วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

PAC MAN Nation

สมัยที่ย้ายเข้ามาเรียนในเมืองใหม่ๆ หลังเลิกเรียนจะเป็นช่วงเวลาที่เหงามากๆ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ทำมากนักสำหรับเด็กบ้านนอกที่พึ่งย้ายเข้ามาดังนั้นต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหงามากเกินไป ผมเองมักจะไปขลุกอยู่ที่ร้านหลังสือของแปะแก่ๆ ร้านนึงเพราะว่าอาแปะแกไม่เคยไล่เราออกจากร้านเวลาที่ไปยืนอ่านหนังสือ(ที่ไม่มีซองพลาสติคห่อ)ที่แผงของแก ไปอาศัยยืนอ่านจนแกจำหน้าได้แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาเปรียบแกแต่ฝ่ายเดียวเพราะว่าก็อุดหนุนหนังสือของแกเป็นประจำเหมือนกัน สมัยโน้นหนังสือที่ต้องตามซื้อตลอดเลยก็คือต่วยตูน ต่วยตูนพิเศษและก็เอนเตอร์เทนรวมไปถึงโลกลี้ลับ ซึ่งหนังสือเหล่านี้จะว่าไร้สาระก็ได้จะว่ามีสาระก็คงจะพูดได้อีกเช่นกันเพราะหลายๆ เรื่องก็ให้ข้อมูลและก็ช่วยปลูกฝังแนวคิดให้กับผมได้พอสมควรเลยทีเดียวที่สำคัญที่สุดก็ทำให้เรารู้สึก"อยาก"จะอ่านหนังสือแม้ว่าจะเป็นเพียงเอาไว้เป็นเพื่อนยามเหงาก็ตาม

ไม่ไกลจากร้านหนังสือจะมีโรงภาพยนตร์อยู่สองโรงซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นห้างไปเรียบร้อยส่วนโรงหนังก็ถูกลดขนาดกลายเป็นโรงหนังขนาดมินิใส่เข้าไปในห้าง(ตอนนี้ยังจะมีอยู่หรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะว่าไม่ได้กลับไปนานพอสมควรแล้ว) ซึ่งหนึ่งในโรงภาพยนตร์นั้นเป็นของเพื่อนแม่ของผมเองจำได้แม่นว่าพอออกจากร้านหนังสือแล้วถ้าพอมีเศษตังค์เหลือก็จะแอบขึ้นไปที่ชั้นสอง ที่ว่าต้องแอบก็เพราะว่าเค้าจะไม่ยอมให้เด็กขึ้นไปที่นั่นเนื่องจากว่ามีการเอาตู้เกมส์(arcade cabinet)ไปตั้งไว้ให้คนมาหยอดเหรียญเล่นกันซึ่งจำได้ว่าถ้าสารวัตรนักเรียนจับได้ก็จะถูกลงโทษแต่ว่าการแหกกฎนั้นเป็นรสชาติอย่างหนึ่งของเด็กดังนั้นในฐานะที่เป็นเด็กคนหนึ่งเช่นกันก็น่าจะทำตามคนอื่นบ้างซึ่งก็ได้อารมณ์ตื่นเต้นเร้าในจนอดรีนาลีนหลั่งออกมาได้เหมือนกัน ที่ชอบเล่นมากๆ เลยในสมัยโน้นเมื่อยี่สิบปีก่อนก็คือ Space invader ที่ต้องไล่ยิงยานปีศาจที่ทะยอยเลื่อนต่ำลงมาให้หมดจึงจะสามารถเลื่อน level ไปเล่นในด่านที่สูงกว่าได้ แต่ว่าเกมส์อมตะที่ทุกคนชอบเกมส์หนึ่งก็คือ Pac-Man ซึ่งจะมีอายุครบรอบสามสิบปีในวันนี้(22 พ.ค.)นั่นเอง

Pac-Man เป็นเกมส์อมตะที่มีทั้งความน่ารักความสนุกสนานพร้อมกับได้ลุ้นเล็กๆ ได้ฝึกสายตาพร้อมกับได้รู้จักคิดวางแผนให้ความคิดประสานงานกับการมองเห็นแล้วก็การเคลื่อนไหวของมือไปด้วยพร้อมๆ กันซึ่งผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบเกมส์นี้ก็คืออาจารย์ Toru Iwatani แห่ง Namco Developer ในปี 1979 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากแผ่นพิซซ่าที่ถูกทานไปแล้วชิ้นนึงเอามาออกแบบเป็นตัว Pac-Man(ภาษาอังกฤษ)ซึ่งแปลงมาจากชื่อเกมส์ดั้งเดิมในภาษาญี่ปุ่นว่า Puckman ซึ่งก็มาจากรากศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า paku อันหมายถึงการเคี้ยวเสียงดัง สำหรับเกมส์นี้นอกจากตัว Pac-Man แล้วก็มีผีอีกสี่ตัวที่วิ่งไล่ฆ่าตัว Pac-Man ไปรอบๆ เขาวงกตซึ่งผีเหล่านี้ก็มีชื่อประจำตัวที่แยกไปตามสีและบุคลิกของมันได้แก่ Inky, Pinky, Winky และก็ Clyde (เครดิต CNN: http://www.cnn.com/2010/TECH/05/21/pac-man.game.anniversary/index.html?hpt=C1)

เกมส์ตู้เหล่านี้เล่นแล้วติดครับตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้แต่ในตอนโน้นไม่ได้คิดอะไรหรอกเพราะว่ามันสนุกแล้วก็ทำให้ต้องสูญเงินไปกับมันเยอะพอสมควรตรงนี้เองที่เป็นอันตรายเพราะว่าความยั้งคิดของเด็กๆ ยังไม่ค่อยมี สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องคอยแนะให้กับเด็กให้ควบคุมและบริหารให้ได้ก็คือ "เวลา และ เงิน" เพราะว่าสองสิ่งนี่เป็นส่ิงที่เด็กๆ จะควบคุมไม่ค่อยได้ ถ้าบ้านไหนสามารถกำหนดและควบคุมสองสิ่งนี้ให้กับบุตรหลานได้แล้วละก็ถือว่าเด็กในบ้านนั้นได้เปรียบคนอื่นเยอะแยะมากมายและเกมส์ทั้งหลายก็เป็นตัวทำลายสองสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงหลังมานี้เกมส์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านของเราเรียบร้อยแล้วดังนั้นถ้าใครมีเด็กอยู่ในบ้านพยายามช่วยกันดูแลอย่าให้พวกเค้าผลาญเวลากับไปมันมากเกินไปของทุกอย่างถ้าใช้ให้พอดีพอเหมาะไม่เกินหรือขาดก็จะเป็นประโยชน์เหมือนกัน

พูดถึงเกมส์ก็นึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อผมขึ้นมาทุกที คือสมัยโน้นที่ต่างจังหวัดถ้าเด็กคนไหนมีเกมส์กดถือว่าเท่ห์มากๆ ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะเท่ห์กับเขาเหมือนกันพยายามรบเร้าให้แม่ซื้อเกมส์ให้โดยเอาที่เค้าโฆษณาขายอยู่ในหนังสือไปให้ท่านดูเพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหนเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแม่ถูกเค้าโกงค่าเกมส์ทำให้สูญเงินไปห้าร้อยบาทเพราะความรักที่มีต่อลูก แต่ถือว่าโชคยังดีที่ตำรวจเค้าจับนักตุ๋นแก๊งค์นั้นได้แล้วรายชื่อของแม่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตำรวจเค้าส่งเงินคืนกลับมาให้ สุดท้ายหลังจากที่ได้เงินคืนมาแม่ก็อุตส่าห์ไปซื้อเกมส์กดมาให้ผมจนได้เพราะได้สัญญาไว้แล้วว่าจะซื้อให้ เกมส์กดแรกที่ได้ครอบครองก็คือ Donkey Kong นั่นเองที่เป็นแบบแผ่นพับสามารถเล่นได้สองระดับคือไล่จากจอด้านล่างขึ้นไปด้านบนได้ด้วย(เท่ห์คอดๆ ขอโบก) สมัยโน้นเงินห้าร้อยบาทที่บ้านนอกถือว่าเยอะมากๆ เพราะผมเองเวลาไปโรงเรียนพกตังค์ไปสิบห้าบาทเอง เงินจำนวนนี้เอาไว้ซื้อข้าวสองมื้อคือเช้ากับกลางวัยก็ยังพอมีเหลือติดกระเป๋ากลับหอถ้าไม่ได้เอาไปซื้อน้ำอัดลมใส่แก้วพลาสติคตอนเลิกเรียนซะก่อน นึกแล้วก็รู้สึกเสียใจและซึ้งใจปนกันทุกครั้งไป นี่แหละน้าความรักของผู้หญิงที่รักเรามากที่สุดในโลก เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม