วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลพบุรีในความทรงจำ

เมื่อเช้าว่างๆ เลยมีโอกาสได้ไปนั่งรถเล่นวิ่งไปถึงโน่นลพบุรีหรือละโว้ถิ่นเก่า บรรยากาศก็เหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อนสมัยยังทำงานเป็นมือปืนรับจ้างคั่นเวลาให้อาจารย์ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักแต่อย่างอื่นเหมือนจะขาดไปก็คือทหารที่เคยมีให้เห็นอยู่เป็นภาพที่คุ้นตาในค่ายกลับเงียบเหงามองไปแทบไม่เจอทหารแม้แต่นายนึงสงสัยคงจะมาทัศนศึกษากันในกรุงเทพ


จริงๆ ความหลังฝังใจกับลพบุรีมีเยอะพอสมควรจะให้เล่านี่คงจะยืดยาวมากเอาเป็นว่าแม้แต่คืนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ก็ทำให้จำไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จำไม่ลืมก็เพราะว่าคืนแรกที่ขนของเข้าไปพักก็ถูกมือดีมายกเค้าไปซะ กางเกงยีนส์หลายๆ ตัวที่หวงหายหมดพร้อมกับซีดีอีกเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าแทบจะเกลี้ยงกรุน้อยๆ ที่มีที่เหลือรอดมาก็คือแผ่นที่ติดรถไปทำงานด้วยกล่องนึงแค่นั้น


เมืองลพบุรีมีบรรยากาศของจังหวัดเก่าๆ แบบดั้งเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นจังหวัดทหารบกด้วยมีค่ายเยอะมาก ทหารก็เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าร้านค้าต่างๆ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารไม่ทางใดก็ทางนึงคือถ้าไม่ใช่สามีภรรยาก็ต้องมีญาติเป็นทหารหรือไม่อย่างน้อยสุดๆ ลูกค้าของร้านก็เป็นทหารแน่นอน ดังนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในค่ายที่อยู่นอกรั้วค่ายก็อยู่ตามตึกแถวเก่าๆ ซึ่งก็ต้องขอบคุณจอมพล . ด้วยที่ทำให้ผังเมืองลพบุรีเป็นอย่างทุกวันนี้ซึ่งจะว่าเรียบร้อยก็ถือว่าผังเมืองค่อนข้างเรียบร้อยดีแม้ว่าในตัวตลาดจะค่อนข้างวุ่นไปนิด โดยเฉพาะแถวรอบๆ วังนารายณ์อันเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นจุดที่น่าสนใจถ้าใครไปลพบุรีสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดื่มดำ่บรรยากาศย้อนไปสมัยโบราณที่นั่น พูดถึงวังนารายณ์ยังจำภาพที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่นั่นเป็นครั้งแรกได้ไม่ลืม ภาพในหน้าขนาดใหญ่ที่่ติดตั้งไว้ตรงบันไดดูราวกับว่าใบหน้ารูปปั้นขนาดมหึมานั้นมีชีวิตจริงๆ ศิลปะแบบบายนแท้ๆ คล้ายดังกับว่ามีวิญญาณซ่อนอยู่ในตัวทำให้ดูแล้วติดเข้าไปในใจง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็นเดิิมพันแกะกันเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่อังกอร์วัดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดว่าศิลปะของหัวเมืองยังมีพลังขนาดนี้แล้วของจริงๆ ที่เมืองหลวงจะสุดยอดแค่ไหนถ้ามีโอกาสคงจะได้ไปเยี่ยมชมซักทีเพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างได้ไปเลย ซักวันจะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้


เมื่อเอ่ยถึงเมืองลพบุรีแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องนึกถึงทุกครั้งก็คือ"ลิง"นั่นเอง ลิงที่อยู่ในตัวเมืองลพบุรีมีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยต่อระหว่างตัวเมืองปรางค์สามยอดและศาลพระกาฬจะมีเยอะมากที่สุด แล้วลิงทั้งสามกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่มีโอกาสเป็นต้องยกพวกมาตีกันเรื่อย(อันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้ล้อเล่น แถมมีลากไม้มาเหมือนกับคนเลย เป็นภาพที่น่าสนใจมากๆ) ลิงแถวนั้นดุเอาการโดยเฉพาะลิงเจ้าพ่อที่บริเวณศาลพระกาฬดุมากๆ เคยเห็นมันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วก็กัดคอช่างภาพชาวญี่ปุ่นในระยะห่างไม่เกินเมตรครึ่งจนเลือดกระฉูด(ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในศาลพระกาฬอีกเลย)ในงานโต๊ะจีนลิงปีนึงเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่งก็ไม่รู้ว่าช่างภาพคนนั้นไปทำอะไรให้ลิงหงุดหงิด แต่ถ้าใครผ่านไปที่บริเวณวงเวียนศาลพระกาฬตอนดึกๆ จะเห็นหางลิงเป็นเส้นๆ อยู่รอบตัวศาลเป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกันสมัยโน้นที่ยังคะนองอยู่ยังเคยนึกๆ อยู่ว่าเอาหนังสติ๊กยิงเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างหนอ ก็ดีที่ไม่ได้ทำจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงบาปแย่เพราะไปทำร้ายผู้ที่ไม่ประทุษร้าย(ก็นอนอยู่นี่นานะ)


ตัวเมืองลพบุรีดูแล้วก็มีบรรยากาศของความเก่าอยู่ยิ่งถ้าใครไปในช่วงงาน"แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์"ด้วยนี่เค้าจะแต่งชุดไทยกันทั้งเมืองเลยเป็นภาพที่ดูดีมากๆ เป็นบรรยากาศย้อนยุคกันทั้งเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของ"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"ที่มีพระคุณต่อเมืองลพบุรี อีกอย่างที่คู่กับเมืองลพบุรีก็คือสวนสัตว์ลพบุรีที่เป็นเสมือนจุดพักผ่อนของชาวเมืองซึ่งก็อยู่ไม่ไกลคืออยู่แถววงเวียนสระแก้วที่เป็นวงเวียนใหญ่ประจำจังหวัด วงเวียนนี้มีเอกลักษณ์ก็คือว่ามีคชสีห์นั่งอ้าปากกว้างอยู่หลายตัว(จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่)ซึ่งก็มีโจ๊กประจำจังหวัดอยู่เกี่ยวกับคชสีห์นี้อยู่เหมือนกันว่า"ทำไมพวกมันถึงได้อ้าปากร้องถึงขนาดนั้น" ซึ่งไม่ขอเฉลยคำตอบก็แล้วกัน ไม่ไกลจากสวนสัตว์ก็มีโรงภาพยนตร์อยู่หนึ่งโรงซึ่งก็คือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหมือนกัน(ในสมัยโน้น สมัยนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า)คือว่าเค้าจะมีการพากย์ทับเสียงพากย์ในฟิล์มโดยใช้มุกที่เป็นที่รู้กันในจังหวัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่นั่นมากๆ แต่ผมฟังแล้วมันไม่ขำน่ะเพราะว่าทีมพากย์พันธมิตรก็พากย์ได้ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว พอมีเสริมขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์นะครับอย่างน้อยผมไปดูแค่ครั้งเดียวยังจำมุกที่เค้าเล่นมาได้จนถึงวันนี้เลยเจ๋งขนาดไหนคิดดูละกัน


ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าบ้านเมืองไหนก็จะมีเอกลักษณ์ประจำเมืองอยู่เป็นเสน่ห์ของแต่ละเมืองไปไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือว่าในประเทศ ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์คร่าวๆ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั่นแล้วเราจะรู้สึกสัมผัสเมืองได้ลึกมากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็น toilet tour หรือทัวร์ผ่านหรือทัวร์ห้องน้ำก็ตาม(หมายถึงแทบจะไม่ได้แวะดื่มด่ำบรรยากาศอะไร คือไปแวะดูๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำแล้วก็ไปที่อื่นต่อ) เมื่อไหร่ที่เราศึกษาประวัติเมืองแล้วได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริงๆ จะทำให้เราเห็นภาพของเมืองนั้นชัดมากขึ้น จะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่บางอย่างตัวหนังสือไม่อาจจะให้เราได้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ได้ไปเมืองอื่นๆ นอกจากเมืองที่เราอยู่บ้างเพื่อเปิดโลกให้กว้างมากขึ้น


ลองดูนะครับอย่างน้อยซักครั้งในชีวิต"ลองปล่อยให้ถนนนำพาท่านไป".. at least once in your life, take the road trip.. ขอบอกว่าทุกจังหวัดในบ้านนี้เมืองนี้มีอะไรให้ท่านไปค้นหาอีกมากมาย มีสิ่งสวยๆ งามๆ ที่รอให้ท่านไปค้นพบอีกเยอะมากๆ..


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม