ถ้าศึกษากันจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับย้อนไปเท่าที่มีการบันทึกก็จะพบว่าปัญหากที่เกิดจากการกระทบกระทั่งของคนสองคนหรือจะเป็นกลุ่มชนสองกลุ่มไปจนกระทั่งถึงการกระทบกันระหว่างประเทศสองประเทศล้วนมีสาเหตุมาจากอคติทั้งสิ้น ดั้งนั้นในที่ทำงานในฐานะหัวหน้างานคนหนึ่งก็อยากจะบอกว่าแม้ตัวเองก็พยายามจะเตือนตัวเองอยู่เป็นประจำว่าอย่ามีอคติกับลูกน้องเพราะว่านั่นอาจจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาลุกลามไปในแผนกได้แต่สุดท้ายแม้จะระวังตัวดีแค่ไหนก็ตามก็มักจะเผลอมีอคติอยู่เรื่อยซึ่งเท่าที่ศึกษามาก็พบว่าอคตินั้นมีอยู่แค่สี่ประเภทใหญ่ๆ แค่นั้นเองคือ
1. อคติที่เกิดจากความรักหรือชอบ
2.อคติที่เกิดจากความเกลียดหรือโกรธ
3.อคติเพราะโง่รู้ไม่ทันหรือถูกหลอก
4.อคติที่เกิดเพราะกลัว
ที่ตัวเองเผลอมีอคติ(ตัวชี้วัดว่ามีอคติเกิดขึ้นก็คือ ผู้ที่ควรได้รับกลับไม่ได้สิ่งที่ควรได้ ผู้ที่ไม่ควรได้กลับได้สิ่งที่ไม่สมควรจะได้)ส่วนมากเกิดจากความไม่รู้เพราะข้อมูลที่ไม่พอซึ่งก็คงจะต้องแก้ไขกันต่อไปเอากันเป็นวันๆ ก็แล้วกันแก้ไขกันไปไกลมากกว่านั้นเสียเวลาเพราะการจะแก้นิสัยได้ต้องอาศัยความสมำ่เสมอและการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองให้ได้ก่อน ดังนั้นการคิดแก้ไปในแต่ละวันมีความเป็นไปได้สูงที่เรามักจะไม่ค่อยเข้าข้างตัวเองมากเท่าไหร่เพราะเหตุการณ์พึ่งเกิดสดๆ ยังพอคิดตรองตามได้ไม่ยากแต่ถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะลืมได้จึงต้องว่ากันเป็นวันๆ ไป
ย้อนกลับมาเรื่องที่เพื่อนทะเลาะกันอีกที ด้วยความที่เป็นคนชอบยื่นจมูกไปเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้านเลยส่งอีเมลไปเล่าเรื่องอะไรเล่นๆ ให้เค้าได้อ่านกันโดยหวังว่าจะให้สติเพื่อนที่กำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง(เรื่องสีเสื้อ) โดยมีข้อสรุปส่งท้ายอีเมลไปว่า
"อยากจะบอกว่า "อย่าตกเป็นเหยื่อความเชื่อของตัวเอง" นะเพื่อนๆ จับดีกันไว้ให้เยอะๆ จุดดำบนกระดาษขาวมักจะเด่นกว่าสีขาวของกระดาษทั้งแผ่น เรื่องไม่ดีแม้ไม่ได้ตั้งใจมองก็เห็นได้ชัดเรื่องดีๆ มีให้เห็นตั้งเยอะแต่คนมักเลือกจะไม่มองมัน น่าเสียดาย.. ขอให้มีความสุขมากๆ เน้อ"
ก็คิดว่าคงเตือนสติกันได้บ้างไม่มากก็น้อยแต่สุดท้ายก็เจอว่าคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมีเหตุมีผลในการแสดงความเห็นกลับไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ ที่พิมพ์ไปให้อ่านจะโดยสาเหตุใดก็ตามที แต่ถ้าให้เดาก็คิดว่าเค้ากำลังสับสนกับคำว่า "เป็นตัวของตัวเอง กับ ตามใจตัวเอง" อยู่จึงไม่สนใจเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าใครที่คิดไม่ตรงกับตนมักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ
ถึงตอนนี้ก็ต้องชั่งใจแล้วหละว่าจะตอบอีเมลกลับไปดีหรือไม่ แต่ก็คิดว่าถ้าตอบกลับไปก็จะกลายเป็นเติมเชื้อไฟให้เกิดขึ้นอีกดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็ต่างคนต่างอยู่ละกันแล้ววันหนึ่งคนๆ นั้นก็คงจะเจอผลที่ตัวเองได้"ตามใจตัวเองจนเคย"ในที่สุด ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า"ขออย่าให้เป็นแบบเค้าเลย" เหตุเกิดเพราะเอาแต่มองออกจากตัวไปจับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยมองกลับมาจับผิดตัวเองจึงกลายเป็นแบบนี้ "ขออย่าได้เป็นแบบนี้เลย"...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น