วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รากฝอยของต้นประเทศกำลังแห้ง

วันก่อนได้ขึ้นไปที่แม่แจ่มเพื่อไปดูโรงเรียนที่เคยไปช่วยร่วมสร้างเอาไว้เมื่อปีก่อนเพราะว่าถูกไฟป่าไหม้ไปแล้วทั้งหลังน่าสงสารเด็กๆ จังที่จำเป็นต้องไปอาศัยเพิงชั่วคราวเรียนไปก่อน แต่ก็น่าชื่นใจอยู่อย่างว่าด้วยความตั้งใจของครูที่ขึ้นไปสอนข้างบนโน้นทำให้มีคนที่เค้าพอมีเงินอยู่ไปร่วมกันสร้างอาคารให้ใหม่แล้ว เมื่อไปถึงได้เห็นหน้าเด็กๆ ที่ดูซื่อๆ ใสๆ ก็ชื่นใจเพราะตั้งใจเรียนกันดีมากส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะไม่มีอะไรมาดึงใจให้ว่อกแว่กการเรียนหนังสือเลยเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับพวกเค้าเพราะไม่ว่าเด็กจะทำอะไรสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจทั้งสิ้นเนื่องจากเป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วถ้าพ่อแม่รู้จักป้อนข้อมูลที่ดีๆ ไม่เอาขยะใส่เข้าไปในหัวเด็กถือได้ว่าเด็กคนนี้เริ่มต้นชีวิตได้เยี่ยมมาก

บรรยากาศบนดอยก็เงียบสงบดีเช่นเคยพอไปถึงฝนก็ตกลงมาต้อนรับทำให้รู้สึกเย็นบ้างเหมือนกันแต่ที่ชอบมากๆ ก็คือเสียงของอึ่งอ่างที่มาร้องรอบๆ บ้านพักฟังแล้วก็เพลินทำให้สมองค่อนข้างแล่นคิดเรื่องงานค่อนข้างจะดีโดยเพราะก่อนจะนอนก็ได้มาลองทบทวนตัวเองดูในเรื่องที่ทั้งพลั้งและก็พลาดในช่วงสองสามเดือนหลังก็เห็นทางแก้ไขได้ค่อนข้างชัดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เลยมานั่งนึกๆ ว่าใครที่งานสุมหัวเยอะๆ คิดอะไรไม่ออกถ้าได้ลองหลบไปอยู่เงียบๆ บ้างจะช่วยอะไรได้พอสมควรเหมือนกัน จริงๆ จะว่าไปการที่อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีอย่างเพราะถ้าคิดจะทำอะไรก็สะดวกดีไม่ต้องคิดหลายหน้าซึ่งส่งผลดีมากกับการทำงาน(เหมาะสำหรับคนบ้างานเท่านั้น)

จะว่าไปการเดินทางก็ให้อะไรหลายๆ อย่างกับเรา นึกย้อนไปตั้งแต่จำความได้คุณพ่อคุณแม่ก็ชอบพาไปนั่นนี่เรื่อยเกิดในครอบครัวที่ชอบเที่ยวก็ดีอย่างนี้แหละได้ไปในที่ๆ ไม่เคยไปเป็นประจำโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไกลๆ ในภาคต่างๆ ทำให้เราได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายและความแตกต่างของคนหลายๆ ระดับที่ได้เจอทั้งคนที่รวยสุดๆ ไปจนถึงจนแบบสุดๆ แล้วก็ช่วงกลางๆ ทั้งกลางสูงและกลางต่ำ จะว่าไปสังคมก็เหมือนดนตรีนะ มีต่ำมีกลางมีสูง มีบรรยากาศมีอารมณ์ มีไดนามิคเรนจ์หรือช่วงความกว้างแตกต่างกันไปแล้วแต่ซิสเต็ม ถ้าซิสเต็มดีหน่อยก็"เห็นได้กว้างรู้ได้ไกลคิดได้รอบ" ดังนั้นสังคมของเราเป็นกรอบ"ซิสเต็มทางความคิด"ให้กับผู้คนในสังคม

การที่จะเข้าใจซิสเต็มทางความคิดนี้ไม่จำเป็นว่าต้องรวยล้นฟ้าหรือว่าจบสูงจากนอกมาขอแค่เปิดใจยอมรับคนในระดับต่างๆ เข้ามาในระบบ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องไปพูดไปคุยไปกินไปอยู่กับเค้าดูบ้างแล้วจะพอรู้ว่าคนแต่ละระดับมีเร่ืองดีๆ มีมุมคิดอะไรที่น่าสนใจเยอะแยะที่สามารถเอามาปรับใช้กับงานของเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าใครคิดจะเป็นผู้นำประเทศแล้วน่าจะเพิ่มกรอบซิสเต็มทางความคิดนี้ให้กับตัวเองเยอะๆ เพราะว่า"ประเทศไม่ได้มีเฉพาะเมืองหลวงหรือว่าเมืองใหญ่" พื้นที่ชนบทเองก็เป็นรากฝอยมีประชาชนเป็นรากแก้วของประเทศ ต้นประเทศเองต้องอาศัยรากฝอยคือพื้นที่ในชนบทเพื่อดูดอาหารผ่านไปเลี้ยงลำต้นด้วยเหมือนกัน มีรากแก้วหรือประชาชนประเทศคอยประคอง ถ้าพื้นที่ในชนบทดึงดูดอาหารไปเลี้ยงลำตัวได้ลื่นไหนสะดวกไม่แห้งตายต้นประเทศก็จะแข็งแรงมีใบดกงดงาม

ตอนนี้ประชาชนในชนบทซึ่งก็คือรากแล้วและรากฝอยของต้นประเทศถูกละเลยจะด้วยเหตุใดก็ตามแต่เนื่องจากว่ามันอยู่ใต้ดินเราเองอาจจะยังไม่เห็นว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศชัดเจนมากนัก จากที่ไปได้สัมผัสมาในหลายๆ พื้นที่คิดว่าอีกไม่นานคงเกิดปัญหาใหญ่แน่นอนถ้าไม่มีใครลงไปดูแลอย่างจริงจังเพราะเท่าที่มองอยู่ตอนนี้ผู้นำประเทศและคนในฝ่ายบริหารเอง"ไม่เข้าใจ"ว่าปัญหาเกิดจากอะไรซึ่งจะว่าเค้าก็ไม่ได้เพราะเค้าเองก็ไม่เคยไปขลุกอยู่กับคนในพื้นที่นอกเมืองจริงๆ ดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจเพราะในตำราที่เรียนหรือฟังจากคนอื่นมาเรื่องหนึ่งแต่ของจริงๆ ในพื้นที่มันเป็นอีกเรื่องนึงเลย หวังว่าท่านผู้นำคงจะปรับเปลี่ยนท่าทีในการบริหารหน่อยเพราะบ้านเมืองในชนบทตอนนี้เงียบเหงามากๆ

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน

นั่งรอขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิก็ดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยเพราะว่าสิ่งรอบๆ ตัวเรานี้ถ้ารู้จักมองแล้วโลกนี้นี่ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลยพูดจากมุมมองของคนที่มีกิจวัตรประจำวันค่อนข้างน่าเบื่อเพราะผมไม่ค่อยชอบจะเปลี่ยนอะไรมากนัก แทบจะเรียกได้ว่านึกไปอีกสามปีข้างหน้าถ้าไม่ถูกเค้าไล่ออกจากงานที่ทำอยู่ก็คงจะมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมคือแบ่งเวลาให้งานหนึ่งส่วน ให้คนอื่นๆ อีกค่อนส่วนที่เหลือก็ให้ตัวเองส่วนมากก็จะเป็นช่วงเวลาที่เอาไว้อยู่เงียบๆ เพราะแต่ละวันผมว่าผมให้เวลากับคนอื่นมากไปนิด

จะว่าไปการมีกิจวัตรที่ซ้ำซากนี่ก็ดีนะคือไม่ต้องมีเรื่องอะไรมารกสมองมากนักเพราะแค่เรื่องงานกับเรื่องคนอื่นก็มากพอแล้วถ้ามีเรื่องของตัวเองมั่วๆ แถมเข้ามาอีกนี่คงจะไม่ไหว ตอนนี้หน้าที่หลักๆ คือการพูดซะเยอะก็คงถึงเวลาเอาประสบการณ์ที่ผ่านมานำไปแบ่งให้คนอื่นทั้งแนะแนวการทำงาน,ประสานงานและแก้ปัญหา ลมัยก่อนหัวหน้าเค้าไม่ให้พูดเค้ามีแต่สั่งให้ทำตามบอกว่าตั้งใจทำให้ดีอีกหน่อยจะช่วยคนอื่นได้บอกไปก็นึกไม่ออกว่าทำงานงกๆ จะช่วยคนอื่นได้ไง ตอนนี้เริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าการที่เราตั้งใจทำงานให้ดีในช่วงเริ่มต้นของการทำงานเหมือนการวางฐานรากอาคารชีวิตในงานที่ทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฐานรากแน่นตึกก็ขึ้นได้สูง แต่ทุกส่วนในองค์กรล้วนแต่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

มีประธานให้เป้า มีหัวหน้าคอยแนะแนว มีระดับปฏิบัติการไว้ลุยให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ ที่สำคัญทุกระดับต้องรับฟังกันซึ่งตรงนี้บางจังหวะจะยากหน่อยเพราะประสบการณ์ทำให้มองเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกันโอกาสจะกระทบมีสูงมาก สุดท้ายพอกระทบกันจากเรื่องงานกลายเป็นเรื่องส่วนตัวเสียนี่ ถ้าแบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้มีแต่จะพังอย่างเดียว นอกจากตัวเองที่พังก่อนแล้วก็ลากองค์กรพังไปด้วยถ้าไม่ช่วยกันระวัง

ผมโชคดีหน่อยที่เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยยุ่งอย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวปัญหาให้คนอื่นแล้วก็พอแก้ปัญหาให้คนอื่นได้นิดๆ หน่อยก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว ขอขอบคุณ"กิจวัตรอันซ้ำซากแต่ไม่ซับซ้อน"มา ณ. ที่นี้ด้วย...

ผู้ติดตาม