีกอย่างคือความเป็นสามมิติของเวที ส่วนตัวของผมแล้วตรงนี้ประทับใจผมมากที่สุดทำให้ฟังเพลงออเครสตร้าวงใหญ่ได้อารมณ์ดีจริงๆ อีกทั้งลีลาความพริ้วในทีและไดนามิคที่ดีทำให้เสียงเพลงที่บรรเลงออกมาสมจริงดีทีเดียวแต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นเสียงแบบ digital แท้ๆ อยู่ดีแม้จะไม่มีกลิ่นอายของ analog เจออยู่แต่ก็ถือว่าเสียงออกมาน่าฟังมากๆ เพราะยังไงก็ต้องยอมรับว่าเสียงจากแหล่งโปรแกรม digital ยังไงก็คือ digital อยู่ดีแม้ว่าจะมีการพัฒนาไฟล์เสียงที่ให้ความละเอียดสูงๆ แต่ยังไงก็ตามความรู้สึกอบอุ่นแล้วก็เข้าถึงอารมณ์เพลงก็ยังสู้แผ่นเสียงไม่ได้(คหสต. ทั้งสิ้น)
การเล่นไฟล์เพลงความละเอียดสูงที่เรียกว่า HRx นั้น DAC202 แปลงสัญญาณออกมาได้ดี ตรงนี้เมื่อฟังเทียบกับ BADA ซึ่งผู้ผลิตเป็นคนคิด HDCD ขึ้นมาส่วนตัวฟังแล้วเสียงไม่ต่างกันมากนัก แต่ยังไงก็ตาม option ความละเอียดสูงที่มีมาให้นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ออกแบบได้เตรียมไว้เผื่ออนาคตเอาไว้จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยๆ เพราะซื้อหามาใช้แล้วอย่างน้อยก็คงจะใช้ติดต่อกันไปได้หลายปีโดยที่สามารถรองรับไฟล์เพลงรุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างลงตัว
ส่งท้าย:
"ทุกๆ วันคือวันแม่ อย่าลืมข้าวแต่ละคำ น้ำแต่ละอึก นมแต่ละอิ่มที่คุณแม่ป้อนให้เรามานะครับ"
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงนะครับทุกท่าน
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
inception "จิต""หลง""ติด"
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Chicago The Windy City
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Goodbye Seattle
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Another day in CA
วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553
California Dreamin'
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เวลคั่มทูลอสแองเจลลิส
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
[1st impression] Woo WES Maxxest
จะว่าไปไม่ได้มีความคิดจะสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้เลยเพราะเล็งแอมป์อีกตัวไว้ก็คือ BHSE ที่หลักการออกแบบดีกว่าแอมป์ตัวนี้และความยุ่งยากในการติดตั้งก็น้อยกว่า ส่วนตัวคิดว่าแอมป์ตัวนี้นั้นมีดีที่รูปร่างดูแน่นหนาและก็ออกแบบได้เท่ห์มากแค่นั้นเองที่ได้เห็นรูปตามเวปต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนใจก็คือรีวิวจากเกจิทางอิเล็กโทรสติแตกหลายๆ ท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความโปร่งใสกิ๊งและไดนามิคของ BHSE ดีกว่า WES ที่ฟังแล้วค่อนข้างจะเรียบร้อยมากไปหน่อยพละกำลังก็ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าด้วย ก็สรุปง่ายๆ จากที่ได้อ่าน(เพราะคงไม่มีโอกาสไป Canjam เพื่อลองฟังกับเค้า) ว่าแอมป์ตัวนี้ค่อนข้างจะฟังได้สบายกว่าอีกตัวพอสมควรแต่ก็คงจะไม่ถูกใจเกจิที่มักจะเป็นนักฟังแบบจริงจังตรงนี้แหละที่ทำให้ตัดสินใจสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้ในที่สุด
วัสดุหีบห่อและการขนส่ง: อยากจะบอกว่าส่งมาเร็วมากทาง USPS แต่มีผิดหวังเล็กๆ แต่ก็มีแอบดีใจด้วยหน่อยๆ เพราะว่าแจ็ควูเค้าส่งเป็นกล่องกระดาษมาให้แทนที่จะเป็นลังไม้เช่นเดียวกับที่รายอื่นๆ เค้าได้กันอาจจะต้องสอบถามเหตุผลกลับไปว่าทำไมถึงไม่ส่งเป็นลังไม้อย่างที่คุยไว้เพราะขนาดอีเมลแนะวิธีติดตั้งยังเป็นกล่องไม้อยู่เลย ที่บอกว่าแอบดีใจก็เพราะทีแรกเกรงจะโดนภาษีช่วยชาติเยอะเพราะเป็นกล่องไม้แต่พอส่งมาเป็นกล่องกระดาษนึกว่าจะโดนภาษีน้อยลงกลับเป็นว่าครั้งนี้เจอภาษีหนักที่สุดเพราะพวกคิดเป็นแอมป์สองตัวเนื่องจากแยกมาสองกล่อง คิดในแง่ดีถือว่าเอาเงินไปช่วยชาติที่กำลังบอบช้ำก็แล้วกันเนอะ
การประกอบ รูปร่างหน้าตา: ไม่ยุ่งยากเพราะว่ามีคู่มือออนไลน์ส่งมาทางอีเมลพร้อมรูปภาพประกอบอย่างชัดเจนทุกขั้นตอนไล่ตั้งแต่เปิดกล่องไปจนถึงเปิดทำงานแบบเต็มระบบ เป็นแอมป์หูฟังตัวที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เคยครอบครองมาครับ วัสดุที่ใช้ก็ดีมีน้ำหนักงานค่อนข้างเรียบร้อยพอสมควรถือว่าผ่านเกณฑ์
อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
iMac
Cans]: STAX Omega2 MkI&II
firewire interface: METRICHALO ULN-2
DAC: Berkeley Audio Design Alpha DAC
AMP: Woo Audio WES Maxxest
สายนำสัญญาณต่างๆ: PAD Venustas XLR, Oyaide AES/EBU, Firewire cable Audioquest Mod, Power Cord furutech alpha3
ไฟล์ที่ใช้ทดสอบ: AIFF 44.1k-96k, Apple lossless, MP3 192k up เล่นผ่าน iTunes และโปรแกรม Amarra โปรแกรมเล่นเพลงบน Mac ที่ว่ากันว่าเป็นโปรแกรมเล่นเพลงที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้
ความประทับใจแรก: เสียงเป็นธรรมชาติดีมากไม่มีหวือหวาออกชืดๆ ตามแบบของแอมป์ที่ออกมาดี
บรรยากาศ อิมเมจ ความเป็นดนตรี มิติและเวทีเสียง: เริ่มจากเพลง 21Guns(AIFF Bit Rate 1411kbps) ของนักแสดง Broadway ของโชว์ชุด American Idiot แค่เสียงกีตาร์เปิดเพลงก็ทำให้รู้สึกดีแล้ว พอนักร้องนำเริ่มออกเสียงก็นึกในใจว่านี่สิเสียงกลางที่ดีคือไม่มากไม่น้อยไม่แห้ง การแต่งเสียงที่ใส่มาเล็กน้อยทำให้ฟังแล้วรื่นหูขึ้นอีกพอสมควร ช่วงกลางเพลงที่มีเสียงไวโอลินขึ้นมาเป็นฉากหลังรับรู้ได้ถึงความฝืดของสายได้ดี เสียงก้องสะท้อนของห้องอัดในไลน์ประสานได้ยินแยกออกมาจากเสียงดนตรีในช่วงโหมไม่มีเบลอ เสียง reverb ที่ใส่เข้าไปตอนจบเพลงฟังออกได้เป็นชั้นๆ
เพลง Share & Share Alike[AIFF Bit Rate 4608kbps Sample Rate 96k] จากอัลบั้ม Audiophile Jazz Prologue III ที่คุณ Kent Poon บรรจงอัดมาด้วยเป็นไฟล์ความละเอียดสูง เพื่อทดสอบความเป็นธรรมชาติของเครื่องดนตรีที่อัดมาแจ๋วๆ โดยเฉพาะเสียงดับเบิ้ลเบสนี่ได้อารมณ์สุดๆ จริงๆ
อัลบั้ม Beautiful Voices , Clair Marlo, Charice , Metallica, Wonder Girl, Blackmore's Night, Jason Derülo, Greenday, Owl City, Ke$ha, บอยป๊อด, มภ พรชำนิ ฯลฯ เพื่อหาแนวเพลงที่เข้ากับแอมป์ตัวนี้พบว่าฟังได้หลายๆ แนวโดยไม่ได้รู้สึกว่าขาดเพียงแต่ว่าเสียงติดแข็งๆ อยู่พอสมควรเพราะว่ายังไม่ผ่านการเบิร์นคิดว่าในวันมีตติ้งใหญ่ของเวปน่าจะเข้าที่แล้วพอสมควร
เรื่องของอิมเมจ มิติและเวทีเสียงนั้นส่วนหนึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ DAC ที่ใช้ในการทดสอบก็ว่าได้เพราะ DAC ตัวนี้ท่านเกจิ(อีกแล้ว)ยกให้ว่าเด่นในเรื่องของบรรยากาศและความเป็นสามมิติของเวที เมื่อฟังผ่าน WES ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใดเพียงแต่ว่าความสะอาดใสกิ๊งยังไม่ถึงจุดที่ว่า crystal clear เท่าที่ได้ลองมานี่เป็นจุดหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของแอมป์วูหลายๆ รุ่นเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น Woo GES, WA22 และตัวนี้ ข้อดีคือฟังสบายแต่ข้อเสียคือเสียงจะออกขุ่นนิดๆ ดังนั้นรายละเอียดอาจจะถือว่าไม่ดีนักแต่ก็ถือว่าดีกว่าแอมป์ตัวเล็กที่ผมเคยใช้คือ RudiStor Egmont Classic ตั้งแต่ยังไม่ผ่านเบิร์น
เรื่องของบรรยากาศรายรอบนั้นถ้าเสียงไม่สะอาดแล้วจะไม่เด่นเลยแต่ว่า WES ก็ทำหน้าที่ได้ดีเพราะเมื่อเทียบกับการฟังเสียงในการแสดงสดจริงๆ แล้วละก็เสียงก็ออกมาประมาณๆ นี้แหละไม่ได้คมกริ๊บเหมือนภาพ Hi Def เหมือนเราเสียบฟังจาก mixer เมื่อฟังเพลงจากหลายๆ อัลบั้มแสดงสดเช่น The Best of MTV Unplugged, Blackmore's night, Dashboard Confessional, The Weavers ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงที่ฟังได้ดีแถมตำแหน่งชิ้นดนตรีแม่นยำไม่มีแกว่งเลยแม้จะเปิดในระดับความดังต่างๆ ตรงนี้ทึ่งครับเพราะปกติมักจะแกว่งถ้ายังไม่ผ่านเบิร์น(ยกความดีให้กับโวลลุ่มที่คุณคิมสั่งให้ด้วย)
WES แยก Leyer ตำแหน่งหน้าหลังค่อนข้างดี Headstage ไม่กว้างเท่าไหร่แต่ก็เป็นรูปไข่ตามการออกแบบของหูฟังตระกูล Omega ทำให้ฟัง Big Band ได้สนุก ฟัง Classic ก็รับรู้ภาพได้ชัดเจน เรื่องความเป็นธรรมชาติก็เป็นอีกจุดที่แจ๋ว ฟัง track ทดสอบของ Ultrasone ในแทร็คที่ 11 (พลุ)นี่แจ๋วมากไดนามิคสมจริงเหมือนอยู่เหตุการณ์
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในส่วนนี้ถึงเอ่ยถึงซะยืดยาว เหตุผลส่วนตัวก็มีแค่เพียงว่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาอุปกรณ์ทางด้านเสียงนี้ถ้าผ่านการเบิร์นไปส่วนที่มีผลกระทบไม่มากเท่าไหร่คือส่วนของอิมเมจ มิติและเวทีเสียง ส่วนบรรยากาศก็เปลี่ยนไปได้ค่อนข้างมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไปในทางทีดีขึ้นดังนั้นถ้าฟังอุปกรณ์ชุดไหนแล้วถ้าเรื่องพวกนี้ดีก็พอจะบอกได้เลยว่าผ่านเบิร์นไปจะดีขึ้นไปมากกว่านี้อีก ไม่เหมือนเรื่องเกี่ยวกับความถี่ในย่านต่างๆ เช่นต่ำ กลาง สูงที่ผ่านเบิร์นไปแล้วโอกาสที่จะเปลี่ยนไปได้มากๆ ทั้งดีขึ้นและแย่ลงนั้นมีอยู่
เสียงกลาง: หลังจากที่เปิดมาได้พักนึกเสียงกลางยังไม่ค่อยเข้าที่มากนัก ไม่สากแต่ก็ไม่ถึงกับรื่น หลังจากเอาเพลงประเภทหลงเสียงนางหลายหลากอัลบั้มมาเปิดฟัง เสียงนักร้องชาย นักร้องหญิงผิวดำหรือว่าเสียงนักร้องที่ค่อนข้างต่ำเช่น Noon หรือว่าแม้แต่น้อง Charice จะฟังแล้วได้อารมณ์ดีกว่าเสียงนักร้องหญิงที่ออกแหลมๆ เช่น Clair Marlo
เสียงต่ำ: เท่าที่ฟังมาตอนนี้รายละเอียดของเสียงต่ำค่อนข้างดีแต่ก็ขึ้นอยู่กับหูฟังที่ใช้ด้วยเพราะว่าเท่าที่ลองสลับดูระหว่าง STAX O2MkI กับ MkII นั้นที่ต่างกันมากๆ ก็อยู่ตรงที่เสียงต่ำ เสียงต่ำของ MkI ลงได้ลึกอิมแพ็คดีกว่า MkII แต่เนื้อเสียงต่ำย่านที่หูเราได้ยินได้ง่าน MkII ดีกว่าแต่ว่ามีติดบวมอยู่บ้างตรงนี้ทำให้เกจินักฟังหูฟังสติแตกไม่ค่อยชอบ O2MkII มากนักแต่ว่าถ้าเอามาฟังเพลงร้องแล้วละก็ คหสต. เสียงของ MkII ติดหวานน่าฟังดีแต่ MkI ก็ฟังแล้วธรรมชาติซึ่งก็ดีกันไปคนละด้าน เท่าที่หาข้อมูลมา WES เข้ากับ O2 MkI มากกว่า MkII พอเอามาลองฟังดูก็เห็นด้วยกับที่เค้าบอกมาเพราะฟัง MkI ผ่าน WES แล้วเสียงมันพอดีแต่ถ้าใช้ MkII แล้วเบสเหมือนจะล้นไปบ้าง(ในตอนนี้) ก็ต้องรอให้ผ่านการเผาไปอีกระยะน่าจะพอบอกอะไรได้มากกว่านี้
เสียงสูง: เสียงสูงที่ฟังผ่าน WES ไม่เสียดหู เป็นเสียงสูงที่น่าฟังดีถือว่าดีตั้งแต่ออกจากกล่องเลยก็ว่าได้แต่ก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่พึ่งใช้งานคือมีเกรนหยาบในเนื้อเสียงอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่มากนักคงต้องรอไปอีกระยะถึงจะสรุปได้แน่นอน
สรุปในเบื้องต้น: ผมมักจะพิมพ์ blog รีวิวหรือความประทับใจอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ ที่มีโอกาสได้ฟังทันทีที่ฟังเสร็จและพิมพ์รวดเดียวไปเลย ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้ตรวจทานคำผิดหรือความสละสลวยของสำนวนมากนักเพราะต้องการความสดของอารมณ์และความรู้สึกที่มีแต่อุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งก็บอกตามตรงว่าหูตัวเองก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนคนอื่นเค้าเท่าไหร่แถมมีอคติส่วนตัวเจืออยู่พอสมควรเพราะว่าหลายรายการเป็นของๆ เราเองส่วนตัวซึ่งยังไงก็ต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนอยู่บ้างแต่ก็พยายามจะถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่ความรู้สึกและประสบการณ์มี หลายๆ ท่านถ้าได้ฟังอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันก็อาจจะเห็นไม่ตรงกับที่ผมพิมพ์ไว้ก็ได้ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติซึ่งอยากจะบอกว่าเชื่อหูท่านไว้เถอะครับไม่มีใครจะบอกเราได้ชัดเจนไปกว่าตัวเราเองดังนั้นถ้าเลือกจะลองอุปกรณ์ก่อนจะซื้อหามาใช้ได้เป็นสิ่งที่"ต้อง"ทำ
ก็อยากจะแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะผมถือว่าการแบ่งปันความรู้(อันน้อยนิด)ที่มีจะช่วยต่อเสริมและทำให้เรามีความเข้าใจในแง่มุมนั้นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพอจะยกอุปกรณ์ไปให้ได้ลองกันในงามมีตติ้งก็พยายามจะเอาไปให้ได้ลองกัน เช่นเดียวกับแอมป์ตัวนี้และ DAC ที่เข้าชุดกันที่ผมใช้อยู่จะยกไปให้ลองกันในงานมีตติ้งใหญ่ที่พี่ๆ ผู้ใหญ่ในเวปช่วยกันออกความเห็นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาถ้าใครอยากจะลองก็ไปลองกันได้ครับ ฟังแล้วก็อยากจะขออย่างว่าลองมาแชร์ประสบการณ์กันในกระทู้นี้ได้เลย จะได้รวบรวมไว้ดูว่าเห็นเหมือนหรือว่าต่างกันอย่างไรเพื่อเก็บเป็นความรู้ แต่ที่แน่ๆ เสียงที่ได้ลองฟังในงานมีตติ้งจะดีกว่าเสียงที่ผมได้ยินตอนพิมพ์ impression นี้อย่างแน่นอน
สำหรับ WES 1st Impression นี้ก็อยากจะสรุปเพียงแค่ว่าผมเลือกแอมป์มาไม่ผิดเพราะไม่ต้องการแอมป์ที่"ไม่ขี้ฟ้องมากนัก ฟังได้หลากหลายแนว เสียงเป็นธรรมชาติ"และที่สำคัญอยู่ในงบที่พอจะกัดฟันหามาใช้ได้(แม้จะต้องขายของที่เคยมีไปเกือบทั้งหมด) ถือว่าคุ้มมากๆ ครับกับเสียงที่ได้ฟังมาประมาณห้าชั่วโมงนี้
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สามวันที่ไทเป
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ผ่านไปอีกวันที่ไทเป
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
มาไทเป(อีกรอบ)
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ผ้าขี้ริ้ว
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Confucius
วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553
นักพูด นักฟัง นักทำ
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เสี้ยวหนึ่งของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สรุปให้เป็น จับประเด็นให้ได้
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
รากฝอยของต้นประเทศกำลังแห้ง
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน
จะว่าไปการมีกิจวัตรที่ซ้ำซากนี่ก็ดีนะคือไม่ต้องมีเรื่องอะไรมารกสมองมากนักเพราะแค่เรื่องงานกับเรื่องคนอื่นก็มากพอแล้วถ้ามีเรื่องของตัวเองมั่วๆ แถมเข้ามาอีกนี่คงจะไม่ไหว ตอนนี้หน้าที่หลักๆ คือการพูดซะเยอะก็คงถึงเวลาเอาประสบการณ์ที่ผ่านมานำไปแบ่งให้คนอื่นทั้งแนะแนวการทำงาน,ประสานงานและแก้ปัญหา ลมัยก่อนหัวหน้าเค้าไม่ให้พูดเค้ามีแต่สั่งให้ทำตามบอกว่าตั้งใจทำให้ดีอีกหน่อยจะช่วยคนอื่นได้บอกไปก็นึกไม่ออกว่าทำงานงกๆ จะช่วยคนอื่นได้ไง ตอนนี้เริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าการที่เราตั้งใจทำงานให้ดีในช่วงเริ่มต้นของการทำงานเหมือนการวางฐานรากอาคารชีวิตในงานที่ทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฐานรากแน่นตึกก็ขึ้นได้สูง แต่ทุกส่วนในองค์กรล้วนแต่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
มีประธานให้เป้า มีหัวหน้าคอยแนะแนว มีระดับปฏิบัติการไว้ลุยให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ ที่สำคัญทุกระดับต้องรับฟังกันซึ่งตรงนี้บางจังหวะจะยากหน่อยเพราะประสบการณ์ทำให้มองเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกันโอกาสจะกระทบมีสูงมาก สุดท้ายพอกระทบกันจากเรื่องงานกลายเป็นเรื่องส่วนตัวเสียนี่ ถ้าแบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้มีแต่จะพังอย่างเดียว นอกจากตัวเองที่พังก่อนแล้วก็ลากองค์กรพังไปด้วยถ้าไม่ช่วยกันระวัง
ผมโชคดีหน่อยที่เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยยุ่งอย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวปัญหาให้คนอื่นแล้วก็พอแก้ปัญหาให้คนอื่นได้นิดๆ หน่อยก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว ขอขอบคุณ"กิจวัตรอันซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน"มา ณ. ที่นี้ด้วย...
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
The Book of Eli
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
PAC MAN Nation
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
พึ่งตนพึ่งท่าน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
19 พฤษภาคม 2553
วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ลพบุรีในความทรงจำ
เมื่อเช้าว่างๆ เลยมีโอกาสได้ไปนั่งรถเล่นวิ่งไปถึงโน่นลพบุรีหรือละโว้ถิ่นเก่า บรรยากาศก็เหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อนสมัยยังทำงานเป็นมือปืนรับจ้างคั่นเวลาให้อาจารย์ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักแต่อย่างอื่นเหมือนจะขาดไปก็คือทหารที่เคยมีให้เห็นอยู่เป็นภาพที่คุ้นตาในค่ายกลับเงียบเหงามองไปแทบไม่เจอทหารแม้แต่นายนึงสงสัยคงจะมาทัศนศึกษากันในกรุงเทพ
จริงๆ ความหลังฝังใจกับลพบุรีมีเยอะพอสมควรจะให้เล่านี่คงจะยืดยาวมากเอาเป็นว่าแม้แต่คืนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ก็ทำให้จำไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จำไม่ลืมก็เพราะว่าคืนแรกที่ขนของเข้าไปพักก็ถูกมือดีมายกเค้าไปซะ กางเกงยีนส์หลายๆ ตัวที่หวงหายหมดพร้อมกับซีดีอีกเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าแทบจะเกลี้ยงกรุน้อยๆ ที่มีที่เหลือรอดมาก็คือแผ่นที่ติดรถไปทำงานด้วยกล่องนึงแค่นั้น
เมืองลพบุรีมีบรรยากาศของจังหวัดเก่าๆ แบบดั้งเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นจังหวัดทหารบกด้วยมีค่ายเยอะมาก ทหารก็เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าร้านค้าต่างๆ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารไม่ทางใดก็ทางนึงคือถ้าไม่ใช่สามีภรรยาก็ต้องมีญาติเป็นทหารหรือไม่อย่างน้อยสุดๆ ลูกค้าของร้านก็เป็นทหารแน่นอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่อยู่นอกรั้วค่ายก็อยู่ตามตึกแถวเก่าๆ ซึ่งก็ต้องขอบคุณจอมพล ป. ด้วยที่ทำให้ผังเมืองลพบุรีเป็นอย่างทุกวันนี้ซึ่งจะว่าเรียบร้อยก็ถือว่าผังเมืองค่อนข้างเรียบร้อยดีแม้ว่าในตัวตลาดจะค่อนข้างวุ่นไปนิด โดยเฉพาะแถวรอบๆ วังนารายณ์อันเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นจุดที่น่าสนใจถ้าใครไปลพบุรีสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดื่มดำ่บรรยากาศย้อนไปสมัยโบราณที่นั่น พูดถึงวังนารายณ์ยังจำภาพที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่นั่นเป็นครั้งแรกได้ไม่ลืม ภาพในหน้าขนาดใหญ่ที่่ติดตั้งไว้ตรงบันไดดูราวกับว่าใบหน้ารูปปั้นขนาดมหึมานั้นมีชีวิตจริงๆ ศิลปะแบบบายนแท้ๆ คล้ายดังกับว่ามีวิญญาณซ่อนอยู่ในตัวทำให้ดูแล้วติดเข้าไปในใจง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็นเดิิมพันแกะกันเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่อังกอร์วัดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดว่าศิลปะของหัวเมืองยังมีพลังขนาดนี้แล้วของจริงๆ ที่เมืองหลวงจะสุดยอดแค่ไหนถ้ามีโอกาสคงจะได้ไปเยี่ยมชมซักทีเพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างได้ไปเลย ซักวันจะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้
เมื่อเอ่ยถึงเมืองลพบุรีแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องนึกถึงทุกครั้งก็คือ"ลิง"นั่นเอง ลิงที่อยู่ในตัวเมืองลพบุรีมีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยต่อระหว่างตัวเมืองปรางค์สามยอดและศาลพระกาฬจะมีเยอะมากที่สุด แล้วลิงทั้งสามกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่มีโอกาสเป็นต้องยกพวกมาตีกันเรื่อย(อันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้ล้อเล่น แถมมีลากไม้มาเหมือนกับคนเลย เป็นภาพที่น่าสนใจมากๆ) ลิงแถวนั้นดุเอาการโดยเฉพาะลิงเจ้าพ่อที่บริเวณศาลพระกาฬดุมากๆ เคยเห็นมันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วก็กัดคอช่างภาพชาวญี่ปุ่นในระยะห่างไม่เกินเมตรครึ่งจนเลือดกระฉูด(ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในศาลพระกาฬอีกเลย)ในงานโต๊ะจีนลิงปีนึงเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่งก็ไม่รู้ว่าช่างภาพคนนั้นไปทำอะไรให้ลิงหงุดหงิด แต่ถ้าใครผ่านไปที่บริเวณวงเวียนศาลพระกาฬตอนดึกๆ จะเห็นหางลิงเป็นเส้นๆ อยู่รอบตัวศาลเป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกันสมัยโน้นที่ยังคะนองอยู่ยังเคยนึกๆ อยู่ว่าเอาหนังสติ๊กยิงเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างหนอ ก็ดีที่ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงบาปแย่เพราะไปทำร้ายผู้ที่ไม่ประทุษร้าย(ก็นอนอยู่นี่นานะ)
ตัวเมืองลพบุรีดูแล้วก็มีบรรยากาศของความเก่าอยู่ยิ่งถ้าใครไปในช่วงงาน"แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์"ด้วยนี่เค้าจะแต่งชุดไทยกันทั้งเมืองเลยเป็นภาพที่ดูดีมากๆ เป็นบรรยากาศย้อนยุคกันทั้งเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของ"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"ที่มีพระคุณต่อเมืองลพบุรี อีกอย่างที่คู่กับเมืองลพบุรีก็คือสวนสัตว์ลพบุรีที่เป็นเสมือนจุดพักผ่อนของชาวเมืองซึ่งก็อยู่ไม่ไกลคืออยู่แถววงเวียนสระแก้วที่เป็นวงเวียนใหญ่ประจำจังหวัด วงเวียนนี้มีเอกลักษณ์ก็คือว่ามีคชสีห์นั่งอ้าปากกว้างอยู่หลายตัว(จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่)ซึ่งก็มีโจ๊กประจำจังหวัดอยู่เกี่ยวกับคชสีห์นี้อยู่เหมือนกันว่า"ทำไมพวกมันถึงได้อ้าปากร้องถึงขนาดนั้น" ซึ่งไม่ขอเฉลยคำตอบก็แล้วกัน ไม่ไกลจากสวนสัตว์ก็มีโรงภาพยนตร์อยู่หนึ่งโรงซึ่งก็คือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหมือนกัน(ในสมัยโน้น สมัยนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า)คือว่าเค้าจะมีการพากย์ทับเสียงพากย์ในฟิล์มโดยใช้มุกที่เป็นที่รู้กันในจังหวัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่นั่นมากๆ แต่ผมฟังแล้วมันไม่ขำน่ะเพราะว่าทีมพากย์พันธมิตรก็พากย์ได้ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว พอมีเสริมขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์นะครับอย่างน้อยผมไปดูแค่ครั้งเดียวยังจำมุกที่เค้าเล่นมาได้จนถึงวันนี้เลยเจ๋งขนาดไหนคิดดูละกัน
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าบ้านเมืองไหนก็จะมีเอกลักษณ์ประจำเมืองอยู่เป็นเสน่ห์ของแต่ละเมืองไปไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือว่าในประเทศ ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่นแล้วเราจะรู้สึกสัมผัสเมืองได้ลึกมากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็น toilet tour หรือทัวร์ผ่านหรือทัวร์ห้องน้ำก็ตาม(หมายถึงแทบจะไม่ได้แวะดื่มด่ำบรรยากาศอะไร คือไปแวะดูๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำแล้วก็ไปที่อื่นต่อ) เมื่อไหร่ที่เราศึกษาประวัติเมืองแล้วได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริงๆ จะทำให้เราเห็นภาพของเมืองนั้นชัดมากขึ้น จะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่บางอย่างตัวหนังสือไม่อาจจะให้เราได้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ได้ไปเมืองอื่นๆ นอกจากเมืองที่เราอยู่บ้างเพื่อเปิดโลกให้กว้างมากขึ้น
ลองดูนะครับอย่างน้อยซักครั้งในชีวิต"ลองปล่อยให้ถนนนำพาท่านไป".. at least once in your life, take the road trip.. ขอบอกว่าทุกจังหวัดในบ้านนี้เมืองนี้มีอะไรให้ท่านไปค้นหาอีกมากมาย มีสิ่งสวยๆ งามๆ ที่รอให้ท่านไปค้นพบอีกเยอะมากๆ..