วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โลกร้อนคนร้อนใจร้อน

ช่วงนี้ฝนเริ่มตกบ้างแล้วอาจจะมีแถมฟ้าผ่าฟ้าร้องบ้างตามปกติของฝนในหน้าร้อน อย่างน้อยก็พอช่วยทำให้อากาศที่อ้าวๆ ได้เย็นลงบ้างซักสี่ห้าชั่วโมงก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรมาดับร้อนเลยแต่ฝนที่ตกแถวนี้ก็ถือว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนักเพราะว่าฝนตกหน้าเขื่อนแถวๆ หลังเขื่อนกลับไม่ค่อนมีฝนเท่าไหร่ล่าสุดไปแวะแถวดอยเต่าแทบจะมีพื้นที่ว่างกว้างได้ประมาณหนึ่งอำเภอเลยก็ว่าได้แถมแล้งมากถึงขนาดต้นไมยราบยังต้องยืนต้นแห้งตายทำให้หมอสมุนไพรขาดส่วนผสมของยาขับปัสสาวะไปเป็นจำนวนมากน่าเห็นใจ(เกี่ยวป่ะเนี่ย)

เห็นบ้านเมืองร้อนแล้งแล้วก็นึกถึงกระแสโลกร้อนที่นานาประเทศต่างก็ช่วยกันรณรงค์ให้โลกเย็นลงก็น่าปลื้มหากช่วยกันจริงๆ สิ่งที่ทุกคนต้องการซึ่งก็คือโลกของเราเขียวขึ้นอากาศโดยทั่วไปก็คงจะกลับมาเป็นอย่างที่เคยเป็น คือฤดูร้อนก็ร้อนไม่มีหนาวฤดูหนาวก็ไม่มีฝนตกฤดูฝนก็มีฝนตกลงมามากพอเพียงกับความต้องการของผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลก เท่าที่มองดูแล้วนอกจากปลูกต้นไม้แล้วอีกอย่างที่น่าจะทำก็คือทำใจเย็นๆ ซึ่งจะว่าไป"กระแสใจของคนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนได้"เช่นกัน ห้องที่คนเข้าไปนั่งคุยกันแบบสบายๆ อากาศก็จะเป็นอย่างนึงห้องที่คนเข้าไปถกเถียงกันอากาศก็จะอบอ้าวด้วยไอร้อนที่ออกมาจากร่างกายของแต่ละคน ถ้าใจร้อนอารมณ์ร้อนร่างกายก็จะร้อนขึ้นด้วยดังนั้นโลกร้อนเรื่องของใจของผู้คนโดยรวมก็มีส่วน เพราะฉะนั้นน่าจะถึงเวลาแล้วหละที่ต้องช่วยกันทำใจเย็นๆ หมั่นทำประโยชน์ให้แก่สังคมโดยรวมเพื่อความสดชื่นของใจผู้คนทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมโลกเล็กๆ ใบนี้

จากนั้นถ้าจะช่วยกันปลูกสวนป่าปลูกพืชสวนพืชไรพืชดอกโดยศึกษาธรรมชาติของพืชแต่ละชนิดที่มีผลต่อดินของแต่ละพื้นที่ว่าพืชแบบไหนควรจะปลูกในพื้นที่แบบใด วิธีที่ง่ายสุดก็คือไปดูว่าในพื้นที่ดั้งเดิมนั้นมีพืชอะไรขึ้นได้มั่งก็เอาพืชชนิดนั้นแหละมาลงปลูกเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับดินในพื้นที่ก่อน เมื่อความชุ่มชื้นของดินเพิ่มแล้วก็ต้องรู้จักวิธีแผ้วถางให้พอเหมาะเช่นว่าใบไม้ที่ตกกับพื้นควรจะทิ้งไว้คลุมดินไว้ก่อนระยะหนึ่งให้เก็บความชื้นและทิ้งพื้นที่ให้ใบไม้คลุมไว้อย่างน้อยก็พอๆ กับร่มของต้นไม้ชนิดนั้นๆ แบบนี้ความชื้นของดินก็เพิ่มขึ้นต้นไม้ก็เติมโตสามารถไชรากไปได้โดยง่ายและก็มีสารอาหารอยู่รอบๆ ต้นทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้เร็วมากขึ้นไม่แกร็นผอมเป็นผีตายซากยืนตายอยู่เป็นแถบๆ จนสุดท้ายต้องวิ่งไปหาปุ๋ยมาโด๊ปให้ต้นไม้ฟื้นซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขก็สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติเลย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยก็น่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่เกิดจากวัสดุทางธรรมชาติไม่ใช่ปุ๋ยเคมีซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไป ถ้ารักจะปลูกต้นไม้ใจต้องเย็นค่อยๆ ดูแลไม่ต้องรีบร้อนไปเร่งให้ต้นไม้โตเกินกว่าอัตราตามธรรมชาติซึ่งมีผลเสียมากกว่าผลดี

"โลกจะเย็นก็มาจากใจของคนที่เย็นก่อน คนจะสดชื่นก็มาจากใจที่แจ่มใสประกอบกับสิ่งแวดล้อมที่เขียวขจีดูสบายตาพาสบายใจ" เรามาช่วยกันนะครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม