วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยน้ำแข็ง

ประมาณยี่สิบปีก่อนเป็นช่วงที่มีความสุขมากๆ ช่วงนึงของชีวิตผมก็ว่าได้ครับ เพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่มีเวลาเป็นของตัวเองเยอะมากๆ แต่ความรู้สึกในตอนโน้นเหมือนกับว่าเวลามันน้อยเหลือเกิน แปลกอยู่อย่างว่าสมัยเรียนเรามักจะอยากจะจบกันพอจบมาทำงานแล้วก็นึกอยากจะกลับไปเรียนอีก หลายๆ ท่านก็หาทางออกโดยไปเรียนปริญญาโทหรือเอกเพิ่มหลังจากทำงานแล้วซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีครับขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมยิ่งถ้าได้ผ่านประสบการณ์ทำงานมาแล้วระยะหนึ่งนี่เหมือนกับไปต่อยอดให้แก่ตัวเองเพื่อเพิ่มเสริมเติมความรู้ให้ลึกยิ่งกว่าเดิมและที่สำคัญที่สุดก็คือได้เพื่อนเพิ่มขึ้นด้วยซึ่งตรงนี้อาจจะช่วยอะไรได้มั่งในการทำงานของเราให้ราบรื่นมากขึ้น

พูดถึงเพื่อนเมื่อนึกกลับไปสมัยโน้นก็พอมีกับเค้าบ้างอยู่เหมือนกัน ยิ่งเพื่อนสมัยเรียน ปวช. ด้วยนี่ความรู้สึกผูกพันจะแน่นแฟ้นมากเป็นพิเศษเพราะว่าได้ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกันในช่วงเวลาที่กำลังพัฒนาทางด้านความคิดและร่างกาย ตอนนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าวเพราะว่าเป็นหน้าร้อน พอร้อนทีไรก็อยากนึกถึงอะไรเย็นๆ ทุกทีไปเมื่อเอ่ยถึงความเย็นแล้วก็คงไม่มีอะไรดีกว่า"น้ำแข็ง"อีกอย่างที่นึกถึงได้ง่ายก็เพราะที่บ้านขายอยู่ โดยที่ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาปิดภาคเรียนฤดูร้อนผมมักจะพาเพื่อนไปทำงานที่โรงน้ำแข็งที่บ้านเนื่องจากพ่อแม่จะให้ดูแลโรงน้ำแข็งในช่วงนั้นเพื่อฝึกเราได้รู้จักรับผิดชอบแต่ที่ตัวเราเองต้องการมากกว่าความรับผิดชอบก็คือ"เงิน"ที่จะได้เอาไว้ใช้ในตอนเปิดเทอมหรือไม่ก็เพื่อเอาไปซื้อของอย่างอื่นที่ได้หมายตาไว้

ถามว่าเหนื่อยมั้ยดูแลโรงน้ำแข็ง ก็ขอบอกว่าเหนื่อยครับแม้ว่าของเราจะเป็นโรงน้ำแข็งขนาดเล็กก็ตามแต่่ว่าก็มีโรงเก็บขนาดใหญ่พอสมควรเอาไว้กักเก็บน้ำแข็งสำรองไว้ขายในช่วงสงกรานต์ที่ถือว่าเป็นช่วงที่ขายดีมากที่สุดของปีโดยที่แต่ละวันขายได้น้ำหนักเกินสิบตันเลยทีเดียว นอกจากเพื่อนๆ สองสามคนที่มาช่วยแล้วก็มีลูกน้องอีกสี่ห้าคนเอาไว้ช่วยกันชั่งหรือว่าแพ็คถุงน้ำแข็งให้ลูกค้าหิ้วไปใช้ได้โดยสะดวกโดยที่ราคาขายปลีกและส่งก็แตกต่างกันไปตามความคุ้นเคยและจำนวนที่ลูกค้าสั่ง

เนื่องจากว่าเครื่องผลิตของเรามีขนาดเล็กบางจังหวะก็ต้องเอารถออกไปซื้อน้ำแข็งในตัวจังหวัดและตรงนี้เองที่ได้ศึกษาภูมิปัญญาของชาวบ้านในการขนน้ำแข็งกลับไปยังท้องถิ่นของแต่ละคนแต่ที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือกรรมวิธีการจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งของคุณพ่อของผมเอง เนื่องจากว่าถ้าคุณพ่อได้เรียงน้ำแข็งแล้วมันดูเรียบร้อยและแน่นหนาอย่างที่เราเองก็ทำได้ไม่เท่าท่านเพราะความละเอียดและอดทนยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านเองได้ก่อร่างสร้างโรงน้ำแข็งมาด้วยหนึ่งสมองสองมือของเพราะเป็นเช่นนี้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องก็คือรายได้ที่เอาไว้เลี้ยงชีวิตและที่สำคัญที่สุดคือเอาไว้เลี้ยงดูครอบครัว สรุปให้สั้นก็คือ"งานที่ท่านทำคือชีวิตของท่าน"นั่นเอง

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าน้ำแข็งมัน"ละลาย"ถ้าการขนส่งไปในระยะทางใกล้ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่จะจัดเรียงยังไงก็ได้เพราะว่าปริมาณน้ำแข็งที่ละลายมีไม่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับที่บ้านของผมโรงงานที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหกสิบกิโลแต่ส่วนใหญ่ที่จะไปรับเองมักจะเป็นโรงน้ำแข็งใหญ่ในตัวจังหวัดที่ต้องขับรถไปประมาณเก้าสิบกิโลกันเลยทีเดียว และโดยระยะทางขนาดนี้ถ้าเราจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งไม่ดีแล้วละก็จะกลายเป็นเสียเวลาเปล่าเพราะว่ากำไรจะละลายไปหมดในระหว่างทางหรือแม้กระทั่งเข้าเนื้อตัวเอง สมัยโน้นคุณพ่อได้สอนผมให้ได้รู้จักเอาผ้ายางปูพื้นคลุมก่อนโดยจะปูผ้าคลุมไล่จากครึ่งกระบะที่ใช้เรียงถุงค่อนไปทางกระโปรงหน้ารถ จากนั้นเมื่อจัดเรียงกระสอบน้ำแข็งเสร็จเรียบร้อยก็เอาผ้ายางนั้นตลบกลับมาคลุมไปทางฝาปิดท้ายกระบะจากนั้นก็มัดให้แน่นหนาเป็นอันเสร็จพิธี

ด้วยประสบการณ์ที่ท่านทำไม้มาก่อนแล้วที่บ้านก็เป็นจุดพักรถสิบล้ออีกด้วยทำให้คุณพ่อได้เห็นการมัดเงื่อนสารพัดแบบของเหล่าสิงห์รถบรรทุกรวมไปถึงประสบการณ์ตรงส่วนตัวทำให้คุณพ่อมัดเงื่อนสำหรับผูกผ้ายางได้แน่นเป็นพิเศษรับรองว่ามัดแล้วผ้ายางคลุมกระบะไม่มีหลุดปลิวออกมาจากที่ทางของมัน หลักการในการเรียงกระสอบใส่น้ำแข็งก็ไม่ยากเนื่องจากว่าน้ำแข็งอนามัยหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าน้ำแข็งหลอดนั้นถ้าอยู่รวมกันเป็นกลุ่มโดยมีผ้ายางเอาไว้เก็บความเย็นอยู่ภายนอกอีกชั้นนึงก็จะสามารถทำให้ละลายได้ช้าลง ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องให้มีช่องว่างระหว่างแต่ละกระสอบน้อยที่่สุดจึงจะทำให้น้ำแข็งละลายช้ามากขึ้นไปอีกเยอะเลย ดังนั้นหลักการที่จะเรียงกระสอบให้มีช่องว่างระหว่างแต่ละใบน้อยที่สุดก็คือ"ห้ามมัดปากถุงเป็นอันขาด"เพราะถ้าเมื่อไหร่เรามัดปากถุงการที่กระสอบจะขยับตัวให้เจ้ากับรูปกระบะตอนที่เราอัดเรียง(พิมพ์ถูกแล้วหละ เพราะว่าตอนที่จะวางลงไปในกระบะ ถ้าจะให้เกิดช่องว่างน้อยที่สุดต้องจับกระสอบอัดลงไปให้แบนแนบกับพื้นมากที่สุดจะว่าไปก็คล้ายๆ กับการเรียงกระสอบข้าวสารเพียงแต่ว่าเม็ดน้ำแข็งในกระสอบจะใหญ่กว่าข้าวสารทำให้เรียงยากกว่า แต่ยังไงก็ต้องระหว่างที่จะอัดลงไปให้ช่องว่างเหลือน้อยก็ต้องเพิ่มแรงทุ่มกระสอบลงไปพอสมควรเลยทีเดียว)จะเป็นไปไม่ได้

โดยปกติรถกระบะหนึ่งตันจะสามารถบรรจุน้ำแข็งแบบสบายๆ ได้น้ำหนักประมาณสองตันถ้าเรียงสูงหน่อยก็อาจจะได้ถึงสามตันกว่าๆ แต่ว่าจะอันตรายมากเกินไปในการขับขี่เพราะถ้าเมื่อไหร่น้ำหนักบรรทุกของรถมากเกินไปเวลาเข้าโค้งหน้ารถจะลอยทำให้หน้าปัด(ไม่ใช่ท้ายปัด)แล้วเราจะควบคุมทิศทางรถไม่ได้ซึ่งด้วยเหตุนี้เองอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ถ้าขับเร็วเกินไปหรือว่าไม่รู้จักผ่อนแรงและใช้กำลังของรถดึงให้ความเร็วลดลงก่อนจะเข้าโค้งซึ่งก็ต้องอาศัยความสังเกตและความระมัดระวังของผู้ขับขี่เองเป็นสำคัญ

สมัยโน้นทางสองเลนขึ้นเขารวมไปถึงโค้งสารพัดแบบระยะทางประมาณเก้าสิบกิโลพร้อมแบกน้ำหนักประมาณสองตันครึ่งตามปกติผมใช้เวลาเดินทางประมาณสี่สิบห้าถึงห้าสิบนาทีแล้วจะสูญเสียน้ำแข็งไปไม่ถึงห้าสิบกิโลที่ละลายไปในระหว่างทางท่ามกลางแดดจัดๆ ของฤดูร้อนเพราะวิธีการอัดเรียงกระสอบน้ำแข็งที่คุณพ่ออุตส่าห์สังเกตแล้วฝึกให้ผมได้รู้ว่าควรจะอัดเรียงยังไงถึงจะมีประสิทธิภาพ จนสุดท้ายก็เอาไปแนะให้ลูกจ้างเค้าทำเป็นทำให้ทุ่นแรงของเราได้(สถิติสูงสุดเท่าที่เคยทำคือคนเดียวคือรวดเดียวเอากระสอบเรียงได้ 70 ตัน เกือบตาย) สำหรับตัวผมเองถ้าจะให้ขับขี่ได้คล่องตัวแล้วช่วงต่อระหว่างเก๋งรถกับกระบะท้ายเป็นส่วนที่จะต้องเรียงกระสอบสูงกว่าทางด้านหลังอยู่นิดนึงเพราะน้ำหนักจะได้เฉลี่ยลงกลางรถพอดีทำให้ศูนย์ถ่วงและการเฉลี่ยน้ำหนักดีกว่าการอัดเรียงแบบราบเรียบเท่ากันจากหน้าไปหลังแต่หลังนี้จะดูเรียบร้อยกว่าเท่านั้นเอง

พิมพ์มาตั้งยืดยาวหาสาระไม่ค่อยจะได้แต่ก็ถือว่าเป็นความประทับใจอย่างนึงที่ผมมีในใจต่อคุณพ่อที่สอนให้รู้จักทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยหากอยากได้อะไรก็ต้องทำงานแลกมาทำให้รู้คุณค่าของเงิน เพราะแต่ละอย่างที่ได้มามันไม่ได้ง่ายเลย "หากครอบครัวไหนไม่ได้ฝึกให้ลูกต้องทำงาน(อย่างน้อยก็งานบ้าน)ถือได้ว่าทำร้ายลูกทางอ้อมก็ว่าได้"เพราะสุดท้ายเด็กอาจจะกลายเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเพราะจะไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรซักอย่างในบ้าน ถอดรองเท้าเสร็จก็เตะไว้ตรงที่ถอดรอแม่มาเก็บ เดินเข้าห้องถอดเสื้อเสร็จก็โยนโด่งเข้าไว้บนตู้ไม่รู้จักเอาไปใส่ตระกร้าเพราะรู้ว่าเดี๋ยวไม่คุณพ่อหรือแม่ก็คนใช้จะมาเก็บไปซักให้โตมาแม้เอาผ้าใส่เครื่องซักก็ยังทำไม่เป็น มีเวลาก็เอาไปเล่นเกมส์เพราะไม่มีความรู้สึกว่าต้องไปรับผิดชอบอะไรซักเรื่องเลยในบ้านของตัวเอง แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนอะ ว่ามั้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม