วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

จากแกรมมี่ถึงออสก้าร์

สำหรับผมการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดทำให้ใจที่วิ่งวนสับสนมาตลอดวันค่อยๆ กลับมาเข้าร่องเข้ารอยตามที่มันควรจะเป็นก่อนที่จะเข้านอนเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะนอนไม่หลับทำให้พักผ่อนไม่พอซึ่งจะกระทบต่อการทำงานโดยรวมแล้วก็จะทำให้ระบบของร่างกายและจิตใจเสียได้ในระยะยาวเพราะผมมีความเชื่อว่าก่อนจะนอนถ้าได้หันกลับมามองดูตัวเองว่าวันนี้ได้ทำผิดพลาดอะไรมาบ้างหรือว่ามีข้อคิดอะไรที่แว๊บขึ้นมาระหว่างวันก็น่าจะพิมพ์เก็บไว้ก่อนที่มันจะจางหายไปเหมือนกับความฝันที่ถ้าไม่รีบบันทึกตอนที่พึ่งตื่นขึ้นมาก็จะลืมกันได้ง่ายๆ ดังนั้นการจดบันทึกก่อนนอนหรือบันทึกประจำวันมีประโยชน์มากๆ สำหรับตัวผมเอง

อาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าในปีที่ผ่านไปก็มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกใบน้อยนี้หลายๆ อย่างที่มีทั้งน่าสนใจน่าตกใจน่าชื่นใจและน่าอนาถใจซึ่งเรื่องที่ไม่จรรโลงอารมณ์ก็น่าจะปล่อยมันทิ้งผ่านไปสมควรที่จะจดจำแต่เรื่องที่น่าชื่นใจเท่านั้นพอไม่อย่างนั้นก็มีแต่เครียดปล่าวๆ ลำพังแค่งานก็เหนื่อยจะแย่แล้วทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจตัวเองด้วยเรื่องของคนอื่นหรือไม่เป็นเรื่องก็ตามที เมื่อเดือนที่แล้วผมได้ดูถ่ายทอดการประกาศผลรางวัลแกรมมี่ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ระดับโลกของคนทำเพลงรวมไปถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ดูการประกาศผลรางวัลออสการ์จากโกดักเธียเตอร์ก็พอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งจริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมาตั้งแต่สองสามปีที่ผ่านมาเท่าที่ผมเองได้สังเกตดู

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้คืออะไรหลายๆ ท่านอาจจะนึกถามในใจซึ่งก็ขอบอกตรงนี้ก็แล้วกันว่าสิ่งนั้นก็คือการย้อนรอยของกงล้อที่ในที่สุดก็จะหมุนวนกลับมาที่เดิมเหมือนกับแฟชั่นเสื้อผ้าแม้แต่วงการเพลงและหนังก็เช่นเดียวกันเมื่อไหร่ที่พัฒนาไปถึงจุดที่หาทางไปต่อได้ยากหรือไม่ได้ก็มักจะย้อนเอาของเก่ากลับมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ เริ่มจากวงการเพลงที่ย้อนกลับไปหายุคโมทาวน์และก็ดิสโก้ผสมๆ กันอยู่แบบจางๆ เหมือนกับว่าใจคนที่รับฟังเพลงแร็บแล้วก็บีทแบบกระชากใจรวมไปถึงเสียงร้องที่โฮกกันอย่างสุดๆ กลับไปหาจุดที่มีความสละสลวยของภาษาและท่วงทำนองและบีทที่ฟังง่ายๆ ในสไตล์ของเลาจน์และเฮาส์มิวสิค ศิลปินหลายๆ ท่านเช่น kety perry, lady gaga, cee lo green กับอีกหลายๆ ท่านและวงรวมไปถึงน้องหอก britney spears ที่ซิงเกิ้ลล่าสุดก็ย้อนกลับไปยุคใกล้ๆ กับ katy กับ lady gaga ที่ฟังเมื่อไหร่ก็เห็นภาพ madonna โผล่มาทุกที(ยกเว้น katy ที่กลิ่นอายของเพลงค่อนข้างจะออกมาในยุคหลังจาก madonna นิดนึง) กลุ่มผู้ฟังอายุ 20up เริ่มหันมาหาความไพเราะมากกว่าความสะใจมากขึ้นส่วนหนึ่งอาจจะเป็นสภาวการณ์ของโลกเป็นไปในทางที่รุนแรงรุมเร้าทำให้เกิดความเครียดซึ่งถ้ายิ่งฟังเพลงแรงๆ ก็อาจจะทำให้สติแตกกันไปเลยก็เป็นได้ ส่วนตัวผมรู้สึกดีที่เพลงดีๆ เริ่มมีมาให้ฟังกันมากขึ้น เพลงเพราะๆ ที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหูเริ่มกลับมาเกิดกันได้อีกคุณภาพของคนที่รักการฟังเพลงในบ้านเมืองของเราก็มีเพิ่มมาขึ้นยิ่งเด็กๆ สมัยนี้เล่นดนตรีกันเก่งๆ ก็มีโอกาสที่จะแสดงฝีมือออกมาให้โลกรับรู้ผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ มากมายทำให้เราได้มีเพลงดีๆ ฟังกันจากกลุ่มศิลปินออนไลน์ผ่าน youtube และ facebook

ในส่วนของหนังก็เริ่มมีหลังที่ดูง่ายๆ มาให้ดูกันมากขึ้นส่วนหนังที่ดูยากๆ ก็ยังมีให้เสพกันอยู่ไม่ขาดก็แล้วแต่ว่าจะเลือกเสพหนังแบบไหนซึ่งความหลากหลายที่มีก็ถือว่าเป็นโอกาสทองอย่างหนึ่งให้เราได้เลือกชมกันตามรสนิยมของแต่ละท่านได้ตรงตามความต้องการ ยิ่งมาดูการประกาศผลรางวัลออสการ์ทำให้รู้ว่าแนวคิดของคนเริ่มหันมาหาความจริงกันมากขึ้นเรื่องอะไรไกลตัวเกินหรือว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยเหมือนๆ หายไปจากสื่อและชีวประวัติของบุคคลสำคัญเริ่มเป็นที่สนใจของคนในวงกว้าง โดยสังเกตจากร้านหนังสือก็ได้เท่าที่เจอมาหลายๆ ทวีปสิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกันก็คือ bestseller ของทุกที่(เท่าที่มีบุญได้ไปมา)เป็นชีวประวัติของบุคคลสำคัญแทบทั้งสิ้น(จริงๆ ก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วเพียงแต่ว่าเปอร์เซ็นต์มากขึ้นผิดหูผิดตาเท่าที่มองผ่านๆ เกือบจะทั้งแผงมีแต่ชีวประวัติทำให้คิดเอาเองว่า โอ.. มีคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานกันในสาขาต่างๆ เยอะขนาดนี้เลยหรือนี่)

ประวัติของบุคคลหลากหลายทั้งพื้นหลังและประสบการณ์รวมไปถึงสาขาวิชาชีพที่แตกต่างทำให้ทางเลือกของคนรุ่นใหม่เปิดกว้างแต่ไม่รู้สินะครับเท่าที่ได้พูดคุยกับคนส่วนใหญ่ก็มักจะปิดทางเลือกของตนเองเสียนี่ทั้งๆ ที่มีทางออกอยู่เยอะเลย คงต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้คน(เริ่มที่ตัวผมเองก่อน)เปิดทางเลือกให้กับตัวเองให้มากโดยการหาทางออกให้ไอเดียในใจมันพุ่งออกมาบ้างหลังๆ มาเริ่ม"ใช้ความคุ้นมากกว่าความคิด"ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยเพราะจะทำให้ความคิดใหม่ๆ ในเชิงสร้างสรรมันหลบหายเข้าไปในซอกมืดของใจ เมื่อไหร่ที่ใครก็ตามปิดความคิดสร้างสรรค์นานๆ เข้าถ้าจะให้คิดไปทำดีต่อยอดคนอื่นก็ยากเลยเอาแต่จับผิดไม่มีคิดดีต่อกันความไว้ใจซึ่งกันและกันก็ไม่เกิด การเอาใจเขามาใส่ใจเราก็จะหายใจจากสังคมเรื่อยๆ

อนิจจาทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้กันด้วย..

เริ่มจากแกรมมี่มาออสการ์แล้วมาจบที่นี่ได้ไงหว่า เฮ้อ.. นอนดีกว่าคืนนี้ -.-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม