วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถีบลงน้ำ vs มีพี่เลี้ยง

เมื่ออายุได้สิบขวบพ่อกับแม่ได้เปิดโอกาสให้ได้เผชิญโลกโดยการอัปเปหิผมให้ออกไปอยู่ที่โรงเรียนในตัวจังหวัดโดยให้ไปพักกับลูกพี่ลูกน้องกันถามว่ารู้สึกยังไงในตอนนั้นก็ขอบอกว่ารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้รักเราเลย ทำไมต้องส่งเรามาอยู่ไกลๆ ด้วยอยู่ที่บ้านนอกก็มีโรงเรียนให้เรียนทำไมต้องเข้ามาเรียนในตัวจังหวัดด้วยกับเรื่องน้อยใจอีกสารพัดเรื่องที่ประดาประดังเข้ามาในดวงใจเล็กๆ ของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เพราะความไม่เข้าใจเพราะที่ไม่มีใครบอกว่า"ทำไม"ถึงต้องส่งเรามาเรียนที่นี่ แม้เค้าจะบอกว่าโรงเรียนดีนะเรียนแล้วจะได้เก่งๆ ในหัวตอนนั้นเฝ้าแต่บอกตัวเองว่า"เราเองไม่ได้อยากเก่ง"เราเองต้องการแค่ได้วิ่งเล่นอยู่หลังบ้านหรือไม่ก็ขี่จักรยานเที่ยวในตัวตลาด(เหมือนฉากในหนังเรื่องแฟนฉัน)ก็เท่านั้น อีกอย่าง"แค่เปลี่ยนโรงเรียนจะทำให้เรียนเก่งได้ยังไง" มารู้ที่หลังตอนโตแล้วว่าการที่ได้เรียนในโรงเรียนที่ดีช่วยให้เรียนเก่งได้เพราะว่ามีครูที่ดีคอยดูแลสั่งสอนชี้แนะ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆ ที่มาจากครอบครัวที่ดีเพราะว่าถ้าครอบครัวไม่มีพื้นฐานที่แน่นแล้วก็คงไม่อยากจะปลูกฝังให้ลูกได้ไปอยู่ในที่ๆ ดีๆ มีมาตรฐาน ต้องขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ด้วยครับแม้ว่าท่านจะไม่ได้จบสูงนักแต่ก็พยายามให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของตัวเองถึงแม้ว่าจะต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อสิ่งนั้นก็ตาม


เมื่อย้ายที่อยู่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เพราะว่ายังไงคนเราก็มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากในการปรับตัวหรือว่าเอาตัวรอดแต่มันยากตรงที่จะทำยังไงให้เรียนได้เก่งตามที่พ่อแม่ได้หวังไว้ ในตอนนั้นพี่เลี้ยงก็ไม่มีเหมือนเพลงที่พี่กี้ร์ร้องไว้ แม้ว่าจะอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่เราเคารพนับถือเหมือนกับเป็นพี่ชายพี่สาวแท้ๆ ฝ่ายพี่ชายที่เป็นวัยรุ่นตัวเค้าเองก็ไปเรียนเทคนิคกลับมาก็ค่ำๆ พี่สาวอีกคนก็อยู่ . ปลายเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษกลับมาค่ำๆ อีกเช่นกัน ก็เหลือแต่ตัวเราเฝ้าหอมีเพื่อนก็คือหนังสือการ์ตูนโดราเอม่อนที่ไปเช่าจากร้านเช่าหนังสือใกล้ๆ หอหรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นแถวรอบๆ ที่พักก็เท่านั้น พอโตมาอีกนิดเพื่อนเริ่มมากขึ้นสังคมเริ่มโตพอตกเย็นก็ไปเที่ยวแถวๆ ตลาดเก่ากองต้า(ตลาดเก่าถนนริมท่าน้ำ)หรือไม่ก็ไปเดินห้างบ้างเข้าร้านหนังสือหานั่นนี่อ่านมั่งตามประสา หนังสือที่เข้าตาก็คือ"ต่วยตูนฉบับพิเศษ กับเอนเตอร์เทน"เอาไว้อ่านเรื่องที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เพราะชอบดูภาพยนตร์มากที่สุด แม้จะช่วยกับพี่ยกมอเตอร์ไซค์ข้ามรั้วหอเพื่อแบบไปดูหนังรอบดึกก็ทำมาแล้วคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าบ้าหนังมากขนาดไหน


แม้ว่าจะชอบเข้าร้านหนังสือก็ได้แค่ไปเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับบันเทิงซะเป็นหลักเพราะไม่รู้ว่าหนังสือแบบไหนที่เรียกว่าหนังสือดีแต่ก็ถือได้ว่าอย่างน้อยเราก็เป็นคนนึงที่รักการอ่านมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับสังคมและความรู้ทั่วไป เมื่อตอน .2 แทบจะเรียกได้ว่าจำแม่น้ำสายหลักๆ ได้ทั่วโลก แต่ละภูมิภาคทั่วโลกมีสภาพอากาศแบบไหนอยู่ในสมองน้อยๆ นี้เกือบทั้งหมดทำให้ได้รับคำชมเชยมาในการสอบเกี่ยวกับความรู้รอบตัวในระดับ .ต้นซึ่งก็แอบเก็บเอาไว้เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ เอาไว้ในใจ แต่ยังไงก็ตามความรู้ที่ตัวเองได้จำไว้ในสมองในตอนโน้นเหมือนกับว่าไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร


พอจบ .ต้นก็ต้องเปลี่ยนที่เรียนไปอยู่วิทยาลัยเทคนิคสภาพสังคมก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว จากกางเกงขาสั้นเปลี่ยนไปใส่เสื้อช็อปกางเกงขายาว จากผมสั้นเกรียนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นผมที่ยาวมากขึ้น มีความต้องการหลายๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นอีกนิดนึงแต่สภาพของเราในตอนโน้นจะว่าเด็กก็ไม่ใช่จะว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิงแต่ว่ากางเกงขายาวทำให้เรารู้สึกว่าโตมากกว่าเพื่อนที่เคยร่วมห้องเรียนในสมัย .ต้นมาที่แยกกันไปเรียนในโรงเรียนสายสามัญ จะว่าไปการเรียนสายวิชาชีพเหมือนกับการเรียนศิลปะแขนงหนึ่งแต่มีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่แตกต่างจากงานศิลป์ทั่วไปคือจะมีตัวเลขและสูตรต่างๆ ในการคำณวนเป็นแกนกลาง ความรู้ในการเอาตัวรอดในรูปแบบของเด็กสายอาชีพก็จะเป็นอีกแบบทำให้ต้องปรับตัวกันอีกครั้งแล้วก็ได้เปลี่ยนหอที่พักไปอีกที่ จากที่นั่นเองทำให้เปิดภาพของสังคมให้กว้างมากขึ้นได้รู้จักการพึ่งพาอาศัยพวก ได้รู้จักการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยุ่งยากทั้งในเรื่องของการเรียน การทะเลาะต่อยตีรวมไปถึงเรื่องของความรักแบบหนุ่มสาวแต่ก็เหมือนเดิมก็คือเวทีแห่งนี้ไม่มีพี่เลี้ยงเช่นเคยก็ว่ากันไปตามความคิดของเราเองว่าสิ่งที่ทำไปน่าจะดีหรือไม่ก็อาศัยพวกลากไปก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนถึงสมัยที่ต้องไปทำงานอยู่ในผับ


ถามว่าแล้วมองชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร ก็อยากจะบอกว่าเป็นโชคดีของตัวเองที่ถูกพ่อแม่ถีบลงน้ำให้รู้จักคิดเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเองทั้งเรื่องการเรียนและอย่างอื่นทำให้ไม่กลัวจะต้องเปลี่ยนที่อยู่เปลี่ยนสังคมไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถไปได้โดยที่ไม่มีความกังวลอะไรเลยแต่ว่าพรนี้ก็มีคำสาปติดมาด้วยเช่นกันก็คือว่า พอถึงจุดหนึ่งมันจะตันเพราะว่าพื้นฐานชีวิตไม่แน่นมากพอเนื่องจากไม่มีคนให้หลักการในการดำเนินชีวิต ได้แต่คิดอะไรได้ก็ทำไปแค่นั้น แต่ก็ยังโชคดีซึ่งถือว่าเป็นบุญเพราะจุดเปลี่ยนเมื่ออายุยี่สิบห้าที่เค้าเรียกว่าเบญจเพสที่หลายๆ คนบอกว่าเป็นช่วงอายุอันตรายแต่สำหรับผมเป็นช่วงอายุที่ทำให้ผมมาเจอครูดี และครูที่ผมคือว่าช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผมท่านนี้ก็พาผมไปพบไปเจอกับครูดีอีกหลายๆ ท่านรวมไปถึงราชบัณฑิตท่านหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำหนังสือให้ท่านหนึ่งเล่มอันเป็นความภาคภูมิในอย่างที่สุดที่หนังสือเล่มที่เราทำได้เอาเข้าไปในราชบัณฑิตยสภาซึ่งถือได้ว่าเป็นที่รวมปราชญ์ของแผ่นดินนี้เอาไว้ จากวันนั้นถึงวันนี้ด้วยความเมตตาจากคุณครูทุกท่านที่ได้เจอมาในช่วงชีวิตสิบปีหลังนี้ทำให้ผมได้รู้จักมองข้อดีของชีวิตตัวเอง ได้รู้จักไล่ที่มาที่ไปของนิสัยไม่ว่าดีหรือไม่ดี ได้รู้จักเอาความรู้และประสบการณ์ที่มีมาปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ ตอนนี้เลยทำให้ไม่ว่าเค้าจะให้ไปทำงานอะไรก็สามารถจะทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ความถนัดแต่ก็ทำตามที่เค้ามอบหมายมาไม่เกี่ยงเพราะอยู่ในส่วนงานที่รับผิดชอบในแก้ปัญหาและนำเสนอรายงานเข้าวงบริหารเป็นหลัก


ก็อยากจะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้รู้จักเอาตัวรอดได้รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รู้จักบริหารการเงินของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก กราบขอบพระคุณคุณครูในช่วงหลังของชีวิตที่สอนให้ผมมีหลักการ สอนให้ผมรู้จักคิดวางแผน สอนให้ผมรู้จักรับผิดและชอบในทุกสิ่งที่ตัวเองทำ


ระหว่างการถีบลงน้ำและการมีพี่เลี้ยงในการทำงานหรือแม้แต่การดำเนินชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ก็อยากจะบอกว่าในความรู้สึกส่วนตัวจำเป็นต้องมีทั้งสองอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าเราจะทำอะไร"จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงหรือว่าครูช่วยดูแลกำกับ" เพราะว่าแม้เราเองจะคิดว่าเราทำงานได้รอบคอบมากเพียงใดแต่ว่ายังไงก็มีจุดบอดที่เราไม่สามารถจะมองเห็นได้ จำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยงช่วยดูแลกำกับเพื่อช่วยประคับประคองให้เราสามารถจะอยู่รอดไปได้เป็นอย่างดี


"การถูกถีบลงน้ำ" ข้อดีคือเราจะโตเร็วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เยี่ยมแต่ว่าไปต่อในระยะยาวได้ลำบากเพราะไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอ พูดง่ายๆ คือต่อยอดจากที่มีอยู่ยาก

"การมีพี่เลี้ยง" แม้ว่าจะโตช้าหน่อยแต่ว่าค่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ แถมสามารถต่อยอดได้เพราะมีคนคอยแนะข้อผิดพลาดและจะมีความรอบคอบมากเป็นพิเศษสามารถพิจารณาตัวเองได้ง่ายเนื่องจากไม่ต้องกังวลกับภัยที่อาจจะเกิดกับตัวมากนักเพราะว่ามีคนคอยช่วยดูไว้เป็นเกราะอีกชั้นหนึ่ง แต่ในบางสถานการณ์การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอาจจะไม่ดีนักแต่ก็ถือว่ายังดีกว่าดุ่ยๆ ทำไปโดยไม่มีหลักซึ่งแม้จะทำงานให้ผ่านไปได้แต่มันก็ไม่ได้ดีนักหรอก


ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่คุณครูและพี่เลี้ยงทุกคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม