วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Another day in CA

วันนี้ไปวิ่งรถดูตามเมืองต่างๆ รอบๆ แอลเอเผื่อดูว่าจะทำอะไรได้มั่งไล่จาก Fullerton ซึ่งมีมหาวิทยาลัยและคอลเลจเข้าท่าๆ อยู่เช่น Cal State Fullerton เมืองนี้คนมีเงินเยอะพอสมควรดูจากหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณ อีกอย่าง Cal State ที่นี่เด่นมากเรื่องคณะบริหารธุรกิจตรงนี้คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศิษย์เก่าซึ่งมีความภูมิใจในตัวมหาวิทยาลัยย้ายมาอยู่ใกล้ๆ เพราะรู้ว่าคุณภาพเมืองและคนที่อยู่ในเมืองถือว่ามีคุณภาพ ส่วนหนึ่งบอกได้จากสภาพตึกรามบ้านช่องถนนหนทางที่ดูสะอาดสะอ้านและก็ดูที่ยี่ห้อและรุ่นของรถที่ขับๆ กันอยู่

จากนั้นก็วิ่งไปเมืองของดิสนี่ยและทีมเบสบอล LA Angel คือ Anahiem จากที่ไม่ได้มาหลายปีเมืองนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นเมืองที่เข้าท่าอีกเมือง คนเอเซียที่อยู่ในเมืองนี้ส่วนมากเป็นชาวเวียดนาม แต่ข้ามไปไม่ไกลจากนี้เป็นชาวเกาหลีส่วนชาวจีนและไต้หวันออกไปอีกเมืองซึ่งไม่ไกลกันมากนักห่างกันถ้าวิ่งบนฟรีเวย์ก็ประมาณยี่สิบนาทีซึ่งก็ถือว่าไม่ไกล

ส่วน Irvine เมืองที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยที่ตั้งของบริษัทหูฟังชั้นนำที่ก่อตั้งโดย Jerry Harvey คือ Ultimate ears ซึ่งถูก Logitech เทคโอเวอร์ไปในช่วงสองปีมานี้จากที่เคยฟู่ฟ่าในสมัยที่ UE เข้าไปตอนนี้อัตราการขยายตัวยังพอมีแต่ว่าค่อนข้างจะเติบโตไม่มากนัก จุดเด่นของที่นี่ก็คงจะไม่หนีเรื่องมหาวิทยาลัยเช่นกัน แถวๆ นี้ถ้าที่ไหนมีมหาวิทยาลัยเยี่ยมๆ อยู่การเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะค่อนข้างดี ยิ่งช่วงนี้แต่ละมหาวิทยาลัยพยายามจะดึงเอานักศึกษาจากประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียเข้าไปเพื่อจะดึงกระแสเงินเข้ามหาวิทยาลัยให้มากขึ้นเพราะถูกพี่คนเหล็กตัดงบประมาณไปเยอะพอดูเหมือนกัน เลยต้องเปลี่ยนเป้าหาเงินกระเป๋านอกประเทศเข้ามาเสริมเพราะว่าบ้านเมืองแถวๆ บ้านเราถ้าส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ก็แสดงว่ามีฐานะค่อนข้างดีทีเดียว

บางเมืองใน CA นี้มีชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่มาซื้อบ้านไว้เป็นจำนวนมาก บางเมืองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกคนจีนซื้อไปเรียบร้อยเพื่อว่าจะได้เอาลูกมาเรียนที่นี่ได้ง่ายแถมมีโอกาสที่จะทำเรื่องให้ลูกเป็นชาวอเมริกันได้ด้วย อีกอย่างคนที่นี่สนใจที่จะเรียนภาษาจีนกันมากขึ้นแล้วจากงานการวิจัยพบว่าเด็กนักศึกษาส่วนใหญ่อยากจะเข้าไปทำธุรกิจกับจีนแผ่นดินใหญ่กันหรือไม่อย่างน้อยก็อยากจะเข้าไปศึกษาในภาคฤดูร้อนที่โน่นกันไม่ใช่น้อยๆ เลย จะว่าไปเดินๆ แถว CA รู้สึกไม่ค่อยแปลกถิ่นเท่าไหร่เพราะคนหน้าตาคล้ายๆ กับเรามีเยอะมากๆ ถ้าใครส่งลูกมาเรียนแถวๆ นี้เด็กๆ คงไม่ค่อยรู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรมากเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นไปได้ส่งลูกข้ามไปฝั่งตะวันออกได้จะเจ๋งมากเพราะแค่สำเนียงภาษาก็กินกันขาดแล้ว แต่ว่าก็คงปรับตัวกันมากนิดนึงซึ่งจะว่าไปสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งดีเพราะการปรับตัวเป็นขั้นตอนหนึ่งของวิวัฒนาการ...

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

California Dreamin'

หลังจากเจอพี่ศุลตรวจไปเมื่อวันที่มาถึงเลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาเปลี่ยนกระเป๋าเดินทางซักทีเพราะสภาพดูเหมือนผ่านศึกมาหลายสมรภูมิอันเป็นที่เตะตาของเจ้าหน้าที่ พอจัดข้าวของความเป็นอยู่(ชั่วคราว)ลงตัวเลยคิดว่าน่าจะไปหาซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ซักใบก็ออกไปตะเวนหาอยู่สามสี่มอลล์สุดท้ายก็ไปได้ที่ใกล้ๆ คนละฝั่งฟรีเวย์กับสนามบิน Ontario

เท่าที่สังเกตุดูคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่พอสมควรเพียงแต่ว่าขยาดกับการลงทุนในระยะยาว เหมือนๆ กันว่ามีเงินเก็บไว้กับตัวหรือไม่ก็มีฝากในแบงค์ไว้บ้างเนื่องจากไม่แน่ใจในอะไรบางอย่างน่าจะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลกลาง มานั่งนึกๆ ในใจว่าถ้าพี่โอบาม่าท่านโฟกัสเจาะเข้าไปในกลุ่มคนชั้นกลางต่ำ หาวิธีการกระตุ้นให้ไม่เลือกงานอะไรมากนักหรือไม่ก็ส่งเสริม SME ภายในประเทศ(จะว่าตอนนี้ก็ถือว่ามีจำนวนมากอยู่แล้ว)ให้มาเกาะกลุ่มกันสร้างแบรนด์กลุ่มหรืองานแสดงกลุ่มสินค้าเพื่อสู้กับเชนบริษัทใหญ่ๆ เปิดงานแสดงสินค้ากลุ่มย่อยให้ถี่กระตุ้นให้คนเอาเงินลงมาหมุนแล้วก็ผลักดันให้เกิดกระแสการลงทุนหลังจากนั้นเป็นตัวสอดรับจากนั้นก็ผลักดันสินค้าเหล่านี้เข้าไปตีตลาดต่างประเทศเน้นที่คุณภาพกับราคาที่ไม่สูงมากนักเพื่อสู้กับสินค้าราคาถูกกว่าจากประเทศใหญ่ทางเอเซียแต่ว่าคุณภาพไม่ถึงคิดว่าน่าจะพอฟื้นตัวได้

การเล่นเป็นทีมเพลย์ของที่นี่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว ถ้าพี่ม่าสร้างภาพตรงนี้ให้ออกมาชัดเจนมากขึ้นเพื่อสอดรับนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงแล้วละก็ ทีมเพลย์ในระดับใหญ่ลดขนาดมาเป็นทีมเพลย์ขนาดกลางและเล็กแต่ว่ามีการเกาะเครือข่ายแบบหลวมๆ ระหว่างผู้ที่ธุรกิจอย่างเดียวกันในแต่ละรัฐ ยังไงก็คิดว่าประเทศคงจะไปได้(ทางเศรษฐกิจ)

แต่ที่น่าห่วงกว่านั้นคือระบบการศึกษาที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของพี่ม่าเช่นเดียวกัน ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่กว่าของประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายกึ๋นพี่ม่าเป็นอย่างยิ่ง หลายๆ รัฐพบปัญหาการเลย์ออฟครูเป็นจำนวนมากไปจนถึงปัญหาการปิดโรงเรียนยุบมารวมกันเป็นเขตๆ กับอีกหลายๆ ปัญหารวมไปถึงการที่โรงเรียนเอกชนถือโอกาสขึ้นค่าเล่าเรียนเพราะรู้ว่าพ่อแม่ที่มีฐานะดีๆ พร้อมจะลงทุนกับการศึกษาของลูกเพราะเห็นจุดอ่อนจากนโยบายของรัฐ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าพี่ม่าแกจะแก้เกมส์ยังไง...

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เวลคั่มทูลอสแองเจลลิส

ไม่ได้มีเหตุให้ต้องมาที่นี่หลายปีครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาอเมริกาอีกครั้ง ก็เช่นเคยที่เคยปฏิบัติมาถ้าเป็นไปได้ก็จะใช้บริการเอื้องหลวงการบินไทยบนตรงลัดมหาสมุทรแปซิฟิคข้ามตรงมาขึ้นฝั่งที่แอลเอเลยซึ่งเที่ยวบินตรงนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ปรับเวลาได้เร็วกว่าเที่ยวบินที่ต้องแวะพักที่กลางทางอีกทั้งยังเหนื่อยน้อยกว่าด้วยเพราะสามารถพักได้ยาวกว่าปกติบนเครื่อง เท่าที่สังเกตุดูระหว่างอยู่บนเครื่องพบว่าจำนวนที่นั่งของชั้นธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อเทียบกับสัดส่วนของชั้นพรีเมี่ยมและอีโคโนมิคก็มานั่งนึกๆ ว่าคนมีฐานะคงจะนิยมไฟลท์ตรงนี้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม อีกอย่างจากที่เที่ยวบินตรงนี้มีลดจำนวนวันในสัปดาห์ลงไปช่วงหนึ่งแต่ตอนนี้กลับมาให้บริการทุกวันเช่นเคยเลยเดาเหตุผลว่าส่วนหนึ่งมาจากจำนวนที่นั่งของชั้นธุรกิจเพิ่มขึ้นนี้เองทำให้เที่ยวบินตรงแบบนี้พอจะคุ้มทุนมากขึ้น

เครื่องบินใช้เวลาเดินทางสิบสามชั่วโมงสี่สิบกว่านาทีมาถึงก่อนเวลาที่กำหนดไว้เล็กน้อยตามปกติของการบินตามกระแสลมมาเมื่อเครื่องลงแตะพื้นที่ LAX สิ่งหนึ่งที่แปลกไปก็คือว่าตามปกติสมัยที่คุณบุชเป็น ปธน. Homeland Security ค่อนข้างจะเข้มงวดมากๆ เมื่อเครื่องบินลงแล้วก่อนที่จะเขาเทียบเกทก็จะให้ดับเครื่องแล้วมีรถมาลากเข้าไปไม่ให้เครื่องบินเคลื่อนเข้าไปเทียบเกทตามปกติเพราะเกรงว่าอาจะมีการก่อวินาศกรรม(สงสัยแหยงจากเหตุการ 9 11) นี่แหละน้าไปทำเค้าไว้ก่อนไปก่อสงครามซะทั่วนอกบ้านตัวเอง แบบนี้ละมั๊งที่เค้าเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

พอเข้าไปที่ ตม. ตรวจเอกสารเข้าเมืองที่พึ่งปรับปรุงใหม่เมื่อสามปีที่แล้วก็มีอะไรหลายๆ อย่างแปลกตาไป เช่นบูทที่เข้าไปปั๊มเข้าเมืองก็เปลี่ยนเป็นบูทสเตนเลสแบบสากดูไฮเทคดีใช้ได้ มีแท่นแสกนนิ้วมือครบห้านิ้วรุ่นใหม่แทนแป้นสีแดงแบบเดิมก็เปลี่ยนมาเป็นใช้ไฟสีเขียวแบบใหม่พร้อมกล้องถ่ายรูปขนาดจิ๋วที่ดูมีราคากว่าเวปแคม logitech ที่เคยใช้ แต่ที่พัฒนามากขึ้นก็คือ จนท. ที่ทำงานได้รวดเร็วมากกว่าเดิมเยอะเลยส่วนหนึ่งอาจจะเป็นจำนวนบูทที่เพิ่มมากกว่าที่เคยเห็นนั่นเองทำให้แถวที่รอไม่ยาวมากพร้อมทั้งมีระบบจัดการเคลียร์ไปทีละสายการบินเพื่อความรวดเร็ว เช่นเคยสำหรับเพื่อนๆ ที่มายืนรอตรวจคงเข้าเมืองก็เป็นพี่น้องจาก China Airline EVA และ Thai Airways Int. รวมไปถึงสายการบินของประเทศในแถบเอเชียอีกสองสามสายการบิน

ผ่าน ตม. ไปถึงพี่ศุลตรวจส่งของต้องห้ามเข้าประเทศเช่นพวกพืช ผัก เมล็ดพันธุ์ และสินค้าต้องสำแดงหลายๆ รายการที่พี่ศุลจะเข้ามาเลือกสุ่มตรวจดูซึ่งรอบนี้ก็ได้รับความเมตตาจากพี่ศุลฯ ชาวฮิสแปนิคท่าหนึ่งเลือกสุ่มเราออกจากแถวไปตรวจพิเศษก่อนใครจะว่าโชคดีก็ได้ก็เพราะว่าเข้าแถวอยู่ท้ายๆ พอพี่เค้าลากออกจากแถวไปก็ได้แซงคิวพวกไปก่อนเพื่อน เมื่อก่อนตอนผ่านพี่ศุลจะเร็วกว่านี้มาก ตอนนี้พี่ศุลฯ ของพี่กันเริ่มเขี้ยวมากขึ้นคงเป็นเพราะมีการลักลอบเอาสินค้าและอื่นๆ เข้าไปมากขึ้นตรงนี้ก็สะท้อนนโยบายของประเทศได้เหมือนกันคือว่าหากประเทศมีนโยบายทางการทหารแบบเข้ม ตม. ก็ต้องทำงานหนักหน่อยเพราะเกรงว่าจะมีพวกที่ไม่ค่อยชอบที่พี่กันไปทำแบบนั้นเช้าประเทศมาโจมตีตัวเอง พอนโยบายเป็นไปเป็นเน้นไปทางเศรษฐกิจก็จะมีพวกทีคอยเสาะแสวงหาผลประโยชน์จากส่วนนี้ถือโอกาสเอาของเข้าไปขายในประเทศมากขึ้นเพื่อหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง พอได้รับการแกะกระเป๋าออกมาตรวจแล้วไม่พบสิ่งของต้องสำแดงใดๆ ก็ผ่านด่านพี่ศุลฯ ไปอย่างเรียบร้อยไม่เสียอารมณ์คนอื่นๆ จำนวนเกือบร้อยที่ถูกเราแซงคิวไปเพราะว่าเราเป็นผู้ได้รับเลือก(ขอขอบคุณพี่ศุลฯ เม็กมา ณ. ที่นี้ด้วยที่ช่วยย่นระยะเวลาให้)

พอออกมาจากพี่ศุลก็พบบรรยากาศที่คุ้นเคยคือมีคนมารับพี่ๆ น้องๆ และหมู่ญาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศกันเยอะแยะจนแน่นขนัดส่วนหนึ่งที่ยืนรอก็มีของเราด้วยที่มารับ พอออกมาจากเทอร์มิน่อลมาขึ้นรถได้ก็รู้สึกสบายใจเพราะอีกไม่นานก็จะได้พักแล้ว อากาศที่ออกมาให้สูดตอนลงจากรถเมื่อถึงที่พักก็สดชื่นดีถือว่าอากาศเย็นกำลังดีคือสิบสองสิบสามองศาก็คงต้องรอดูต่อไปว่าทริปนี้จะได้อะไรมั่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเที่ยวอื่นๆ ...

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

[1st impression] Woo WES Maxxest

ห้าหกวันมานี้ไม่ได้เอาอะไรเสียบหูเลยเพราะอยากจะเก็บหูไว้ทดลองฟังแอมป์ตัวนึงซึ่งสั่งไปเมื่อเดือนก่อนโน้นด้วยหวังว่าแก้วหูจะได้ไม่มีอะไรมาทำให้ล้าไปซะก่อนโชคดีที่จำเป็นต้องไปประชุมที่ไต้หวันก็สบจังหวะที่วุ่นๆ เลยไม่คิดจะอยากฟังอะไร ก็ขอขอบคุณอาเสี่ยใจดีคนที่คุณก็รู้ว่าใครอีกครั้งที่ติดต่อประสานงานให้การสั่งของจากต่างประเทศสะดวกราบรื่นมากๆ ไม่ติดไม่ขัดแถมมีช่วยชาติจนหน้ามืดกันไป

จะว่าไปไม่ได้มีความคิดจะสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้เลยเพราะเล็งแอมป์อีกตัวไว้ก็คือ BHSE ที่หลักการออกแบบดีกว่าแอมป์ตัวนี้และความยุ่งยากในการติดตั้งก็น้อยกว่า ส่วนตัวคิดว่าแอมป์ตัวนี้นั้นมีดีที่รูปร่างดูแน่นหนาและก็ออกแบบได้เท่ห์มากแค่นั้นเองที่ได้เห็นรูปตามเวปต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนใจก็คือรีวิวจากเกจิทางอิเล็กโทรสติแตกหลายๆ ท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความโปร่งใสกิ๊งและไดนามิคของ BHSE ดีกว่า WES ที่ฟังแล้วค่อนข้างจะเรียบร้อยมากไปหน่อยพละกำลังก็ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าด้วย ก็สรุปง่ายๆ จากที่ได้อ่าน(เพราะคงไม่มีโอกาสไป Canjam เพื่อลองฟังกับเค้า) ว่าแอมป์ตัวนี้ค่อนข้างจะฟังได้สบายกว่าอีกตัวพอสมควรแต่ก็คงจะไม่ถูกใจเกจิที่มักจะเป็นนักฟังแบบจริงจังตรงนี้แหละที่ทำให้ตัดสินใจสั่งแอมป์ตัวนี้มาใช้ในที่สุด

วัสดุหีบห่อและการขนส่ง: อยากจะบอกว่าส่งมาเร็วมากทาง USPS แต่มีผิดหวังเล็กๆ แต่ก็มีแอบดีใจด้วยหน่อยๆ เพราะว่าแจ็ควูเค้าส่งเป็นกล่องกระดาษมาให้แทนที่จะเป็นลังไม้เช่นเดียวกับที่รายอื่นๆ เค้าได้กันอาจจะต้องสอบถามเหตุผลกลับไปว่าทำไมถึงไม่ส่งเป็นลังไม้อย่างที่คุยไว้เพราะขนาดอีเมลแนะวิธีติดตั้งยังเป็นกล่องไม้อยู่เลย ที่บอกว่าแอบดีใจก็เพราะทีแรกเกรงจะโดนภาษีช่วยชาติเยอะเพราะเป็นกล่องไม้แต่พอส่งมาเป็นกล่องกระดาษนึกว่าจะโดนภาษีน้อยลงกลับเป็นว่าครั้งนี้เจอภาษีหนักที่สุดเพราะพวกคิดเป็นแอมป์สองตัวเนื่องจากแยกมาสองกล่อง คิดในแง่ดีถือว่าเอาเงินไปช่วยชาติที่กำลังบอบช้ำก็แล้วกันเนอะ



การประกอบ รูปร่างหน้าตา: ไม่ยุ่งยากเพราะว่ามีคู่มือออนไลน์ส่งมาทางอีเมลพร้อมรูปภาพประกอบอย่างชัดเจนทุกขั้นตอนไล่ตั้งแต่เปิดกล่องไปจนถึงเปิดทำงานแบบเต็มระบบ เป็นแอมป์หูฟังตัวที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เคยครอบครองมาครับ วัสดุที่ใช้ก็ดีมีน้ำหนักงานค่อนข้างเรียบร้อยพอสมควรถือว่าผ่านเกณฑ์

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ:
iMac
Cans]: STAX Omega2 MkI&II
firewire interface: METRICHALO ULN-2
DAC: Berkeley Audio Design Alpha DAC
AMP: Woo Audio WES Maxxest
สายนำสัญญาณต่างๆ: PAD Venustas XLR, Oyaide AES/EBU, Firewire cable Audioquest Mod, Power Cord furutech alpha3
ไฟล์ที่ใช้ทดสอบ: AIFF 44.1k-96k, Apple lossless, MP3 192k up เล่นผ่าน iTunes และโปรแกรม Amarra โปรแกรมเล่นเพลงบน Mac ที่ว่ากันว่าเป็นโปรแกรมเล่นเพลงที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้


ความประทับใจแรก: เสียงเป็นธรรมชาติดีมากไม่มีหวือหวาออกชืดๆ ตามแบบของแอมป์ที่ออกมาดี

บรรยากาศ อิมเมจ ความเป็นดนตรี มิติและเวทีเสียง: เริ่มจากเพลง 21Guns(AIFF Bit Rate 1411kbps) ของนักแสดง Broadway ของโชว์ชุด American Idiot แค่เสียงกีตาร์เปิดเพลงก็ทำให้รู้สึกดีแล้ว พอนักร้องนำเริ่มออกเสียงก็นึกในใจว่านี่สิเสียงกลางที่ดีคือไม่มากไม่น้อยไม่แห้ง การแต่งเสียงที่ใส่มาเล็กน้อยทำให้ฟังแล้วรื่นหูขึ้นอีกพอสมควร ช่วงกลางเพลงที่มีเสียงไวโอลินขึ้นมาเป็นฉากหลังรับรู้ได้ถึงความฝืดของสายได้ดี เสียงก้องสะท้อนของห้องอัดในไลน์ประสานได้ยินแยกออกมาจากเสียงดนตรีในช่วงโหมไม่มีเบลอ เสียง reverb ที่ใส่เข้าไปตอนจบเพลงฟังออกได้เป็นชั้นๆ

เพลง Share & Share Alike[AIFF Bit Rate 4608kbps Sample Rate 96k] จากอัลบั้ม Audiophile Jazz Prologue III ที่คุณ Kent Poon บรรจงอัดมาด้วยเป็นไฟล์ความละเอียดสูง เพื่อทดสอบความเป็นธรรมชาติของเครื่องดนตรีที่อัดมาแจ๋วๆ โดยเฉพาะเสียงดับเบิ้ลเบสนี่ได้อารมณ์สุดๆ จริงๆ

อัลบั้ม Beautiful Voices , Clair Marlo, Charice , Metallica, Wonder Girl, Blackmore's Night, Jason Derülo, Greenday, Owl City, Ke$ha, บอยป๊อด, มภ พรชำนิ ฯลฯ เพื่อหาแนวเพลงที่เข้ากับแอมป์ตัวนี้พบว่าฟังได้หลายๆ แนวโดยไม่ได้รู้สึกว่าขาดเพียงแต่ว่าเสียงติดแข็งๆ อยู่พอสมควรเพราะว่ายังไม่ผ่านการเบิร์นคิดว่าในวันมีตติ้งใหญ่ของเวปน่าจะเข้าที่แล้วพอสมควร

เรื่องของอิมเมจ มิติและเวทีเสียงนั้นส่วนหนึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ DAC ที่ใช้ในการทดสอบก็ว่าได้เพราะ DAC ตัวนี้ท่านเกจิ(อีกแล้ว)ยกให้ว่าเด่นในเรื่องของบรรยากาศและความเป็นสามมิติของเวที เมื่อฟังผ่าน WES ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใดเพียงแต่ว่าความสะอาดใสกิ๊งยังไม่ถึงจุดที่ว่า crystal clear เท่าที่ได้ลองมานี่เป็นจุดหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของแอมป์วูหลายๆ รุ่นเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น Woo GES, WA22 และตัวนี้ ข้อดีคือฟังสบายแต่ข้อเสียคือเสียงจะออกขุ่นนิดๆ ดังนั้นรายละเอียดอาจจะถือว่าไม่ดีนักแต่ก็ถือว่าดีกว่าแอมป์ตัวเล็กที่ผมเคยใช้คือ RudiStor Egmont Classic ตั้งแต่ยังไม่ผ่านเบิร์น

เรื่องของบรรยากาศรายรอบนั้นถ้าเสียงไม่สะอาดแล้วจะไม่เด่นเลยแต่ว่า WES ก็ทำหน้าที่ได้ดีเพราะเมื่อเทียบกับการฟังเสียงในการแสดงสดจริงๆ แล้วละก็เสียงก็ออกมาประมาณๆ นี้แหละไม่ได้คมกริ๊บเหมือนภาพ Hi Def เหมือนเราเสียบฟังจาก mixer เมื่อฟังเพลงจากหลายๆ อัลบั้มแสดงสดเช่น The Best of MTV Unplugged, Blackmore's night, Dashboard Confessional, The Weavers ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงที่ฟังได้ดีแถมตำแหน่งชิ้นดนตรีแม่นยำไม่มีแกว่งเลยแม้จะเปิดในระดับความดังต่างๆ ตรงนี้ทึ่งครับเพราะปกติมักจะแกว่งถ้ายังไม่ผ่านเบิร์น(ยกความดีให้กับโวลลุ่มที่คุณคิมสั่งให้ด้วย)

WES แยก Leyer ตำแหน่งหน้าหลังค่อนข้างดี Headstage ไม่กว้างเท่าไหร่แต่ก็เป็นรูปไข่ตามการออกแบบของหูฟังตระกูล Omega ทำให้ฟัง Big Band ได้สนุก ฟัง Classic ก็รับรู้ภาพได้ชัดเจน เรื่องความเป็นธรรมชาติก็เป็นอีกจุดที่แจ๋ว ฟัง track ทดสอบของ Ultrasone ในแทร็คที่ 11 (พลุ)นี่แจ๋วมากไดนามิคสมจริงเหมือนอยู่เหตุการณ์

บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในส่วนนี้ถึงเอ่ยถึงซะยืดยาว เหตุผลส่วนตัวก็มีแค่เพียงว่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาอุปกรณ์ทางด้านเสียงนี้ถ้าผ่านการเบิร์นไปส่วนที่มีผลกระทบไม่มากเท่าไหร่คือส่วนของอิมเมจ มิติและเวทีเสียง ส่วนบรรยากาศก็เปลี่ยนไปได้ค่อนข้างมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไปในทางทีดีขึ้นดังนั้นถ้าฟังอุปกรณ์ชุดไหนแล้วถ้าเรื่องพวกนี้ดีก็พอจะบอกได้เลยว่าผ่านเบิร์นไปจะดีขึ้นไปมากกว่านี้อีก ไม่เหมือนเรื่องเกี่ยวกับความถี่ในย่านต่างๆ เช่นต่ำ กลาง สูงที่ผ่านเบิร์นไปแล้วโอกาสที่จะเปลี่ยนไปได้มากๆ ทั้งดีขึ้นและแย่ลงนั้นมีอยู่





เสียงกลาง: หลังจากที่เปิดมาได้พักนึกเสียงกลางยังไม่ค่อยเข้าที่มากนัก ไม่สากแต่ก็ไม่ถึงกับรื่น หลังจากเอาเพลงประเภทหลงเสียงนางหลายหลากอัลบั้มมาเปิดฟัง เสียงนักร้องชาย นักร้องหญิงผิวดำหรือว่าเสียงนักร้องที่ค่อนข้างต่ำเช่น Noon หรือว่าแม้แต่น้อง Charice จะฟังแล้วได้อารมณ์ดีกว่าเสียงนักร้องหญิงที่ออกแหลมๆ เช่น Clair Marlo

เสียงต่ำ: เท่าที่ฟังมาตอนนี้รายละเอียดของเสียงต่ำค่อนข้างดีแต่ก็ขึ้นอยู่กับหูฟังที่ใช้ด้วยเพราะว่าเท่าที่ลองสลับดูระหว่าง STAX O2MkI กับ MkII นั้นที่ต่างกันมากๆ ก็อยู่ตรงที่เสียงต่ำ เสียงต่ำของ MkI ลงได้ลึกอิมแพ็คดีกว่า MkII แต่เนื้อเสียงต่ำย่านที่หูเราได้ยินได้ง่าน MkII ดีกว่าแต่ว่ามีติดบวมอยู่บ้างตรงนี้ทำให้เกจินักฟังหูฟังสติแตกไม่ค่อยชอบ O2MkII มากนักแต่ว่าถ้าเอามาฟังเพลงร้องแล้วละก็ คหสต. เสียงของ MkII ติดหวานน่าฟังดีแต่ MkI ก็ฟังแล้วธรรมชาติซึ่งก็ดีกันไปคนละด้าน เท่าที่หาข้อมูลมา WES เข้ากับ O2 MkI มากกว่า MkII พอเอามาลองฟังดูก็เห็นด้วยกับที่เค้าบอกมาเพราะฟัง MkI ผ่าน WES แล้วเสียงมันพอดีแต่ถ้าใช้ MkII แล้วเบสเหมือนจะล้นไปบ้าง(ในตอนนี้) ก็ต้องรอให้ผ่านการเผาไปอีกระยะน่าจะพอบอกอะไรได้มากกว่านี้

เสียงสูง: เสียงสูงที่ฟังผ่าน WES ไม่เสียดหู เป็นเสียงสูงที่น่าฟังดีถือว่าดีตั้งแต่ออกจากกล่องเลยก็ว่าได้แต่ก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่พึ่งใช้งานคือมีเกรนหยาบในเนื้อเสียงอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่มากนักคงต้องรอไปอีกระยะถึงจะสรุปได้แน่นอน


สรุปในเบื้องต้น: ผมมักจะพิมพ์ blog รีวิวหรือความประทับใจอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ ที่มีโอกาสได้ฟังทันทีที่ฟังเสร็จและพิมพ์รวดเดียวไปเลย ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้ตรวจทานคำผิดหรือความสละสลวยของสำนวนมากนักเพราะต้องการความสดของอารมณ์และความรู้สึกที่มีแต่อุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งก็บอกตามตรงว่าหูตัวเองก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนคนอื่นเค้าเท่าไหร่แถมมีอคติส่วนตัวเจืออยู่พอสมควรเพราะว่าหลายรายการเป็นของๆ เราเองส่วนตัวซึ่งยังไงก็ต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนอยู่บ้างแต่ก็พยายามจะถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่ความรู้สึกและประสบการณ์มี หลายๆ ท่านถ้าได้ฟังอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันก็อาจจะเห็นไม่ตรงกับที่ผมพิมพ์ไว้ก็ได้ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติซึ่งอยากจะบอกว่าเชื่อหูท่านไว้เถอะครับไม่มีใครจะบอกเราได้ชัดเจนไปกว่าตัวเราเองดังนั้นถ้าเลือกจะลองอุปกรณ์ก่อนจะซื้อหามาใช้ได้เป็นสิ่งที่"ต้อง"ทำ

ก็อยากจะแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะผมถือว่าการแบ่งปันความรู้(อันน้อยนิด)ที่มีจะช่วยต่อเสริมและทำให้เรามีความเข้าใจในแง่มุมนั้นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพอจะยกอุปกรณ์ไปให้ได้ลองกันในงามมีตติ้งก็พยายามจะเอาไปให้ได้ลองกัน เช่นเดียวกับแอมป์ตัวนี้และ DAC ที่เข้าชุดกันที่ผมใช้อยู่จะยกไปให้ลองกันในงานมีตติ้งใหญ่ที่พี่ๆ ผู้ใหญ่ในเวปช่วยกันออกความเห็นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาถ้าใครอยากจะลองก็ไปลองกันได้ครับ ฟังแล้วก็อยากจะขออย่างว่าลองมาแชร์ประสบการณ์กันในกระทู้นี้ได้เลย จะได้รวบรวมไว้ดูว่าเห็นเหมือนหรือว่าต่างกันอย่างไรเพื่อเก็บเป็นความรู้ แต่ที่แน่ๆ เสียงที่ได้ลองฟังในงานมีตติ้งจะดีกว่าเสียงที่ผมได้ยินตอนพิมพ์ impression นี้อย่างแน่นอน

สำหรับ WES 1st Impression นี้ก็อยากจะสรุปเพียงแค่ว่าผมเลือกแอมป์มาไม่ผิดเพราะไม่ต้องการแอมป์ที่"ไม่ขี้ฟ้องมากนัก ฟังได้หลากหลายแนว เสียงเป็นธรรมชาติ"และที่สำคัญอยู่ในงบที่พอจะกัดฟันหามาใช้ได้(แม้จะต้องขายของที่เคยมีไปเกือบทั้งหมด) ถือว่าคุ้มมากๆ ครับกับเสียงที่ได้ฟังมาประมาณห้าชั่วโมงนี้

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ Rolling Eyes

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สามวันที่ไทเป

วันนี้เป็นวันที่สามที่นี่แต่เป็นคืนที่สี่พรุ่งนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้วดีใจจัง สำหรับวันนี้ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลเป็นปกติคนรู้จักกันบอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตกก็ต้องรอดูกันต่อไปเพราะว่ากรมอุตุของแอปเปิ้ลผ่าน Widgets Weather บอกว่าจะตกแต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าคงจะตกอีกวันนึงแน่ๆ จะว่าไปอีกหลายๆ วันต่อจากนี้ไปก็คงจะยังตกอยู่ ที่นี่พออยู่ๆ ไปก็ดูเหมือนว่าจะเดาอากาศได้เหมือนกันว่าฝนจะตกตอนเช้า เย็นๆ เมฆมาก ส่วนตอนค่ำฝนจะหยุดแถมหมอกและเมฆลอยเต็มฟ้าไปหมดตามสภาพความชื้นสูงของเกาะฟอร์โมซานี้

วันนี้บรรยากาศตอนสายๆ วันอาทิตย์ก็มีคุณแม่พาลูกๆ ออกมาเดินกันอยู่ทั่วไปโดยรอบกรุงไทเปคิดว่าอาจจะพาไปเที่ยวตามห้างหรือว่าพาไปร้านอาหารดูแล้วคงไม่ใช่พาลูกๆ ไปโรงเรียนกวดวิชาเนื่องจากเด็กไม่เห็นแบกกระเป๋าอะไรออกมาอย่างมาก็มีกระเป๋าสะพายเล็กๆ ดูน่ารักดี อีกอย่างเพราะระหว่างทางตอนที่มองเข้าไปในร้านอาหารเจอพ่อแม่ลูกมาทานข้าวกันเป็นครอบครัวดูอบอุ่นดีจังถือว่าที่นี้วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ

นั่งรถวนอยู่พักนึงคนขับก็พามาจอดที่ตึกๆ หนึ่งซึ่งเป็นออฟฟิศบิวดิ้งริมทางด่วนที่จะข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำจากนั้นคนนำทางก็พาลงลิฟต์ลงไปหนึ่งชั้นปรากฎว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตกแต่งร้านได้ค่อนข้างคลาสสิคดีโดยเน้นสีดำเป็นหลักมีหลอดไฟโคมสีเหลืองยิงลงมาเพื่อตัดกับโทนสีหลักเป็นระยะ ตรงบริเวณส่วนต้อนรับของร้านพื้นเป็นพลาสติดสีขาวขุ่นมีหลอดไฟนีออนอยู่ข้างใต้ดูเหมือนๆ ผับยังไงชอบกลแต่ก็ถือว่าเก๋ดี ระว่างทางเดินมีต้นไผ่ปลูก(หรือปักหนอ)เป็นแนวกันระหว่างโซนบาร์บีคิวญี่ปุ่นกับส่วนที่เป็นกั้นห้องแยกที่ต่างระดับตรงนี้ค่อนข้างอันตรายหน่อยน่าจะมีแถบสะท้อนแสงบอกให้ทราบหน่อยเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

อาหารที่ร้่านนี้ทำถือว่าประณีตมากๆ เต็มไปด้วยศิลปะแถมรสชาติอร่อยด้วย ทานหมดชุดแล้วนี่พอดีอิ่มเลยแบบนี้หมดไปหนึ่งมื้อออกไปเข้าที่ทำงานก็สบายเลยรับรองว่าไม่ง่วงพอตกเย็นก็หิวพอดีถือว่าคนที่จัดเมนูรู้จริงว่าควรจะใส่อะไรมากแค่ไหน ถือได้ว่าอาหารในร้านญี่ปุ่นนี้ "กินพอดีอิ่ม" ไม่เหมือนอาหารตามร้านที่เคยๆ ไปทานแถวบ้านที่สั่งกันมาแบบ"กินพอดีอ้วก" เดี๋ยวรอกลับไปเอารูปออกจากมือถือน่าจะเอามาแปะไว้หน่อยว่าหน้าตาออกมาประมาณไหน บอกตามตรงว่าไม่ค่อยชอบอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่แต่ว่าพอมาเจอร้านนี้เข้าไปเปลี่ยนใจเลยทันที ของเค้าดีไม่มีคาวติดเลยแถมเครื่องก็ถึงรสชาติกลมกล่อมมากๆ แต่ราคาก็นะกินเข้าไปอิ่มแต่เดินออกร้านมาตัวเบาก็แล้วกัน เห็นคนนำทางบอกว่านี่ลดราคามาแล้วเพราะว่าไม่มีลูกค้าเข้าไปทานเนื่องจากราคาไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกระเป๋านัก แต่ก็สมราคาจริงๆ สำหรับรสชาติของอาหารมื้อนี้...

ผู้ติดตาม