วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สรุปให้เป็น จับประเด็นให้ได้

เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ (ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่บ้างบางเวลา) เพราะว่าเห็นเพื่อนกันที่เรียนเก่งๆ เวลาที่เค้าอ่านหนังสือเรียนแล้วเอาปากกาไฮไลท์ขีดทับข้อความสำคัญกันเป็นแต่ผมเองเวลาเอาหนังสือเล่มเดียวกันมาดูหรือว่าจะเล่มไหนก็ตามแต่ผมไม่รู้เลยว่าจะขีดตรงไหน ด้วยเหตุนี้เองสมัยเรียนไม่เคยที่จะซื้อปากกาไฮไลท์เลยเพราะไม่รู้จะเอามาทำไม จะไปถามเพื่อนๆ ว่ารู้ได้ไงว่าต้องขีดตรงนั้นก็อายเกินกลัวเค้าจะว่าโง่ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งโง่เข้าไปใหญ่ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ใช่เฉพาะผมหรอกที่รู้สึกแบบนี้คงจะมีคนอีกไม่ใช่น้อยในบ้านนี้เมืองนี้ที่คงจะคิดคล้ายๆ กัน

จวบจนวันนึงได้ฟังบรรยายจากผู้มีพระคุณท่านหนึ่งซึ่งผมถือว่าท่านพลิกชีวิตให้ตัวผม ท่านสอนผมหลายๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ทำให้ผมได้มีความรู้มากขึ้นโดยเฉพาะจุดอ่อนของตัวผมเองที่ท่านได้เมตตาชี้ให้เห็นแล้วก็บอกทางแก้ให้ด้วย จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงได้รับความเมตตาจากท่านอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำด่าที่ท่านกรุณามอบให้อย่างท่วมท้น(บางทีก็ให้เยอะซะจนจุก) ท่านบอกว่าจะแก้ไขหรือว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมองประเด็นในเรื่องนั้นๆ ให้ออกก่อนที่จะลงมือ เพราะถ้ามองประเด็นหลักไม่ออกแล้วก็จะหลงประเด็นได้ง่ายๆ แล้วจะพลาดได้ง่ายดายมากๆ โดยเร่ิมจากการทำความเข้าใจก่อนว่าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องของใคร ซึ่งท่านก็ช่วยแนะว่าในโลกนี้มีไม่มีเกิน 4 เรื่องก็คือ

1. เรื่องของกู
2. เรื่องของมึง
3. เรื่องของมัน
4. เรื่องของใครไม่่รู้

เมื่อสรุปได้แล้วว่าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องของใคร จากนั้นก็มาดูว่าประเด็นหลักในเรื่องนั้นอยู่ที่่ตรงไหน แล้วก็ค่อยมาคิดว่ากันต่อไปว่าควรจะดำเนินการอย่างไรให้พอเหมาะ ส่วนเรื่องที่ตัวผมเองไม่รู้ว่าควรจะขีดเส้นอะไรตรงไหนในหนังสือนั้นเป็นเพราะว่าผมจับประเด็นในเรื่องนั้นไม่ออกแต่ว่าก็พอฝึกกันได้โดยเริ่มจากให้"เขียนบันทึกประจำวัน" เพราะวันนึงมี 24 ชม. ตัดเวลานอนออกซะแปดก็เหลือสิบหก ถ้าเรารู้จักจดบันทึกสิ่งที่สำคัญในระหว่างวันเป็นนั่นก็แสดงว่าประเด็นสำคัญของแต่ละวันได้ การสรุปลงไปในหน้ากระดาษในบันทึกนั้นๆ เป็นการฝึกจับประเด็นเบื้องต้นในเรื่องที่เรารู้ดีที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุดคือเรื่องของตัวเรา เมื่อจับประเด็นและสรุปเรื่องของตัวเราได้แล้วจากนั้นจะไปสรุปหรือจับประเด็นเรื่องอื่นๆ ก็สามารถจะทำได้โดยง่าย อีกทั้งถ้าจะนำข้อสรุปนั้นไปขยายความออกไปอีกก็ไม่ยากและทำให้คนที่ได้รับฟังหรือได้อ่านสามารถเข้าใจได้ชัดเจนซึ่งตรงนี้เป็นสาระสำคัญของวิชาเรียงความย่อความท่ีท่านเองได้เรียนมาในสมัยก่อน

แต่จะเขียนสรุปบันทึกประจำวันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่เคยเขียน เพราะจะว่าไปเรื่องของการเขียนนั้นเป็นทักษะการเรียนรู้ขั้นสูงของมนุษย์เราก็คงจะไม่ผิดนักเนื่องจากทักษะการเรียนรู้ของคนจะเริ่มจาก ฟัง พูด อ่านและเขียนไล่ไปตามลำดับ มาถึงตรงนี้ก็นึกถึงเรื่องการเรียนภาษาของบ้านเราขึ้นมาเพราะเคยได้ยินหลายๆ ท่านเคยบอกว่าทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องหรือไม่ก็บอกว่าการพูดภาษาอังกฤษนี้ยากจริงๆ ถ้าจะให้ตอบตามความเข้าใจของผมเองแล้วละก็การพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาใดๆ ในโลกก็ตามรวมถึงภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ของเรานั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ไปตามลำดับคือฟัง พูด อ่าน เขียน ที่พลาดกัน(ซึ่งผมเจอมากับตัวในสมัยก่อน)ก็คือเราสอนให้อ่านและก็เขียนก่อนที่จะรู้จักฟังและพูดซึ่งมันผิดธรรมชาติ ตั้งแต่เกิดมาผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเด็กที่ได้อ่านเขียนได้ก่อนจะฟังและพูด แต่ว่าตอนนี้หลักสูตรตรงนี้มีการปรับปรุงกันแล้วโดยมีสถาบันที่สอนภาษาเยี่ยมๆ เกิดขึ้นมากมายทำให้เด็กรุ่นใหม่มีทักษะในเรื่องของภาษาดีขึึ้นมากๆ ตรงนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากอย่างหนึ่งในวงการศึกษา

ย้อนกลับมาเข้าประเด็นเดิมของเราที่ค้างไว้ก็คือเรื่องของบันทึกประจำวัน ผู้มีพระคุณของผมท่านนี้ท่านก็ไล่ให้ผมไปฟังคนที่พูดเก่งๆ ใช้ภาษาได้ดีๆ ก่อนในเบื้องต้น จากนั้นก็ไล่ให้ผมไปหัดอ่านออกเสียงโดยต้องออกให้เต็มเสียง หัดพูดคำควบกล้ำให้ได้ชัดเจน เสียง ร. ล. ต้องให้ถูกต้อง แล้วก็หาหนังสือดีๆ ให้อ่านเช่นราชาธิราชและหนังสือของกรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพอีกหลายๆ เล่มเป็นต้น สุดท้ายก็ให้เขียนบันทึกไปให้ท่านอ่านแล้วท่านก็เมตตาแก้ไขและชี้แนะให้ด้วย ซึ่งขึ้นตอนเหล่านี้นี่่เองที่ผมเองได้หัดทำอยู่ประมาณห้าหกปีติดต่อกันทุกวันส่งผลให้พอมาถึงทุกวันนี้ที่ต้องมาทำหน้าที่สรุปและรายงานข้อมูลต่างๆ ภายในและภายนอกองค์กรให้ทางผู้บริหารฟังก็ทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลย อยากจะบอกว่าถ้าไม่มีท่านผมเองก็คงจะมาถึงตรงนี้ไม่ได้นับได้ว่าพระคุณที่ท่านให้ชาตินี้คงตอบแทนได้ไม่หมด

วันนี้ได้รับฟังข่าวอะไรเยอะแยะมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นั่งดูอภิปรายในรัฐสภาแล้วก็ลองไปหาอ่านข้อมูลประกอบในอินเตอร์เน็ตเพราะอยากรู้ว่าชุมชมของคนในอินเตอร์เน็ตคิดกันอย่างไปรวมไปถึงได้พูดคุยกับคนหลายๆ คนจากหลายๆ สาขาอาชีพก็รู้สึกสะท้อนใจพอสมควรเนื่องจากว่า หลายๆ คนจับประเด็นไม่เป็น(เหมือนผมเลย) พอเจอนักพูดชั้นเยี่ยมเบี่ยงประเด็นหลักไปเพิ่มประเด็นใหม่แล้วก็หลงกันได้ง่ายๆ ยิ่งประกอบด้วยอคติในใจที่มีอยู่แล้วด้วยนี่ไปกันใหญ่ หลายๆ เรื่องทั้งๆ ที่ว่าตรรกะในการเทียบเคียงไม่ได้ยากอะไรแต่ว่าคิดตามไม่ได้(หรืออาจจะไม่อยากคิดเท่าไหร่)ต้องรอมีคนมาบอกก่อนว่าคุณควรจะคิดยังไงแล้วก็ฮือว่ากันไปตามนั้นจนสุดท้ายกลายสังคมไทยเป็นสังคมควายตื่นเพราะกลัวเค้าจะว่าโง่ ต้องมีความคิดเห็นของคนที่เราเชื่อว่าเป็นนักวิชาการมาบอกให้เราคิดอย่างนั้นอย่างนี้ถึงจะดูว่าเราฉลาด คนในสังคมถูก"บิดข้อมูลเบี่ยงประเด็นให้จับกับความหรือติดกับคำจนหลงหลักการ"หรือแม้แต่มองข้ามสาระสำคัญโดยเฉพาะสามัญสำนักของมนุษย์ในเบื้องต้นไปในที่สุด

ก็ได้แต่แอบหวังลึกๆ ในใจว่าการเรียนการสอนให้เด็กไทยรู้จัก "สรุปให้เป็นจับประเด็นให้ได้" จะได้รับการพัฒนาและเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเหมือนกับการเรียนการสอนภาษาที่ดีขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ พอถึงวันนั้นบ้านเมืองเราคงจะยิ่งกว่าเสือติดปีกเพราะคุณภาพสมองของคนไทยบอกได้เลยว่าไม่แพ้ใครในโลก..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม