วันนี้ได้มีโอกาสฟังอัลบั้มนึงจากหูฟังน้องต้อมสายจีนตอนขาเข้ากรุงเทพในช่วงเช้าพอขาออกตอนเย็นๆ ก็สลับมาฟังจากน้องสิบหกไดรฯ จากมลรัฐตะวันแย้มฟลอริด้าบุรีแล้วรู้สึกอิ่มใจบอกไม่ถูกแม้ว่ารถจะติดมากถึงมากที่่สุดเนื่องจากหนีกีฬาสีมาจากฝั่งวิภาวดีมาฝั่งนี้แทนก็ตามทีเถอะเพลงเค้าดีจริงๆ เพราะว่าระหว่างฟังไม่ได้รู้สึกว่านั่งอยู่ในเทศกาลแสดงรถยนต์กลางแจ้งท่ามกลางสายฝนปรอยๆ แต่รู้สึกว่าได้อยู่ในฮอลล์ดีๆ ซักที่นึงเพื่อชมการแสดงดีๆ จากนักแสดงฝีมือเยี่ยมอยู่ขาดแต่เพียงไม่เห็นเสื้อผ้าของนักแสดงแต่ก็มีภาพในใจเลาๆ ว่า"ถ้า"เค้ากำลังทำการแสดงชุดนี้อยู่น่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนและโทนสีอะไร..
ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่สุณัยมากๆ ที่มาแปะแนะนำอัลบั้มชุดนี้ไว้ให้ได้ระลึกนึกถึงอีกรอบหลังจากลืมไปแล้วตั้งแต่ได้เห็นการแสดงสดในงานมอบรางวัลแกรมมี่อวอร์ดเพื่อสดุดีคนทำเพลงมาแล้วครั้งนึงเมื่อเดือนก่อน อัลบั้มนี้ชื่อว่า "American Idiot (The Original Broadway Cast Recording)" ซึ่งเท่าที่ทราบมาก็ได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลไปบ้างแล้วสำหรับบรอดเวย์โชว์ชุดนี้ทั้งๆ ที่ในแง่ของเนื้อหาและการแสดงอาจจะไม่โดนตานักวิจารณ์มากเท่าไหร่ก็ได้แต่รอฟังผลกันต่อไปว่าจะมีโอกาสได้รางวัลไปครองเช่นเดียวกับ Studio album ชื่อเดียวกันที่เคยได้รับจากเวที Grammy's award และอีกหลายสถาบันอันส่งผลให้ Green Day กลับมาผงาดอีกครั้งบนเวทีท่ามกลางการเฝ้าดูของขาร็อคทั่วโลกหลังจากห่างหายจากเวทีมือถือไมค์ไฟส่องหน้าไปพักใหญ่ๆ
ตัวผมเองรู้จัก Green Day เมื่อได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องเพลงกันกับเพื่อนชาวเวียดนาม ตอนที่ถามว่าชอบศิลปินคนไหนมากที่สุดพวกก็ตอบว่า "Billy Joe" ไอ้เราก็รู้จักแต่ "Billy Joel" เจ้าของเพลง "Uptown girl" จนต้องมาเคลียร์กันเพราะภาษาอังกฤษแบบกระเหรี่ยงของเราก็ฟังแล้วครือกันแหละระหว่าง "Joe กับ Joel" เมื่อเค้าบอกว่าดังวงนี้เราเองก็บ้านนอกไม่รู้จักเลยต้องไปหา CD มาฟังจำได้แม่นว่าเป็นอัลบั้มที่ดังมากๆ ในตอนนั้นชื่ออัลบั้มว่า "Dookies" ที่หน้าปกแนวได้ใจมากๆ ใครไม่เคยเห็นลองกูเกิ้ลดูแล้วจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในหน้าปกนั้นเยอะเลย หลังจากฟังไปพักนึงก็เกิดอาการบ้าตามเพื่อนชาวเวียดไปอย่างง่ายดายร้องและเล่นตามได้ทุกเพลงในอัลบั้ม(เพลงมีไม่กี่คอร์ดหรอกแต่เล่นเอาดังไว้ก่อนเพื่อจะได้ดูเทพ หุหุ) จนสุดท้ายข่าวดีที่สุดอันพึงจะมีของเด็กบ้านนอกคนนึงก็เป็นจริงเมื่อมาเจอข่าว "Green Day Live in Bangkok" ในหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้อยู่เฉยไม่ได้ต้องลงทุนกดโทรนาทีละสิบแปดบาทจากลำปางเข้ากรุงเทพเพื่อขอร้องให้อาซื้อบัตรให้ในวันแรกที่เปิดขายเพื่อจะได้ชัวร์ว่าได้ดูแน่ๆ เนื่องจากราคาบัตรถูกเกินคือสี่ร้อยบาทเท่านั้น(คนตั้งราคาคงมึน)แถมไปเล่นที่ MBK Hall อีกเท่าที่ทราบจุคนได้ไม่เท่าไหร่หรอกทำให้สงสัยอยู่ลึกๆ ในใจว่า "ทำไมไม่ไปจัดทีใหญ่กว่านี้น้อ"
Green Day เป็นวงดนตรีในแนว Pop Punk ที่ฟังไม่ยากเนื่องจากธรรมดา punk ก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากคำหยาบเสียงกีตาร์แตกๆ และกลองกระตุกๆ ในจังหวะที่ใส่ไปไม่ยั้งตามความไม่เทพของผู้เล่น(อันนี้พูดจริง) พูดง่ายๆ เป็นแนวที่เอามันส์เอาถ่อยแต่ว่าฝีมือทางดนตรีมีน้อยๆ (จะเอาอะไรมากมายล่ะ garage band เล่นกันในโรงรถโดยเด็กหัดเล่นก็แบบนี้แหละ) Green Day เองก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกันกับวงอื่นๆ ที่เกิดก่อนเมื่อหลายๆ นักวิจารณ์บอกว่าวงนี้ฝีมือไม่มีเน้นเอาดังมันส์แล้วก็ถ่อยแค่นั้นแต่ว่าที่ดังเพราะโดนใจวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไหร่(เจอแบบนี้เป็นเราคงจะปรี๊ด) ในความรู้สึกส่วนตัวของคนที่ไม่ค่อยมีพื้นทางดนตรีมากนักหัดเล่นกีตาร์ก็เมื่อตอนเรียน ปวช. เพียงเพื่อเพราะจะเอาไว้ร้องเพลงจีบสาวรู้สึกว่าเพลงของ Green Day นี่เจ๋งนา เสียงกีตาร์แตกๆ ที่ว่ากันว่าเอาไว้กลบไลน์ดนตรีที่ไม่แม่นไม่มีลูกเก็บละเอียดแบบไวหรือว่าอิงวี่(เทียบกันได้ไงหว่า คนนะแนวคนละขั้วโลก)นั้นไม่เหมือนใคร ตรงนี้มาทราบทีหลังว่า"ไม่มีกีตาร์ตัวไหนในโลกให้เสียงเหมือนกีตาร์ของ Billy Joe Armstrong" เพราะว่าเป็นกีตาร์เทพจากเกาหลี(ก็อปเฟนเดอร์มา ชื่อยี่ห้อไม่ต้องบอกเพราะว่าหลายๆ คนอาจจะเคยใช้มาก่อน ฮ่า..) ที่พ่อซื้อมาให้ลูกหัดตีคอร์ดเล่น ที่ว่าเทพนั้นก็เพราะว่า Billy Joe เอามาแกะมาแงะเปลี่ยนคอนแทคใหม่พร้อมทั้งใส่อุปกรณ์สุดเทพตามใจฉันเข้าไปตามความซนส่วนตัว แม้แต่ตู้แอมป์ที่ใช้ก็ผ่านการโมจากมือ Billy มาแล้วทั้งสิ้นรวมไปถึงเอฟเฟคที่ใช้ด้วย ดังนั้นเสียงกีตาร์ของ Billy Joe ไม่มีใครเหมือนแน่นอน(ไวก็ไววี่ก็วี่เหอะ เจอลี่แล้วจะหนาว..)
ไลน์เบสและกลองแม้จะได้รับอิทธิพลมาจาก Punk band ในยุคเก๋าเช่น Ramones, The Clash และ Sex Pistols เป็นต้นพอผสานกับความมันส์ส่วนตัวที่ไม่อยากจะเหมือนใครของมือเบส Mike Dirnt และมือกลอง Tré Cool ทำให้ส่วนผสมของกีตาร์ เบสและกลองเพียงสามชิ้นนี้ของ Green Day ลงตัวพอดิบพอดีและไม่เหมือนใครในยุคนั้นจนปลุกกระแส Punk ให้กลับมาอีกครั้งหลังจากลงไปนอนในหลุมอยู่หลายปี(ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Dookies The album) ถ้าใครได้ดู Green Day เล่นสดๆ แล้วจะรู้เลยว่าถ้ารัก Green Day จริงต้องไปดูสดให้ได้แล้วคุณจะได้รับรสชาติที่ไม่เคยได้เลยเมื่อฟังจากแผ่น ว่ากันว่า Green Day เป็นหนึี่งในวงที่แสดงสดได้ดีที่สุดในโลก สมัยโน้นเล่นหนึ่งเพลงใช้ไม้กลองหนึ่งชุดจบเพลงปุ๊บเสี่ย Tre จะตีอัดให้ไม้กระเด็นไป(อาจจะคิดว่าเท่ห์มั๊ง) หลังจากอังกอร์เสร็จจะเอาเท้าไล่เตะแท่นกลองและตู้แอมป์ล้มจนหมดจะได้ไม่ต้องเรียกออกมาเล่นอีก(ในสายตาวัยรุ่นนี่ขอบอกว่าเท่ห์คอดพี่น้อง..)
แต่วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น วัยรุ่นวันนึงก็ต้องโต Green Day ก็เช่นเดียวกันเค้าก็ต้องมีวันโตเมื่อเริ่มตันจากแนวเพลงเดิมๆ ที่ตัวเองเล่นก็พยายามเปลี่ยนแนวในอัลบั้มชุด Nimrod แต่ก็ไปได้ในระดับหนึ่งแม้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์แต่แฟนเพลงเก่าๆ บางส่วนก็รับไม่ค่อยได้แม้จะมีหลายเพลงที่ดังแต่ว่ามีขึ้นก็ต้องมีลงหลังจากออกอัลบั้มตามมาอีกสองสามอัลบั้มคือ Warning แล้วก็รวมเพลงเคยดังอีกสองอัลบั้มพวกเค้าก็หายหน้าไปจากวงการจนวันหนึ่งหลังจากที่พยายามเข้าห้องอัดเพื่อจะกลับมาอีกครั้งมาสเตอร์เทปของอัลบั้มที่ยังไม่ออกจำหน่ายที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Cigarettes and Valentines "หาย" ไป ตรงนี้เองเป็นจุดพลิกทำให้ทั้งวงต้องหันหน้ากลับมาคุยกันใหม่โดยที่มือเบสและมือกลองออกอาการต่อต้านความเป็นเผด็จการทางความคิดของ Billy Joe ที่ผูกขาดการแต่งเพลงและแนวทางของอัลบั้มของวงมาตลอด จนสุดท้ายทุกฝ่ายยอมหันหน้าเข้าหากันช่วยกันคิดหาคนมาช่วยเพิ่มเติมส่วนขาดเปลี่ยนปรับกระบวนความคิดเป็นจากกุ๊ยข้างถนนมาเป็น Punk upgrade แต่งตัวเรียบหรูดูดีขึ้นเพิ่มความขรึมเข้ามาในทีแล้วก็ปล่อยอัลบั้มนึงออกมาในปี พศ. 2548 ซึ่งเป็นที่มาของกระทู้นี้อัลบั้มนั้นมีชื่อว่า "American Idiot"
หลังจากที่ปล่อยออกสู่ตลาด Green Day ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งแฟนเพลงรุ่นเก่า(มีผมคนนึง)กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเสพงานของวงมาก่อนทำให้อัลบั้มนี้ฮิตติดตลาดยอดขายกระจายพร้อมทั้งอีกสารพัดรางวัลที่ได้รับรวมไปถึงรางวัล Grammy "Best Rock Album" กับรางวัล Music Video อีกหลายตัว ต่อมาอีกปีก็ได้รับรางวัล Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams" จากอัลบั้มชุดเดียวกันและอัลบั้มชุดนี้ในรับคำวิจารณ์ในทางบวกดีมากเพราะว่าลวดลายของเพลงและการนำเสนอเข้าขั้นดีมากๆ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Punk Rock Opera เมื่อได้ฟังอัลบั้มนี้ครั้งแรกรู้สึกถึงความต่อเนื่องของอารมณ์เพลงที่ส่งต่อกันได้ราบรื่นๆ มากๆ แม้จะเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วแต่พอฟังแล้วรู้สึกว่ามันนุ่มนวลในอารมณ์เหมือนนั่งดูหนังเพลงดีๆ ซักเรื่องสุดท้ายก็สมใจเมื่อมีการเอาอัลบั้มนี้มาเป็นแกนการดำเนินเรื่องของละครเพลง broadway โดยใช้ชื่อโชว์ว่า American Idiot (musical) โดยใช้เพลงจากอัลบั้ม American Idiot เป็นส่วนมากรวมไปถึงซิงเกิ้ลดังจากอัลบั้มใหม่ล่าสุด 21st Century Breakdown ที่ออกมาในแนวเดียวกันกับอัลบั้มที่แล้วที่มีชื่อเพลงว่า 21 Guns เพลงในอัลบั้มนี้ร้องโดยนักแสดงของโชว์แล้วก็ Green Day เองมีส่วนร่วมในการทำดนตรีทำให้เพลงในชุดนี้มีกลิ่นอายของ Green Day พร้อมทั้งผสมเครื่องปรุงคือเครื่องสายและเสียงร้องในแนว broadway เข้าไปด้วยทำให้งานเพลงชุดนี้ลงตัวอย่าไม่น่าเชื่อ อยากแนะนำลองซื้อหามาฟังกัน(รักกันจริงต้องซื้อแผ่นแท้เท่านั้น) แต่ถ้าไม่ใช่แฟน Green Day หรือว่าไม่เคยฟังหากอยากจะลองฟังดูก่อนก็เห็นมีให้ได้ฟังกันทางออนไลน์อยู่นะครับ
หลังจากที่ได้ดูการแสดงในงานประกาศรางวัล Grammy ปีล่าสุดนี้ที่ทางวงได้เลือกเพลง 21 guns มาเล่นกับนักแสดงจากบรอดเวย์จนเกิดความรู้สึกว่าอยากได้สตูดิโออัลบั้มของงานดนตรีชุดนี้มาครอบครองแล้ว.. ก็ยังหวังลึกๆ ในใจว่าวันนึงคงจะมีโอกาสไปนั่งดูการแสดงชุดนี้ที่ NYC เพื่อให้ความรู้สึกอิ่มที่มีในรถในวันนี้ได้รับการเติมเต็มจากการแสดงสดๆ เหมือนกับที่เด็กบ้านอกคนนึงได้รู้สึกเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนไปดู Green Day Live in Bangkok
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ
ปล. พิมพ์สดๆ ยาวๆ ทีเดียวเพื่อความสดของอารมณ์และความรู้สึกอาจจะมีสะดุดบ้างในบางตอนขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่สุณัยมากๆ ที่มาแปะแนะนำอัลบั้มชุดนี้ไว้ให้ได้ระลึกนึกถึงอีกรอบหลังจากลืมไปแล้วตั้งแต่ได้เห็นการแสดงสดในงานมอบรางวัลแกรมมี่อวอร์ดเพื่อสดุดีคนทำเพลงมาแล้วครั้งนึงเมื่อเดือนก่อน อัลบั้มนี้ชื่อว่า "American Idiot (The Original Broadway Cast Recording)" ซึ่งเท่าที่ทราบมาก็ได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลไปบ้างแล้วสำหรับบรอดเวย์โชว์ชุดนี้ทั้งๆ ที่ในแง่ของเนื้อหาและการแสดงอาจจะไม่โดนตานักวิจารณ์มากเท่าไหร่ก็ได้แต่รอฟังผลกันต่อไปว่าจะมีโอกาสได้รางวัลไปครองเช่นเดียวกับ Studio album ชื่อเดียวกันที่เคยได้รับจากเวที Grammy's award และอีกหลายสถาบันอันส่งผลให้ Green Day กลับมาผงาดอีกครั้งบนเวทีท่ามกลางการเฝ้าดูของขาร็อคทั่วโลกหลังจากห่างหายจากเวทีมือถือไมค์ไฟส่องหน้าไปพักใหญ่ๆ
ตัวผมเองรู้จัก Green Day เมื่อได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องเพลงกันกับเพื่อนชาวเวียดนาม ตอนที่ถามว่าชอบศิลปินคนไหนมากที่สุดพวกก็ตอบว่า "Billy Joe" ไอ้เราก็รู้จักแต่ "Billy Joel" เจ้าของเพลง "Uptown girl" จนต้องมาเคลียร์กันเพราะภาษาอังกฤษแบบกระเหรี่ยงของเราก็ฟังแล้วครือกันแหละระหว่าง "Joe กับ Joel" เมื่อเค้าบอกว่าดังวงนี้เราเองก็บ้านนอกไม่รู้จักเลยต้องไปหา CD มาฟังจำได้แม่นว่าเป็นอัลบั้มที่ดังมากๆ ในตอนนั้นชื่ออัลบั้มว่า "Dookies" ที่หน้าปกแนวได้ใจมากๆ ใครไม่เคยเห็นลองกูเกิ้ลดูแล้วจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในหน้าปกนั้นเยอะเลย หลังจากฟังไปพักนึงก็เกิดอาการบ้าตามเพื่อนชาวเวียดไปอย่างง่ายดายร้องและเล่นตามได้ทุกเพลงในอัลบั้ม(เพลงมีไม่กี่คอร์ดหรอกแต่เล่นเอาดังไว้ก่อนเพื่อจะได้ดูเทพ หุหุ) จนสุดท้ายข่าวดีที่สุดอันพึงจะมีของเด็กบ้านนอกคนนึงก็เป็นจริงเมื่อมาเจอข่าว "Green Day Live in Bangkok" ในหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้อยู่เฉยไม่ได้ต้องลงทุนกดโทรนาทีละสิบแปดบาทจากลำปางเข้ากรุงเทพเพื่อขอร้องให้อาซื้อบัตรให้ในวันแรกที่เปิดขายเพื่อจะได้ชัวร์ว่าได้ดูแน่ๆ เนื่องจากราคาบัตรถูกเกินคือสี่ร้อยบาทเท่านั้น(คนตั้งราคาคงมึน)แถมไปเล่นที่ MBK Hall อีกเท่าที่ทราบจุคนได้ไม่เท่าไหร่หรอกทำให้สงสัยอยู่ลึกๆ ในใจว่า "ทำไมไม่ไปจัดทีใหญ่กว่านี้น้อ"
Green Day เป็นวงดนตรีในแนว Pop Punk ที่ฟังไม่ยากเนื่องจากธรรมดา punk ก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากคำหยาบเสียงกีตาร์แตกๆ และกลองกระตุกๆ ในจังหวะที่ใส่ไปไม่ยั้งตามความไม่เทพของผู้เล่น(อันนี้พูดจริง) พูดง่ายๆ เป็นแนวที่เอามันส์เอาถ่อยแต่ว่าฝีมือทางดนตรีมีน้อยๆ (จะเอาอะไรมากมายล่ะ garage band เล่นกันในโรงรถโดยเด็กหัดเล่นก็แบบนี้แหละ) Green Day เองก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกันกับวงอื่นๆ ที่เกิดก่อนเมื่อหลายๆ นักวิจารณ์บอกว่าวงนี้ฝีมือไม่มีเน้นเอาดังมันส์แล้วก็ถ่อยแค่นั้นแต่ว่าที่ดังเพราะโดนใจวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไหร่(เจอแบบนี้เป็นเราคงจะปรี๊ด) ในความรู้สึกส่วนตัวของคนที่ไม่ค่อยมีพื้นทางดนตรีมากนักหัดเล่นกีตาร์ก็เมื่อตอนเรียน ปวช. เพียงเพื่อเพราะจะเอาไว้ร้องเพลงจีบสาวรู้สึกว่าเพลงของ Green Day นี่เจ๋งนา เสียงกีตาร์แตกๆ ที่ว่ากันว่าเอาไว้กลบไลน์ดนตรีที่ไม่แม่นไม่มีลูกเก็บละเอียดแบบไวหรือว่าอิงวี่(เทียบกันได้ไงหว่า คนนะแนวคนละขั้วโลก)นั้นไม่เหมือนใคร ตรงนี้มาทราบทีหลังว่า"ไม่มีกีตาร์ตัวไหนในโลกให้เสียงเหมือนกีตาร์ของ Billy Joe Armstrong" เพราะว่าเป็นกีตาร์เทพจากเกาหลี(ก็อปเฟนเดอร์มา ชื่อยี่ห้อไม่ต้องบอกเพราะว่าหลายๆ คนอาจจะเคยใช้มาก่อน ฮ่า..) ที่พ่อซื้อมาให้ลูกหัดตีคอร์ดเล่น ที่ว่าเทพนั้นก็เพราะว่า Billy Joe เอามาแกะมาแงะเปลี่ยนคอนแทคใหม่พร้อมทั้งใส่อุปกรณ์สุดเทพตามใจฉันเข้าไปตามความซนส่วนตัว แม้แต่ตู้แอมป์ที่ใช้ก็ผ่านการโมจากมือ Billy มาแล้วทั้งสิ้นรวมไปถึงเอฟเฟคที่ใช้ด้วย ดังนั้นเสียงกีตาร์ของ Billy Joe ไม่มีใครเหมือนแน่นอน(ไวก็ไววี่ก็วี่เหอะ เจอลี่แล้วจะหนาว..)
ไลน์เบสและกลองแม้จะได้รับอิทธิพลมาจาก Punk band ในยุคเก๋าเช่น Ramones, The Clash และ Sex Pistols เป็นต้นพอผสานกับความมันส์ส่วนตัวที่ไม่อยากจะเหมือนใครของมือเบส Mike Dirnt และมือกลอง Tré Cool ทำให้ส่วนผสมของกีตาร์ เบสและกลองเพียงสามชิ้นนี้ของ Green Day ลงตัวพอดิบพอดีและไม่เหมือนใครในยุคนั้นจนปลุกกระแส Punk ให้กลับมาอีกครั้งหลังจากลงไปนอนในหลุมอยู่หลายปี(ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Dookies The album) ถ้าใครได้ดู Green Day เล่นสดๆ แล้วจะรู้เลยว่าถ้ารัก Green Day จริงต้องไปดูสดให้ได้แล้วคุณจะได้รับรสชาติที่ไม่เคยได้เลยเมื่อฟังจากแผ่น ว่ากันว่า Green Day เป็นหนึี่งในวงที่แสดงสดได้ดีที่สุดในโลก สมัยโน้นเล่นหนึ่งเพลงใช้ไม้กลองหนึ่งชุดจบเพลงปุ๊บเสี่ย Tre จะตีอัดให้ไม้กระเด็นไป(อาจจะคิดว่าเท่ห์มั๊ง) หลังจากอังกอร์เสร็จจะเอาเท้าไล่เตะแท่นกลองและตู้แอมป์ล้มจนหมดจะได้ไม่ต้องเรียกออกมาเล่นอีก(ในสายตาวัยรุ่นนี่ขอบอกว่าเท่ห์คอดพี่น้อง..)
แต่วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น วัยรุ่นวันนึงก็ต้องโต Green Day ก็เช่นเดียวกันเค้าก็ต้องมีวันโตเมื่อเริ่มตันจากแนวเพลงเดิมๆ ที่ตัวเองเล่นก็พยายามเปลี่ยนแนวในอัลบั้มชุด Nimrod แต่ก็ไปได้ในระดับหนึ่งแม้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์แต่แฟนเพลงเก่าๆ บางส่วนก็รับไม่ค่อยได้แม้จะมีหลายเพลงที่ดังแต่ว่ามีขึ้นก็ต้องมีลงหลังจากออกอัลบั้มตามมาอีกสองสามอัลบั้มคือ Warning แล้วก็รวมเพลงเคยดังอีกสองอัลบั้มพวกเค้าก็หายหน้าไปจากวงการจนวันหนึ่งหลังจากที่พยายามเข้าห้องอัดเพื่อจะกลับมาอีกครั้งมาสเตอร์เทปของอัลบั้มที่ยังไม่ออกจำหน่ายที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Cigarettes and Valentines "หาย" ไป ตรงนี้เองเป็นจุดพลิกทำให้ทั้งวงต้องหันหน้ากลับมาคุยกันใหม่โดยที่มือเบสและมือกลองออกอาการต่อต้านความเป็นเผด็จการทางความคิดของ Billy Joe ที่ผูกขาดการแต่งเพลงและแนวทางของอัลบั้มของวงมาตลอด จนสุดท้ายทุกฝ่ายยอมหันหน้าเข้าหากันช่วยกันคิดหาคนมาช่วยเพิ่มเติมส่วนขาดเปลี่ยนปรับกระบวนความคิดเป็นจากกุ๊ยข้างถนนมาเป็น Punk upgrade แต่งตัวเรียบหรูดูดีขึ้นเพิ่มความขรึมเข้ามาในทีแล้วก็ปล่อยอัลบั้มนึงออกมาในปี พศ. 2548 ซึ่งเป็นที่มาของกระทู้นี้อัลบั้มนั้นมีชื่อว่า "American Idiot"
หลังจากที่ปล่อยออกสู่ตลาด Green Day ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งแฟนเพลงรุ่นเก่า(มีผมคนนึง)กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเสพงานของวงมาก่อนทำให้อัลบั้มนี้ฮิตติดตลาดยอดขายกระจายพร้อมทั้งอีกสารพัดรางวัลที่ได้รับรวมไปถึงรางวัล Grammy "Best Rock Album" กับรางวัล Music Video อีกหลายตัว ต่อมาอีกปีก็ได้รับรางวัล Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams" จากอัลบั้มชุดเดียวกันและอัลบั้มชุดนี้ในรับคำวิจารณ์ในทางบวกดีมากเพราะว่าลวดลายของเพลงและการนำเสนอเข้าขั้นดีมากๆ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Punk Rock Opera เมื่อได้ฟังอัลบั้มนี้ครั้งแรกรู้สึกถึงความต่อเนื่องของอารมณ์เพลงที่ส่งต่อกันได้ราบรื่นๆ มากๆ แม้จะเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วแต่พอฟังแล้วรู้สึกว่ามันนุ่มนวลในอารมณ์เหมือนนั่งดูหนังเพลงดีๆ ซักเรื่องสุดท้ายก็สมใจเมื่อมีการเอาอัลบั้มนี้มาเป็นแกนการดำเนินเรื่องของละครเพลง broadway โดยใช้ชื่อโชว์ว่า American Idiot (musical) โดยใช้เพลงจากอัลบั้ม American Idiot เป็นส่วนมากรวมไปถึงซิงเกิ้ลดังจากอัลบั้มใหม่ล่าสุด 21st Century Breakdown ที่ออกมาในแนวเดียวกันกับอัลบั้มที่แล้วที่มีชื่อเพลงว่า 21 Guns เพลงในอัลบั้มนี้ร้องโดยนักแสดงของโชว์แล้วก็ Green Day เองมีส่วนร่วมในการทำดนตรีทำให้เพลงในชุดนี้มีกลิ่นอายของ Green Day พร้อมทั้งผสมเครื่องปรุงคือเครื่องสายและเสียงร้องในแนว broadway เข้าไปด้วยทำให้งานเพลงชุดนี้ลงตัวอย่าไม่น่าเชื่อ อยากแนะนำลองซื้อหามาฟังกัน(รักกันจริงต้องซื้อแผ่นแท้เท่านั้น) แต่ถ้าไม่ใช่แฟน Green Day หรือว่าไม่เคยฟังหากอยากจะลองฟังดูก่อนก็เห็นมีให้ได้ฟังกันทางออนไลน์อยู่นะครับ
หลังจากที่ได้ดูการแสดงในงานประกาศรางวัล Grammy ปีล่าสุดนี้ที่ทางวงได้เลือกเพลง 21 guns มาเล่นกับนักแสดงจากบรอดเวย์จนเกิดความรู้สึกว่าอยากได้สตูดิโออัลบั้มของงานดนตรีชุดนี้มาครอบครองแล้ว.. ก็ยังหวังลึกๆ ในใจว่าวันนึงคงจะมีโอกาสไปนั่งดูการแสดงชุดนี้ที่ NYC เพื่อให้ความรู้สึกอิ่มที่มีในรถในวันนี้ได้รับการเติมเต็มจากการแสดงสดๆ เหมือนกับที่เด็กบ้านอกคนนึงได้รู้สึกเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนไปดู Green Day Live in Bangkok
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ
ปล. พิมพ์สดๆ ยาวๆ ทีเดียวเพื่อความสดของอารมณ์และความรู้สึกอาจจะมีสะดุดบ้างในบางตอนขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น