วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

85th Academy Awards Winners





และแล้วก็มาถึงวันที่คนรักหนังรอคอยกันก็คือวันประกาศผล Academy Award หรือที่คุ้นกันในชื่อรางวัลออสการ์จนในที่สุดก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น The Oscars อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ เช่นเคยรายชื่อที่ออกมาก็คงมีถูกใจและไม่ตรงใจกันบ้างซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติส่วนใครได้รางวัลอะไรบ้างก็มีดังต่อไปนี้..



Best Picture : Argo – Grant HeslovBen Affleck, and George Clooney
Best Director : Ang Lee – Life of Pi
Best Actor : Daniel Day-Lewis – Lincoln as Abraham Lincoln
Best Actress : Jennifer Lawrence – Silver Linings Playbook as Tiffany Maxwell
Best Supporting Actor : Christoph Waltz – Django Unchained as Dr. King Schultz
Best Supporting Actress : Anne Hathaway – Les Misérables as Fantine
Best Writing – Original Screenplay : Django Unchained – Quentin Tarantino
Best Writing – Adapted Screenplay : Argo – Chris Terrio from The Master of Disguise by Antonio J. Mendez & The Great Escape by Joshuah Bearman
Best Animated Feature : Brave – Mark Andrews and Brenda Chapman
Best Foreign Language Film : Amour (Austria) in French – Michael Haneke
Best Documentary – Feature : Searching for Sugar Man – Malik Bendjelloul and Simon Chinn
Best Documentary – Short Subject : Inocente – Sean Fine and Andrea Nix Fine
Best Live Action Short Film : Curfew – Shawn Christensen
Best Animated Short Film : Paperman – John Kahrs
Best Original Score : Life of Pi – Mychael Danna
Best Original Song : "Skyfall" from Skyfall – Adele Adkins and Paul Epworth
Best Sound Editing : Skyfall – Per Hallberg and Karen Baker Landers และZero Dark Thirty – Paul N. J. Ottosson
Best Sound Mixing : Les Misérables – Andy Nelson, Mark Paterson, and Simon Hayes
Best Production Design : Lincoln – Rick Carter and Jim Erickson
Best Cinematography : Life of Pi – Claudio Miranda
Best Makeup and Hairstyling : Les Misérables – Lisa Westcott and Julie Dartnell
Best Costume Design : Anna Karenina – Jacqueline Durran

Best Film Editing : Argo – William Goldenberg
Best Visual Effects : Life of Pi – Bill Westenhofer, Guillaume Rocheron, Erik-Jan de Boer, and Donald R. Elliott



หลายๆ เรื่อง(ส่วนใหญ่)ที่ได้รางวัลหลักๆ นั้นส่วนตัวผมเองดูมาแล้วเกือบทุกเรื่องซึ่งทุกเรื่องก็สมควรได้รางวัลจริงๆ นั่นแหละในมุมมองของคนธรรมดาๆ ที่รักการดูหนังคนหนึ่ง ผมว่าปีหลังๆ ที่ผ่านมานี้ภาพยนตร์อัตชีวประวัติหรือภาพยนตร์ที่อิงมาจากเหตุการณ์จริงๆ กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นดังคำที่ผมเคยได้ยินมาว่า "นิยายที่ว่าเน่าแล้วชีวิตจริงมันเน่ายิ่งกว่านิยายอีก" เหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ในโลกรวมไปถึงในบ้างเราก็ตามถ้ามีคนเอาไปทำเป็นหนังคงจะสนุกมากซึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้เป็นตัวการันตีได้ว่าถ้านำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาดัดแปลงออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่บนจอเงินนั้นมันสนุกได้มากเพียงใด 

ยกตัวอย่าง Argo ที่ในฐานะของคนที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองมากเท่าไหร่พอไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นๆ สรุปจบท้ายเป็นอย่างไรระหว่างที่ชมก็ตามเรื่องราวที่อยู่บนจอตรงหน้าไปเรื่อยๆ ตามที่ทีมงานได้นำเสนอก็ลุ้นกันตั้งแต่ต้นไปจนจบเรื่องโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ส่วน Les Misérables ก็ไม่ต้องพูดถึงดูเรื่องนี้ไปก็เพลินไปกับเสียงร้องของนักแสดงคลอไปกับเสียงดนตรีจากวงออเครสตร้าไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าเหตุการณ์บนจอจะสลดหดหู่เพียงใดแต่เครื่องสายและทองเหลืองที่บรรจงใส่เข้าไปก็ทำให้รู้สึกไม่เศร้าจนเกินไปนักได้ Life of Pi ของหลี่อันก็ถือว่าแจ๋วมากๆ ไม่รู้ใครที่ได้ดูจะรู้สึกเหมือนผมหรือว่าแต่ผมว่ากรรมการที่ได้ดูคงรู้สึกเช่นตรงช่วงแรกๆ ที่ตัวเอกติดอยู่ในเรือนั้นถ่ายได้ชวนอ้วกจริงๆ สมแล้วที่ได้รับรางวัล Cinematography มุมกล้องที่นำเสนอทำเอาเมาเรือไปกับตัวละครกันเลยก็แล้วกัน 

อีกอย่างปีที่ผ่านมาก็ถือว่าครบรอบ 50 ปีของภาพยนตร์ชุด James Bond 007 ซึ่งส่วนตัวผมเองแล้ว Skyfall เป็นบอนด์อีกหนึ่งตอนที่ผมประทับใจมากๆ ไม่รวมถึงตอนแรกที่เคยดูสมัยที่ Roger Moore รับบทสายลับของสหราชอาณาจักรคนนี้นี่ยังไม่รวมถึง Sean Connery ใน Never Say Never Again ที่ทำให้ผมได้รู้จักบอนด์ในอีกแง่มุมนึงจนต้องมาตามหาข้อมูลจนทราบว่า อ่อ คนนี้นี่เอง double o seven คนแรกของโลก ซึ่งมุก eject seat ของ Skyfall ในตอนที่บอนด์กับเอ็มซิ่งแอสตันคันเก่งของลุงฌอนขึ้นไปยังไฮแลนด์สก็อตนั้นทำเอาผมยิ้มออกมาได้เลยทีเดียว(ไม่รู้มีใครเก็ทมุกนี้หรือเปล่าแต่คิดว่าแฟนๆ ของบอนด์คงจะเข้าใจ) ผมคิดว่าบทสรุปในตอนจบของ Skyfall นั้นเติมเต็มช่องว่างระหว่างตอนนี้กับตอนแรกๆ ของภาพยนตร์ชุดนี้ได้ดีใช้ได้เลย



ภาพยนตร์ให้อะไรกับผมหลายๆ อย่างทั้งเปิดมุมในการมองโลก สอนให้รักในการเล่าเรื่อง ทำให้รู้จักการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องที่ชอบเพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องเล่นๆ ในมุมมองขอผู้ใหญ่แถวบ้านแต่ก็ทำให้ผมรู้จักวิธีหาความรู้ใส่หัวทึบๆ ใบนี้ ผมเชื่อว่าถ้ารู้จักจับแง่คิดแล้วภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้อะไรกับชีวิตได้เยอะแยะมากมายเช่น 

มุมในการมองเหตุการณ์อย่างคนมีศรัทธาจาก Life of Pi ที่ให้ผู้ฟังเลือกระหว่างเรื่องราวที่ดีกับเรื่องราวที่แย่ซึ่งทั้งสองเรื่องที่ว่านี้ไม่แตกต่างกันในบทสรุปสุดท้าย 

เหตุการณ์และโอกาสจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีท่านนึงของสังคมที่หยิบยื่นให้คนขี้คุกซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสจากใครได้"ฉุกคิด"ปรับเปลี่ยนชีวิตมาเป็นคนอีกคนที่ดีกว่าเดิมของ Les Misérables

เรื่องราวของคนหกคนซึ่งอาจจะเล็กในมุมมองของผู้บริหารประเทศใหญ่แต่เป็นเรื่องใหญ่ของอีกประเทศนึงซึ่งต้องแบกภาระในการดูแลคนกลุ่มนี้เอาไว้ใน Argo 


เราไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวใดที่เป็นเรื่องใหญ่ในสายตาคนอื่น เราไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ไหนที่ทำให้ใครได้ฉุกคิดเพื่อเปลี่ยนชีวิตได้(อย่าคิดว่าคนทุกคนมองมุมเดียวกับเราประหนึ่งเราเป็นศูนย์กลางจักรวาล) แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรหากผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแล้วไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมสุดท้ายตัวเราเองก็ต้องเลือกเองว่าจะทำให้เรื่องราวนั้นไปในทางใดทางที่ดีหรือทางที่ดีน้อยกว่า ทุกคนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีตัวเราเองเป็นตัวเอก "Life of เรา" จะดำเนินไปในทางไหน จะบาลานซ์ผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของคนอื่นๆ ในสังคมได้บ้างหรือไม่ซึ่งก็คงต้องเลือกกันเองแล้วละครับ.. 

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลงนะครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม