วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[Review] JH 16 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้า


เกริ่น: ก่อนอื่นอยากจะบอกว่าผมชอบประโยคของพี่เน็ก lek_ultra จริงๆ ที่ว่า "หูฟังไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีค่ายไหนดีกว่าค่ายไหนอยู่แล้ว....ขึ้นกับความชอบและแนวการฟังส่วนบุคคล... ยิ่ง Custom ด้วยแล้ว....ลองได้เป็นแนวทางหลักๆเท่านั้น เพราะโอกาสใส่ได้พอดีเจ้าของแป๊ะๆ ไม่ค่อยพบเท่าไร...." ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะความชอบส่วนตัวนั้นไม่มีผิดมีถูกเป็นความรู้สึกของเราส่วนตัวตราบใดที่ยังไม่กระทบคนอื่น

ว่าไปนี่ไม่ว่าเรื่องอะไรจะหยิบจะจับสิ่งไหนหรือว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องใดสิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องทราบจุดประสงค์หลักของเรื่องนั้นก่อนไม่ว่าจะเป็นการใช้งานหรือว่าแนวคิดในเรื่องนั้นๆ ครูผมเคยสอนว่า"ใช้เครื่องมือห้ามใช้ผิดประเภทอย่างเด็ดขาด" เช่นกรรไกรเอาไว้ตัดชะแลงเอาไว้งัดเมื่อไหร่เอากรรไกรมาใช้แทนชะแลงไม่ใครก็ใครอาจจะเจ็บตัวกันได้ สำหรับในที่นี้้รามาพูดถึงเรื่องของอุปกรณ์ทางเสียงซึ่งก็หนีไม่พ้นว่าประกอบด้วยจุดประสงค์หลักก็คือประเภทของงานที่ใช้ประกอบกับความชอบส่วนบุคคลอีกเช่นกัน ยกตัวอย่างแบบมั่วๆ ตามประสาคนไม่ค่อยรู้อะไรมากนักคือเรื่องของการใช้หูฟังในงานคอนเสิร์ต เท่าที่เห็นนี่ประกอบไปด้วยการใช้หูฟังของสามกลุ่มหลักที่มีความต้องการแตกต่างกันไปในการใช้งานหูฟัง

1. หูฟังของนักดนตรี ต้องการความชัดเจนและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอารมณ์ในการนำเสนอ(หูคัสต้อมบางเจ้ามีใส่ option ambient มาให้ด้วยเพื่อให้ได้ยินเสียงจากในฮอลล์ด้วยเพราะว่าตอนที่ฟังจากในหูความรู้สึกว่าเกิดเสียงหลอกมีอยู่เหมือนกัน แต่นักร้องบางท่านเช่น MJ ชอบที่จะใช้ inner ear หรือการรับรู้เสียงของตัวเองมากกว่าจะเอาคัสต้อมมาใส่ ก็ว่ากันไปตามความคุ้น)
2. หูฟังของคนคุมเสียง ต้องการความชัดเจนและถูกต้องเพื่อช่วยในการปรับแต่งแก้ไขเพิ่มเติมให้ได้เสียงตรงตามที่ต้องการก่อนออกลำโพงและก็ส่งกลับไปหานักดนตรีด้วย ตรงนี้ถ้าคนคุมเสียงเป็นควรที่จะถามความต้องการว่าจะให้ปรับแต่งเร่งเบายังไงตามความต้องการของนักดนตรี
3. หูฟังของทีมงานรอบพื้นที่การแสดงและหลังเวที ต้องการความชัดเจนเช่นกันแต่ว่าเป็นไปเพื่อการติดต่อสื่อสารในกลุ่มหรือระหว่างทีมงานให้เข้าใจตรงกันจะได้ไม่ผิดพลาดในระหว่างปฏิบัติงาน เช่น ทีมรักษาความปลอดภัย ทีมบันทึกภาพเคลื่อนไหวภาพนิ่ง ทีมควบคุมเวทีฯลฯ

และหูฟังทั้งสามประเภทนั้นอาจจะเป็นหูฟังชนิดเดียวกันก็เป็นได้แต่จุดประสงค์ในการใช้งานต่างกันแน่นอนอีกทั้งอารมณ์ของแต่ละกลุ่มก็ไปกันคนละทางแต่ว่าอย่างที่บอกว่ากันไม่ได้เพราะว่างานและความต้องการไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอย่างไรสามประสานงานสำเร็จทั้งสามกลุ่มต้องทำงานในส่วนของตนให้เต็มที่แล้วงานคอนเสิร์ตนั้นๆ ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ยิ่งประสานส่งต่อกันดีมากเท่าไหร่งานคอนเสิร์ตนั้นๆ ก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นไปเท่านั้น อย่าคิดว่ามีแต่นักร้องนักดนตรีแล้วจะทำให้คอนเสิร์ตนั้นดีได้ยกเว้นเล่นสดตามคลับซึ่งใครไม่เคยลองฟังดนตรีแบบนี้อยากให้ไปหาฟังดูแล้วจะรู้ว่าความดิบความมันส์่และการมีส่วนร่วมในเพลงแบบมากๆ เป็นอย่างไร(หมายเหตุ: เมื่อเจอนักดนตรีหรือนักแสดงมืออาชีพเพราะเคยไปนั่งดูตลกฝึกหัดระหว่างรอคุยงานอยู่ครั้งนึงบอกตามตรงว่าเป็นชั่วโมงที่อึดอัดจริงๆ เพราะอารมณ์ในตอนนั้นมีทั้งเอาใจช่วยให้เค้าแสดงต่อไปให้รอดในฐานะคนทำงานในสายงานเดียวกันและก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูกเพราะแต่ละมุกที่เค้าปล่อยออกมานั้นมันไม่ได้ขำเลยจริงๆ)

เราแต่ละคนซื้อหูฟังมาก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในใจซึ่งจุดประสงค์ที่ซื้อมานั้นขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน(อีกแล้ว)ว่ากันไม่ได้ บางคนซื้อเพราะประสงค์อยากจะได้เบสแน่นๆ บางคนก็ต้องการเสียงโปร่งๆ แต่บางคนก็อยากได้เสียงแฟลตๆ ซึ่งรีวิวต่างๆ ที่มีให้อ่านกันเป็นเพียงแนวทางให้พอรู้ว่าเสียงของหูฟังตัวนั้นเป็นเช่นไรในความรู้สึกของผู้เขียนแต่สุดท้ายเราเองก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกในที่สุด ขอแนะนำก่อนว่าถ้าจะซื้อหูฟังแล้วละก็จำเป็น"ต้อง"ลองเลยละครับอย่าอ่านรีวิวแล้วก็ตัดสินใจซื้อเลยยกเว้นรวยจัดๆ หรือว่าอยากลองอย่างสุดๆ ในกรณีหลังสติและความยับยั้งชั่งใจพอช่วยได้โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาอย่าใจเร็วด่วนได้ หูฟังไม่ใช่อาหารแหลกด่วนที่สั่งตามหมายเลขแล้วก็ได้กินทันทีเพราะว่าเราเข้าร้านแหลกด่วนรสชาติเป็นเรื่องรองเวลาและความสะดวกเป็นเรื่องหลัก ลองให้แน่ใจก่อนว่าชอบมันจริงๆ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อก็ไม่สายเกินไปดีกว่าซื้อมาแล้วมาแหนงใจในภายหลังว่า "ไม่น่าเลย.. รู้งี้...ดีกว่า"



สำหรับผมเองพึ่งได้หูฟังมาตัวนึงซึ่งได้สั่ง pre-order ไปกับทางตัวแทนประเทศไทยไปซึ่งสาเหตุที่สั่งจากตัวแทนก็คือไม่อยากจะทำอะไรที่ยุ่งยากมากนักอีกอย่างก็มีส่วนลดให้ด้วยแม้ว่าราคาจะสูงกว่าสั่งเองบ้างนิดหน่อยแต่สะดวกกว่ากันมาก ซึ่งทางตัวแทนก็อยากจะทราบความเห็นในมุมมองของผู้ใช้หูฟังรุ่นนี้ว่าเป็นอย่างไรเลยคิดว่าน่าจะลองเขียนมาให้อ่านกันดูเป็นแนวทางซึ่งๆ หลายๆ ท่านก็คงจะได้ลองกันไปบ้างแล้วก่อนที่จะได้อ่านรีวิวชิ้นนี้หากความเห็นของท่านไม่ตรงกับที่เขียนไว้ก็ขออภัยด้วยละกันครับเพราะก็ว่าไปตามความรู้สึกของหูบ้านๆ และอาจจะมีอคติเจืออยู่บ้างตามประสาคนจ่ายตังค์ซื้อหามาใช้ซึ่งก็ต้องเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมดา หุหุ

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
1.iPod Classic
2.iPhone 3Gs
3.SONY X series 1050 ขอบคุณพี่ตุ้ย redbook มากที่เอามาให้ยืม
4.iMac & Macbook

ไฟล์เพลงที่ใช้ทดสอบ:
สารพัดแนว ความละเอียดทุกความละเอียดเท่าที่นิยมในตลาด แต่ก็ไฟล์ lossless ต่างๆ

spec:
การตอบสนองความถี่: 10Hz-20kHz
ความไว: 118dB ที่ 1mW
อิมพีแดนซ์: 18 โอห์ม

การออกแบบและชิ้นงาน: ตรงนี้คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะว่าหูฟังแบบคัสต้อมทำมาเพื่อให้เข้ากับช่องหูของเจ้าของแต่ละท่านที่จะต่างกันก็คงจะเป็นที่สีและลวดลายตามความต้องการของแต่ละคนซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหูฟังคัสต้อมที่ทำให้หลายๆ คนหลงใหลในจุดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก็คือว่าชิ้นงานของทาง JHA ที่ทำออกมาในช่วงหลังนี้เนี๊ยบกว่าหูฟังตัวเดิมที่ครอบครองอยู่เยอะเลยทั้งตัวเปลือก,งานประกอบ,อาร์ตเวิร์คและบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุ(น่าจะทำแบบนี้แต่แรกแล้ว) คือจากเดิมที่ใช้กล่องพลาสติคทำเป็นลายคาร์บอนไฟเบอร์ก็เปลี่ยนเป็นกล่องสุญญากาศขนาดเล็กใสพร้อมถุงกำมะหยี่สีดำน่าลูบไล้อยูภายในให้แทนดูมีสกุลรุนชาติขึ้นมาทันทีตรงนี้ต้องให้เครดิตกับทีมงานก่อนเลยในเบื้องต้นเพราะอย่างน้อยเกือบปีที่ผ่านมาได้เห็นพัฒนาการของบริษัทไปในทางที่ดีขึ้นจากโรงงานนรกมาได้มาตรฐาน ISO9999


ความประทับใจแรก: เมื่อทดลองใส่ฟังเป็นครั้งแรกเสียงที่ได้ยินเด่นนำอย่างอื่นเลยก็คือเสียงเบสครับที่ไม่ใช่มากันทั้งบ้านแต่คงจะยกขโยงกันมาทั้งอำเภอเลยทีเดียว ในช่วงแรกยังคุมตัวโน๊ตเบสได้ไม่ดีนักมันแกว่งๆ แถมกินเข้าไปในย่านกลางอยู่บ้างแต่พอผ่านสองชั่วโมงขึ้นไปเสียงเริ่มเข้าที่อาการกินล้ำไปในย่านกลางค่อยๆ หายไปและคุมตัวโน๊ตได้แม่นขึ้นพูดง่ายๆ ว่าเริ่มฉายแววเทพมากขึ้นกว่านาทีแรกที่ได้ฟังอยู่พอสมควร สาเหตุที่ต้องพูดถึงประเด็นนี้ก่อนก็เพราะว่าได้เลือกแทรคที่เน้นๆ เสียงต่ำมาเปิดเป็นส่วนใหญ่ทั้งจากแทร็คทดสอบเสียง,เพลงประกอบภาพยนต์และเพลงร็อคโหดๆ อีกสารพัดเพลงเนื่องจากว่าสิ่งที่เป็นจุดแข็งและจุดขายของเจ้าตัวน้อยนี้ก็คือเรื่องของเบสนี่แหละซึ่งถ้าไม่นำมาพูดก่อนก็เหมือนกินน้ำแข็งแล้วไม่พูดถึงความเย็นยังไงยังงั้น

หลังจากเปิดฟังสลับไปมาแบบ shuffle โดยใช้เพลงสารพัดแนวก็พบว่าหูตัวน้อยนี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวซึ่งเหตุผลที่บอกว่าไม่ธรรมดานั้นเป็นอย่างไรจะกล่าวไว้ในหัวข้อต่อไป อ่อ ตัวนี้มีความไวในการตอบสนองความถี่ของ JH16 น้อยกว่า JH13 อยู่บ้างทำให้ไดนามิคของ JH13 ดีกว่า JH13 เวลาฟังเร่งมากกว่า JH16 เล็กน้อยเพราะอิมพีแดนซ์น้อยกว่า(อาจเป็นเพราะไดรเวอร์ความถี่ต่ำที่ใส่เข้าไปสี่ตัวนั้นต่อขนานกันอยู่ อนุมานเอานะครับเพราะไม่ได้เอาแว่นขยายไปส่อง หุหุ)





บรรยากาศความเป็นดนตรีมิติและตำแหน่งของเครื่องดนตรี: อยากจะพูดถึงส่วนนี้ก่อนเพราะในความรู้สึกของผมนั้นสิ่งที่เป็นจุดแข็งมากๆ ของหูฟังตัวนี้คือการ"ดึงเราเข้าไปในอารมณ์ของเพลงได้ง่าย"จริงๆ ไม่ว่าจะเปิดเพลงในแนวไหนก็ตามแต่จะดีมากๆ ถ้าใช้เปิดฟังบันทึกการแสดงสดไม่ว่าจะเป็นเพลงพื้นบ้าน ร็อค คลาสสิค แจ๊สหรือแม้แต่บลู ซึ่งคงต้องแวะคุยกันนิดนึงในเรื่องของบลู คำว่าบลูหมายถึงสีน้ำเงินแต่ถ้าพูดถึงประเภทของเพลงคำว่าบลูหมายถึงเพลงที่ให้ความรู้สึกเศร้าโศกเป็นพื้นฐาน พอสุ่มมาถึงเพลงๆ นึงที่ชื่อว่า tears in heaven ของอีกหนึ่งเทพกีตาร์บลู eric clapton ซึ่งแต่งขึ้นหลังจากสูญเสียลูกชายตัวเล็กจากความเลินเล่อของพี่เลี้ยงจนเป็นเหตุให้เด็กตกตึกเสียชีวิตพอเสียงกีตาร์ตอนเริ่มเพลงดังขึ้นเท่านั้นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในวันหนึ่งซึ่งผมเองมีอารมณ์บลูแบบจัดๆ คือได้หวนย้อนระลึกไปถึงตอนที่ถูกเค้าไล่ออกจากที่ทำงานแรกในชีวิตหลังจากที่เลิกแบมือของเงินพ่อแม่.. น่าประทับใจจริงๆ ทำงานที่แรกก็ถูกเค้าไล่ออก


อารมณ์ในตอนนั้นมันบอกไม่ถูกครับ ธรรมดาเพลงนี้ผมเปิดบ่อยเพราะมีความชื่นชอบเป็นการส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้อินอะไรนักเพียงแต่ว่าชอบไลน์กีตาร์ของเพลงก็เท่านั้นเอง แต่พอถูกเค้าไล่ออกจากงานก็เกิดความรู้สึกอยากจะเล่นเพลงนี้ขึ้นมาจับจิตจึงชวนครูที่สอนผมเปิดแผ่นมาเล่นเพลงนี้ด้วยกันในคืนสุดท้ายของการทำงานที่นั่น ในช่วงสี่ห้านาทีที่เล่นโดยมีอารมณ์บลูเป็นพื้นฐานนั้นมัน"เข้าใจอารมณ์"ของลุง eric ขึ้นมาทันทีว่าไลน์กีตาร์ของเพลงนี้มันมีทั้งเศร้าสับสนหาและทางออกให้ตัวเองไม่เจอพร้อมทั้งลึกๆ มีแอบแถมความอ่อนไหวอยากจะฆ่าตัวตายซ่อนอยู่อีกต่างหาก จากวันนั้นถึงวันนี้นี่ผมได้ลืมอารมณ์นั้นไปแล้วและก็ไม่ค่อยได้เปิดฟังเพลงนี้ด้วยแต่พอเปิดสุ่มเจอเพลงนี้ขึ้นมาอีกทีภาพในวันที่นั่งอยู่บนเวทีสองคนกับครูมันโผล่ขึ้นมาในใจ พอจับความรู้สึกตรงนี้ได้ก็เลยไล่เปิดเพลงที่ตัวเองชอบไล่ไปทีละเพลงทีละแนวแบบกึ่งๆ สุ่มๆ ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นถูกต้องซึ่งก็คือ JH16 สามารถดึงเราเข้าไปในอารมณ์เพลงได้ดีพูดง่ายๆ ก็คือ"ฟังแล้วรู้สึกมีส่วนร่วม"ในเพลงนั้นๆ ได้ง่าย

เรื่องของบรรยากาศก็เป็นอีกเรื่องที่เด่นซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งต่างจาก JH13 คู่ใจอยู่พอสมควรถ้าใครเคยอ่านรีวิว JH 13 Pro ในทรรศนะของข้าพเจ้าจะพบว่าผมเคยบอกว่าบรรยากาศของ JH13 นั้นมันชัดเจนมากไปนิดนึงทำให้รู้สึกจริงจังมากกว่า UE11 ในการฟังเพลงบันทึกการแสดงสด แต่พอมาถึง JH 16 ตรงนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีบรรยากาศรายรอบของเพลงดีขึ้นมากๆ เสียงก้องสะท้อนของห้องอัดหรือว่าฮอลล์แสดงคอนเสิร์ตออกมาให้รับรู้ได้พอดีๆ ซึ่งก็เดาว่าความรู้สึกที่ได้ยินน่าจะรู้สึกเหมือนกับนักดนตรีที่ติดโหมด ambient ให้หูคัสต้อมเพื่อรับฟังบรรยากาศในระหว่างเล่นเพื่อช่วยเสริมและส่งอารมณ์ให้พีคจะได้นำเสนอบทเพลงออกมาสัมผัสใจของผู้ชมได้มากขึ้น หูฟังตัวนี้เหมาะกับเอามาฟังเพลงบันทึกแสดงสดจริงๆ แม้แต่ฟังเพลง studio version อยู่ใจก็พาลนึกถึงเพลงนั้นในแบบบันทึกการแสดงสดขึ้นมาทันใด

ความเป็นดนตรีของ JH16 มีมากกว่า JH13 ทำให้ฟังเพลงได้อารมณ์และหลากหลายแนวมากกว่า JH13 ที่แน่ๆ ฟังแล้วสนุกมากกว่า JH13 แต่ก็ยังคงความเป็นมอนิเตอร์อยู่พอสมควรคือเสียงที่ออกมาค่อนข้างจะกลางอยู่เหมือนกัน จะเด่นมากๆ เมื่อฟังเพลงร็อค,ริทึ่มแอนด์บลูและเพลงแดนซ์ทุกแนว สำหรับเพลงแจ๊สก็นำเสนอได้ค่อนข้างดีเพราะการตอบสนองความถี่ค่อนข้างฉับไวในทุกย่านทำให้ฟังแล้วสนุกโดยเฉพาะช่วงอิมโพรไวซ์ ที่ไม่ค่อยดีนักก็คือเพลงคลาสสิคที่ว่าไม่ค่อยดีนักก็คือว่าในความถี่ต่ำค่อนข้างจะมากไปนิดนึงในช่วงโหมโรงทำให้ตำแหน่งของเครื่องถูกลดความชัดเจนมาลงบ้าง ตำแหน่งของเคร่ืองดนตรีที่ JH16 นำเสนอให้ได้ยินค่อนข้างชัดเจนทำให้รับรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนได้ไม่ยากโดยเฉพาะเมื่อฟังเพลงบันทึกการแสดงสด และเมื่อฟังเพลงที่ชิ้นดนตรีไม่มากนักนี่เยี่ยมมากในการบอกตำแหน่งโดยเฉพาะ quartet หรือว่ trio ขาแจ๊สน่าจะถูกใจถ้าได้ลองฟัง






ความถี่ต่ำ: นี่สิจุดขายแล้วก็เป็นจุดเด่นของหูตัวน้อยตัวนี้อย่างแท้จริง ว่ากันว่าการเพิ่มเสียงต่ำให้กับชุดฟังเพลงจะช่วยเสริมมิติให้พร้อมทั้งช่วยขับให้เสียงกลางและสูงดีขึ้นด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มากนักเท่าไหร่อยากจะบอกว่าเห็นด้วยกับที่เค้าว่ามาทุกประการ ซึ่งถ้าใครมีชุดสองแชนแนลที่จัดวางตำแหน่งค่อนข้างลงตัวดีแล้วอยากจะทดสอบเรื่องนี้ดูก็สามารถทำได้โดยอาจจะไปยกยืม(หยิบยืมคงจะไม่ไหว)ซับวูฟเฟอร์ของเพื่อนมาลองต่อเพิ่มฟังดูก็ได้แต่บางท่านอาจจะแย้งว่าซับวูฟเฟอร์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดออกแบบมาเพื่อใช้ดูภาพยนตร์แบบหลายช่องสัญญาณเป็นหลักซึ่งผมเองเห็นด้วยทุกประการ อีกอย่างซับฯ ที่ทำออกมาเพื่อฟังเพลงนั้นราคามหาโหดมากๆ มีไม่กี่ยี่ห้อด้วยที่ทำได้ดีแต่ว่าถ้าต้องการจะลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่เค้าว่ามาซับฯ ดูหนังก็พอช่วยได้แหละแต่่ว่าแนะนำให้หาตัวเขย่งหรือว่าทิปโทมารองใต้ขาพร้อมทั้งจะให้ดีหาหมอนข้างมาวางไว้ในแนวตั้งที่มุมห้องหลังซับฯ ด้วยก็จะช่วยดึงให้เสียงเบสขนาดมโหฬารลดขนาดลงมาได้ในระดับนึงเลยทีเดียวส่งผลให้การทดลองเรื่องการเอาซับฯ มาเสริมในการฟังเพลงได้ผลอย่างเต็มที่

ไหนๆ ก็พูดถึงซับฯ แล้วก็ขอต่ออีกนิดนึงก็แล้วกันนะครับว่าประเด็นที่เราหาซับฯ มาใช้ก็เพื่อเพิ่มความรู้สึกและแรงปะทะจากความถี่ต่ำที่ออกมาจากซับฯ นั่นเอง จริงๆ ซับฯ ส่วนมากแล้ว"แทบจะไม่มีเสียงออกมา"ที่ออกมาจากตัวของมันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เรารับรู้ก็คือ"ความรู้สึกและแรงปะทะ"เค้าถึงเรียกว่า .1 เพราะมันไม่ครบแชนแนลนั่นเองดังนั้นอุปกรณ์เสริมประเภทที่สร้างความสั่นสะเทือนจึงนำมาใช้แทนซับได้ค่อนข้างดี และจากที่เคยได้อ่านและก็ไปหาลองฟังดูบ้างเมื่อสมัยที่หาซับฯ มาใช้นั้นพบว่า ซับฯ แบบใช้ดอกตัวเล็กหลายตัวช่วยกันเมื่อเทียบกับซับฯ ที่ใช้ดอกโตเพียงตัวเดียวนั้นที่ต่างกันก็คือ "ซับฯ ที่มีดอกตัวเล็กหลายตัวลงลึกได้ไม่เท่ากับซับฯ ที่ใช้ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ตัวเดียว" ซึ่งหลายท่านอาจจะนึกในใจว่าแล้วจะเอามันมาใช้ทำไมในเมื่อมันลงลึกได้ไม่เท่ากับซับที่มีไดรเวอร์ขนาดใหญ่ เท่าที่เคยเจอซับที่มีไดรเวอร์หลายตัวมักจะใช้ร่วมกับลำโพงแซทเทลไลท์ตัวเล็กหรือไม่ก็ใช้ในลำโพงกลางแจ้ง ข้อดีสุดๆ ของมันก็คือว่าเสียงต่ำที่ออกมาเร็วมีไดนามิคของเสียงต่ำดีกว่าแบบไดรเวอร์ตัวใหญ่ที่แม้ว่าแรงปะทะจะเยอะลงได้ลึกแต่ว่ามีความหนืดอยู่ในตัวจนบางทีอาจจะมีติดบวมอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการออกแบบซับที่เค้าเรียกว่า .1 นั้นยากเอาการแถมจะหาดีๆ ก็ไม่ง่ายหลายๆ ท่านที่เล่นลำโพงสองแชนแนลอาจจะเคยเจอกับตัวมาบ้างแล้ว

สำหรับ JH16 นี้อาจจะพูดได้ว่าเป็น JH13 ที่ติดซับฯ ให้มาด้วยก็น่าจะได้ แต่ก็จริงๆ แล้วจากความรู้สึกที่ได้ฟังแล้วนี่อยากจะบอกว่าก็ไม่ใช่ซะเลยทีเดียวเพราะมีความแตกต่างกันในบุคลิกเสียงอยู่บ้าง เหมือนๆ กับว่าแม้จะเป็นสามทางเหมือนกันคือมีครอสโอเวอร์เอาไว้แยกความถี่ให้กับไดรเวอร์ในแต่ละชุดรวมสามชุดด้วยกันคือ สูง กลาง และต่ำ แต่เหมือนกับว่าจุดแบ่งความถี่ให้กับไดรเวอร์แต่ละชุดเปลี่ยนไป ซึ่ง Jh13 จากที่เคยรีวิวไว้นั้นความลึกของความถี่ต่ำค่อนข้างลงได้ลึกอยู่แล้วเพียงแต่ว่าแรงปะทะน้อยไปหน่อยและความถี่ต่ำช่วงกลางๆ ที่เรามักจะได้ยินกันเป็นส่วนใหญ่จากเสียงกระเดื่องน้อยไปนิดเพราะต้องการนำเสนอความพอดีและชัดเจนของความถี่ในแต่ละย่าน พอมาถึง JH16 ทางลุงเจอได้ปรับแก้ตรงนี้มาแล้วทำให้เสียงต่ำของ JH16 นั้นมีแรงปะทะที่น่าประทับใจมากๆ หลังจากผ่านการเบิร์นไประยะหนึ่งเพราะว่าโดยไดร์เวอร์แบบอเมเจอร์นี้แทบไม่จำเป็นจะต้องเบิร์นแต่ว่าหูฟังไม่ได้มีแต่ไดรเวอร์ดังนั้นจึงต้องเบิร์นเหมือนกันจากที่ฟังมาพอผ่านสามสิบชั่วโมงไปเสียงเริ่มจะนิ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

จังหวะที่นักดนตรีกระตุกสายดับเบิ้ลเบสซ้อนๆ กันในเพลง trio jazz ให้ความรู้สึกสมจริง เสียงกลองสองหรือสามกระเดื่อง(สามจริงๆ ครับไม่ได้เล่นมุกใน blu-ray ชุด This is it)สดกระแทกกระชั้นอย่างชัดเจน กลองญี่ปุ่นก็ลงไม้แต่ละทีนี่หนักถึงใจ ล่าสุดไปที่เกาหลีมาได้ลองไปฟังกลองเกาหลีตีอยู่ใกล้ๆ ซึ่งรูปแบบของกลองเกาหลีและวิธีการตีแทบไม่แตกต่างจากกลองโคโดที่เคยได้ยินมานานแล้ว เสียงของกลองประเภทนี้เมื่อฟังจากหูฟังแบบอินเอียร์นั้นผมไม่เคยได้อารมณ์แรงๆ แบบที่เคยได้ยินจากของจริงเลยเพราะว่าแรงปะทะนั้นต้องอาศัยขนาดของไดรเวอร์เป็นสำคัญแต่ว่าไดรเวอร์แบบอเมเจอร์ให้ตรงนี้แทบจะไม่ได้ อีกประการนึงก็คือเราจะเอาแรงปะทะไปทำไมในเมื่อตัวหูฟังเองก็เสียบเข้าไปในช่องหูโดยตรงถ้ามีแรงปะทะเยอะๆ เกรงว่าแก้วหูจะแตกเอาง่ายๆ แต่ว่า JH16 ให้ความรู้ถึงถึงแรงปะทะได้ค่อนข้างดีบอกตามตรงว่าเหมือนกับจะลงต่ำได้ลึกไม่เท่ากับ UE11 แต่ที่เจ๋งกว่าก็คือความเร็วและรายละเอียดที่ UE11 ให้ได้ไม่เหมือนกับ JH16 ไม่ใช่ว่าดีกว่าหรือแย่กว่านะครับแต่ว่าให้ได้"ไม่เหมือนกัน"


เสียงกลางและสูง: อยากจะกล่าวถึงไปพร้อมกันเลยเพราะว่าหูฟังในตระกูล JH นั้นขึ้นชื่อและเป็นที่เลื่องลือในส่วนของเสียงกลางและสูงที่เป็นธรรมชาติและสมจริงอยู่แล้วคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากนัก สำหรับ JH16 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องนี้เสียงกลางและสูงค่อนข้างดีมากคือสมจริงและมีไดนามิคที่ดีแต่ว่าเมื่อเทียบกับ JH13 แล้วส่วนตัวผมชอบกลางของ JH13 มากกว่าแต่ว่าเสียงกลางของ JH16 ฟังรื่นหูมากกว่าออกติดหวานนิดนึงคิดว่าผู้ที่ชอบแนวหลงเสียงนางคงจะชอบได้ไม่ยาก(ถ้าได้ลอง) แหลมไม่กัดหูแต่ว่าเมื่อเทียบกับ JH13 แล้วไปได้ไกลไม่เท่า(ตามที่รู้สึกเพราะว่าในทางเทคนิคแล้วก็ไปได้เท่ากันแหละ) ความละเอียดของเสียงสูงเยี่ยมเมื่อรวมกับเสียงกลางที่ค่อนข้างเนียนแล้วทำให้มีความพริ้วไหวอยู่ในตัวเมื่อฟังเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองหรือว่าเครื่องเคาะประเภทต่างๆ



สรุป: JH16 เป็นหูฟังที่กลาง(Neutral) ฟังสนุก(Fun) และทำให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงได้ดี(Involving) คล้ายๆ กับเป็น JH13 ที่ติดซับวูฟเฟอร์มาให้ ฟังเพลงได้หลากหลายแนวและเหมาะอย่างยิ่งในการฟังเพลงบันทึกการแสดงสดในรูปแบบต่างๆ สุดท้ายอยากจะบอกว่าแม้ว่าโดยรวมแล้ว JH16 เป็นหูฟังคัสต้อมที่ดีมากๆ ในตอนนี้คงไม่มีตัวเทียบเมื่อเอ่ยถึงเสียงโดยรวมๆ แต่... สำหรับผมแล้ว JH13 เป็นหูฟังตัวที่ผมฟังแล้วชอบที่สุดอยู่ดีโดยเหตุผลดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วก็คือจุดประสงค์ในการฟังเพลงของแต่ละคนแตกต่างกันไปซึ่งด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผม"ชอบ JH13 มากกว่า JH16 ในเพลงส่วนใหญ่ที่ผมฟัง"แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางอารมณ์คนเราก็ต้องการสีสันให้กับชีวิตบ้างเหมือนกันซึ่ง JH16 ช่วยเติมเต็มตรงนี้ให้ได้ เจ้าตัวน้อยนี้ไม่เลือกเครื่องเล่นเมื่อลองฟังจากเครื่องเล่นหลายๆ ตัวก็ขับออกได้ไม่ยากส่วนว่าจะใช้เครื่องเล่นตัวนี้เล่นแล้วโอเคในตอนนี้ SONY X กับ iPod Classic ค่อนข้างจะฟังดีกว่าตัวอื่น แต่ว่าตอนนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วแม้ว่าอายุจะไม่ได้มากเท่าไหร่แต่พักหลังมานี้เริ่มมีรู้สึกแบบนี้จริงๆ ตอนนี้ไม่ค่อยต้องการเพิ่มสีสันให้กับชีวิตมากนักอยากหา"ของจริง"และสิ่งที่"พอดี"ให้กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในแต่ละวัน เท่านี้ชีวิตก็รู้สึกว่าลงตัวแล้วแหละ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ











ขอบ่นหน่อยนะจะอ่านข้ามไปก็ได้นะครับเพราะค่อนข้างไร้สาระ:

ตอนนี้นั่งดูหนังชีวิตทางทีวีแล้วรู้สึกสะท้อนใจเพราะว่าคนไทยเริ่มรักกันน้อยลง อาจจะพูดได้ว่าความรู้สึก"เอาใจเขามาใส่ใจเรา"หมดไป ต่างฝ่ายต่างก็มองในมุมของตนเท่านั้นเองดูๆ ไปแล้วก็อนาถใจ ยิ่งอ่านตามเวปบอร์ดยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวไปใหญ่นึกในใจทำไมไม่ลองคิดแบบง่ายๆ กันดูบ้างหนอ ลองนึกว่าเราใส่ชุด war gear ไปยืนตากแดดดูหรือไม่ก็นึกว่าเอาพลาสติกปูพื้นรองนั่งบนพื้นถนนร้อนๆ รอเค้าเดินมายิงว่าจะรู้สึกยังไง "เอาใจเขามาใส่ใจเราพี่น้อง" อย่าเอาอารมณ์ทีเกิดจากความเดือดร้อนและไม่สะดวกมาเป็นตัวเร่งให้ต้องระบายอารมณ์ใส่กันเพราะจริงๆ แล้วเป็นเรื่องของคนไม่กี่คนเองที่ทำให้ป่วนไปหมดทั้งประเทศ

"รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เป็นคำพูดที่เรามักจะได้ยินอยู่เป็นประจำ ไม่ทราบว่าเคยถามบ้างไหมว่าแล้วต้อง"รู้อะไรบ้างล่ะ?" ว่ากันว่าหนึ่งต้องรู้กำลังพล สองรู้กำลังอาวุธ สาม(สำคัญที่สุด)จะช่วยย่นระยะเวลาในการรบให้สั้นลงได้ก็คือต้องรู้"จุดประสงค์ในการรบ"ของฝ่ายตรงข้าม ถ้าฝ่ายตรงข้ามรบเพราะอดอยากในทางการทหารวิธีจัดการให้เร็วก็คือต้องตัดสะเบียงซะแล้วก็เข้าโจมตีแต่....จะดีกว่ามั้ยถ้าจะเปลี่ยนมุมมองนิดนึงคือไปทำให้เค้าอิ่มแทนเพราะถ้าทำแบบนี้อาจจะได้"พวก"เพิ่มขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้ต้องไปรบเลย บางทีที่น่าแปลกก็คือบางทีคนเรานอกจากไม่ไปช่วยให้เค้าอิ่มทั้งๆ ที่ทำได้แล้วยังด่าคนที่เอาของกินไปให้มีบ่นแถมอีกว่า"ทำไมถึงไม่รักเราบ้างอ่ะ" จะให้รักเข้าไปได้ยังไงคุณไม่เคยแสดงความจริงใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลยทั้้งๆ ที่มีโอกาสทำได้ตั้งเยอะแต่ก็ยังเลือกจะ"โทษคนอื่น"แทน"แก้ไขปรับปรุงทีท่าของตน" ผมว่านะต้องรู้จักให้ก่อนแล้วถึงจะได้พวก ในที่นี้"ให้ความจริงใจแก่กันและกัน"สำคัญที่สุด

ตอนนี้ของอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมดแต่คนก็ยังไม่รู้สึกอะไรกันน่าจะต้องปรับปรุงระบบความคิดของคนในประเทศแล้วละมั๊งเนี่ย(ส่วนตัวได้เริ่มทำบ้างแล้วตามหน้าที่ของตัวเองเพราะว่าก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน อีกอย่างเริ่มรู้สึกว่าบ่นไปก็ไม่ได้อะไร) คนมาอยู่บนถนนแทนที่จะอยู่บ้าน ทหารก็เข้ามาในเมืองแทนที่จะไปปกป้องชายแดนหรือจังหวัดที่มีปัญหา แถมมีการดูถูกความคิดชาวบ้านอีกตรงนี้ขอร้องเถอะครับชาวบ้านหลายๆ คนที่ผมได้ไปเจอมามีความรู้และ"คิดได้ลึกและรอบ"มากกว่านัก copy n develope ที่มีดีกรีเยอะเลย

ลุงคนนึงบอกผมว่าเรื่องในโลกนี้มีอยู่สี่เรื่องเท่านั้นเองคือ "เรื่องของกู เรื่องของมึง เรื่องของมัน และเรื่องของใครไม่รู้" เราปรับที่คนอื่นไม่ได้แต่เราปรับที่ตัวเราได้ มีสามีคนนึงถูกภรรยาด่าเพราะว่าหงุดหงิดมาจากที่ทำงาน ถามว่าในกรณีนี้สามีควรทำอย่างไรก็ต้องตอบว่าสามีควรจะเงียบให้ภรรยาได้พูดยอมเป็นฝ่ายรับที่อยู่นิ่งๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ถ้าถามว่าใครผิดก็บอกว่ามีส่วนผิดทั้งสองคนแหละทั้งสามีและก็ภรรยา ภรรยาก็ผิดที่ใช้อารมณ์มาลงใส่สามีโดยที่เค้ายังไม่ได้ทำอะไรให้กระทบกระเทือนใจ ส่วนสามีก็ผิดถามว่าผิดตรงไหนก็ผิดตรงที่ "ตาไม่ถึงไปเลือกคนแบบนี้เป็นภรรยา" แต่ผิดก็คือผิดไม่ใช่ชั่วเพราะคำว่าชั่วคือรู้ว่าผิดแต่ก็ตั้งใจจะทำให้มันผิดและบนโลกนี้ทุกคนมีโอกาสผิดกันได้แต่จะยอมรับผิดหรือเปล่านี่เป็นอีกเรื่องนึง การที่จะ"ยอมรับชะตากรรมของตนด้วยความเข้าใจแล้วมาแก้ที่ตัวเรา"มีประโยชน์และมีความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหามากกว่าจะแก้ที่คนอื่น (ขอบคุณพี่ตุ้ย redbook ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ได้คิดอะไรเยอะเลยหลังจากที่ได้รู้)

MJ บอกว่า "I'm Starting With The Man In The Mirror" ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้โดยเริ่มที่ตัวเรา..

1 ความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม