วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

[Review] เมื่อผมได้ครอบครอง UE11 the Review

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่ MAXXX77 ที่น่ารักของน้องๆ ก่อนที่อุตส่าห์ยุจนผมต้องเสียตังค์เป็นค่า IEM ที่แพงแบบคอดๆ ในครั้งนี้ครับ

ที่มา : ที่จริงแล้วผมไม่ได้คิดจะสั่งเจ้าตัวนี้มาใช้เลย เหตุผลก็เพราะราคาที่แพงคอดๆ ของเค้านั่นเองที่ทำให้ต้องคิดเยอะ แต่ก็มีพี่คนนึงที่เจอกันกี่ทีก็ยุให้สั่งแต่ UE11 ผมก็ผลัดแกมาเรื่อยเพราะรู้สึกว่าแค่เสียงที่ได้จาก TF10 ก็โอเคแล้วสำหรับผม และไม่เคยคิดจะเอาของแกมาลองฟังด้วยเพราะเกรงว่าจะติดใจ Smile แต่ว่าวันหนึ่งบุญพาวาสนาและกิเลสส่งทำให้มีพี่ใจดีที่เมกาเค้าอยากจะจ่ายหนี้ที่ติดค้างกันไว้คืนเป็นของ เลยทำให้ผมต้องตัดสินใจสั่งเจ้าตัวน้อยนี้เพราะว่าไม่มีทางเลือก หุหุหุ สุดท้ายก็เลยได้มาครอบครองในที่สุด

System ที่ใช้ทดสอบ : ได้แก่ iPod Classic 160G คู่ใจกับน้อง UE11 เท่านั้นพูดง่ายๆ ให้บางคนที่ไม่เข้าใจว่าเป็นชุดต่อตรงนั่นเอง(ทำไมเราต้องอธิบายของง่ายให้ยากด้วยเนี่ย) ส่วนเพลงที่ใช้ก็หลากหลายมารายแครี่มากแทบทุกแนวยกเว้นลูกทุ่ง ไทยเดิมและหมอลำ

ชนิดของไฟล์ที่ใช้ : ก็เป็น MP3 ความละเอียดไล่เรื่อยไปตั้งแต่ 128-320k และก็ Apple lossless สำหรับหูรุ่นนี้แนะนำให้ใช้ 192K เป็นอย่างน้อยครับ

การสวมใส่ : การสวมใส่ทำได้ง่ายมากๆ เลย ไม่รู้สึกว่าติดขัดอะไรแม้แต่น้อย พอจับสวมเข้าไปปุ๊บก็ผลุบเข้าไปในช่องหูของผมอย่างง่ายดาย แถมใส่ได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่รู้สึกว่าเจ็บหรือว่าปวดในช่องหูเหมือนดังว่าทำมาเพื่อของหูผมโดยเฉพาะ เอ.. ก็ทำมาเพื่อหูของผมโดยเฉพาะนี่นา ลืมไป หุหุหุ ข้อนี้ให้คะแนนเต็มสิบเลยครับผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จาก IEM ตัวไหนมาก่อน

การออกแบบ : ดีมากครับเพราะว่าทำมาจาก mold หูของผมแท้ๆ สำเนาไม่มีผิดพลาด ตำแหน่งของขั้วต่อสายอยู่ในระดับพอดี แถมได้สีและรูปแบบของ logo ตามที่ผมต้องการอีกด้วย

ความเป็นดนตรี : อันนี้คงต้องเอามาพูดก่อนเลยเพราะว่าเด่นมากๆ ครับทำให้ผมฟังเพลงได้สนุกมากขึ้น เพลงหลายๆ เพลงที่เคยฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่า เออแฮะ มันก็เพราะเหมือนกันนี่เนอะ ทำให้ไม่ต้อง skip ข้ามเพลงบ่อยๆ เวลาสุ่มเพลงอันจะเป็นเหตุให้เปลืองถ่าน iPod ได้โดยใช่เหตุ แล้วก็ตอบสนองเพลงได้หลากหลายแนวมากครับ เพลงที่ผมใช้ทดสอบก็ไล่ไปตั้งแต่ Album และ Single ของ Mary Black, Alison krauss, UFO, Elvis Presley, Mario, Linkinpark, Simple plan, Greenday ไปจนถึง London Symphony Orchestra
หู UE11 นี้เวลาฟังเพลงที่มาจากการแสดงสดเช่นเพลง The Good fight ของ Dashboard Confessional อัลบั้ม MTV Unplugged นี่จะได้อารมณ์มากๆ เลยครับ พอถึงช่วงที่ผู้ชมร้องตามนี่ทำเอาขนลุกชูชันความรู้สึกนี่เหมือนได้ไปอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว นี่เองกระมังที่ทำให้พวกวงดังๆ หลายต่อหลายวงที่ผมชอบเลือกใช้ UE เป็น In Ears Monitors เวลาออก Live tour

เสียงเบส : เมื่อพูดถึงเจ้า UE11 นี้หากไม่พูดถึงเสียงเบสของเค้านี่ก็คงจะเหมือนกับพูดถึง Batman แล้วลืมเอ่ยถึง Robin พูดถึงสมัครแล้วลืมพูดถึงเฉลิม อุ้ย! นอกเรื่อง ขออภัย
เสียงความถี่ต่ำที่ได้จากเจ้าตัวน้อยนี้มาแบบเกินควรเกินคาดครับ ฟัง Concert Simple Plan นี่เหมือนมีกระเดื่องขนาดย่อมๆ มากระแทกอยู่กลางหัวดัง ตึ่บๆๆ มันส์มากขอบอก
มวลของเบสออกมาพอดีครับอาจจะมากไปนิดสำหรับคนที่ไม่ใช่ Bass lover แต่ว่าไม่มีบวมเลยตรงนี้แหละที่ผมชอบมากเพราะว่าเหมือนกับตั้งหนังกระเดื่องไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป หูฟังบางตัวให้เบสออกมาดีแต่ว่าเหมือนกับจงใจจะกระแทกเบสมาให้คนฟังมากไปหน่อยแต่คุณจะไม่เจอปัญหานี้กับ UE11
เสียง Deep Bass ที่มาจากเพลงที่ใช้เสียงสังเคราะห์เช่นเพลง Is it you ของ Cassie นี่ออกมาแบบต่ำมากๆ แต่ก็ไม่ล้ำไปยังความถี่ในช่วงอื่น Upper Bass ก็กระชับดีครับ Dynamic ดีมากๆ เสียง Snare จากเพลง Basket case ของ Greenday ทำเอาอยากกระโดดตามเลยหละ
ข้อดีอีกอย่างของเจ้าตัวน้อยนี้ก็คือว่า สำหรับคนที่เดินทางบ่อยๆ แบบผมเวลาใส่ IEM บนรถหรือว่าบนเครื่องบินเสียงในย่านความถี่ต่ำจะถูกหักล้างโดยเสียงของลมและเครื่องยนต์จนทำให้หายไปบ้างบางส่วนเหมือนกับว่าเบสที่ได้จะบางๆ ไปนิดแต่ปัญหานี้ไม่เกิดกับ UE11ครับ ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่เป็นหูแบบ custom ที่ใส่ได้พอดีกับช่องหูของผมทำให้เสียงรอบข้างถูกกันออกไปได้ค่อนข้างเยอะ อีกอย่างก็เพราะเสียงเบสที่เปี่ยมด้วยปริมาณและคุณภาพของเค้านั่นเองที่แม้เสียงความถึ่ต่ำอาจจะถูกลดปริมาณลงไปนิดแต่ก็ยังมีให้ผมมันส์ไปกับเพลงได้อย่างเหลือเฟือ

เสียงกลาง : ออกมานุ่มละมุนพอควร แม้ว่าจะหวานไม่เท่ากับน้องตู้ม W5000 ที่บ้าน แต่ก็ถือว่าให้เสียงกลางออกมาได้ค่อนข้างดี เวลาฟังเสียงร้องของนักร้องหญิงนี่ทำเอาเคลิ้มได้เหมือนกัน ทำให้ผมฟังเพลง Spanish harlem ของ Rebecca Pidgeon ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งพอเลื่อนมาฟัง Alison Krauss เพลง Crazy as me และ When you say nothing at all นี่เหมือนคุณเธอมาร้องให้ผมฟังเป็นการส่วนตัวเลยทีเดียว
สำหรับนักร้องไทยนี่ผมเอาเพลงของน้อง Nink และพัดชาในเพลง “บอกช้าเกินไปไหมเธอ” มาเปิดก็ไม่ได้น้อยหน้านักร้องเมืองนอกเหมือนกันครับ เสียงของน้องทั้งสองออกมานุ่มละมุนเหมือนกันกับนักร้องฝรั่งไม่มีผิดเพี้ยนต่างกันเพียงร้องกันคนละภาษาแค่นั้นเอง หะหะหะ Laughing
ส่วนเพลงที่ Rip มาไม่ค่อยละเอียดเสียงกลางไปจนถึงความถี่สูงจะหายไปบ้าง ทำให้เสียงแห้งไปหน่อยครับ ไม่แนะนำอย่างยิ่งให้เอาเพลงที่ Rip มาแบบไม่ค่อยละเอียดมาฟังกับเจ้าตัวน้อยนี้เพราะว่าค่อนข้างขี้ฟ้องเอาการอยู่เหมือนกัน

เสียงสูง : UE ค่อนข้างเด่นในเรื่องของการนำเสนอความถี่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมติดใจเสียงสูงของ UE มาตั้งแต่ได้ครอบครอง TF10 พอมาถึงน้องต้อมคู่นี้ทำเอาลืม TF10 ไปเลย ความละเอียดและความพริ้วของความถี่สูงออกมาดีมากครับ ขา Jazz หากได้ยินเสียงแส้ที่ถูกสะบัดข้อมือตีลงไปบน Hat แบบแผ่วพริ้วนี่เรียกได้ว่าแทบจะเห็นหน้าคนตีที่หลับตาพร้ิมด้วยความอินกับเพลงกันเลยทีเดียว หางเสียงสูงที่ได้นี่ยาวและมีรายละเอียดมากๆ
สำหรับขาร็อคแล้วละก็เสียงกรีดของกีตาร์หรือว่าเสียง Hat ที่ถูกบรรจงตีลงไปแบบสุดแรงเกิดของมือกลองระดับพระกาฬจากแต่ละวงที่ผมบรรจงเลือกมาฟังนี่ทำเอานั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เลย Dynamic ที่ดีมากๆ ของ UE11 ทำให้ได้อารมณ์ของร็อคแบบสุดขีดเล่นเอาอยากวิ่งไปขอ Les Paul ที่ขายออกไปแล้วคืนมาเลย หะหะหะ

มิติและเวทีเสียง : ข้อจำกัดของหูฟังแบบ In Ears นี่มักจะตายกันตรงนี้แหละครับแต่ว่า UE11 นี่ทำเอาผมอึ้งเลยทีเดียวเพราะว่าตำแหน่งต่างๆ ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ออกมาให้ได้ยินนั้นชัดเจนมาก รู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหนอยู่แถวหน้า ตรงกลางหรือว่าแถวหลัง ยิ่งเอาเพลงที่ใช้วง Orchestra ขนาดใหญ่มาเปิดเช่นเพลง Raiders March ของลุง John Williams นี่แยกตำแหน่งของเครื่องทองเหลือง เครื่องสาย เครื่องเคาะออกจากกันได้ขาดมากๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่ทิมปะนีตีกระหน่ำลงมานี่ลมกระแทกเข้าไปในหูทะลุไปถึงกลางหัวเลยครับ หุหุหุ

รายละเอียดและบรรยากาศ : ตรงนี้เองที่ UE11 ทำออกมาได้ดีอีกเช่นกัน นี่เป็นข้อดีอีกอย่างของหูแบบหลาย drivers ที่ความถี่ในช่วงต่างๆ ถูก Crossover แยกส่งไปให้กับ driver แต่ละตัวทำให้ถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมากๆ เสียงเล็กเสียงน้อยจนถึงบรรยากาศรายรอบตัวโน๊ตมีให้รับรู้ได้โดยไม่ต้องพยายามตั้งใจฟัง หากใช้เพลงประเภทที่มีวง Choir ร้องมาเปิดฟังดูจะเด่นชัดมากเช่นเพลง Britten ของ Westminster Choir ทำให้รับรู้ถึงขนาดโถงของโบสถ์ที่ใช้อัดเสียงได้เลย หากเอามาฟังเพลง Pop หรือว่า R&B ร่วมสมัยโดยทั่วๆ ไปก็ทำให้เรารู้ถึงรายละเอียดของเสียงและลูกเล่นต่างๆ ที่ Sound Engineer ตั้งใจอยากจะให้เราได้ยินอย่างครบถ้วนทุกเม็ดไม่มีขาดตกบกพร่อง

สรุป : สั้นๆ สำหรับ UE11 ก็คือว่าเป็นหูที่ฟังสนุกมาก และแพงแบบคอดๆ แต่ก็คุ้มค่าสมราคามากอีกเช่นเดียวกัน
เจ้าตัวน้อยนี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาที่ออกนอกบ้าน ความคิดถึงน้องตู้ม W5000 ที่บ้านหายไปเยอะเลยครับ แม้ว่าจะเสียงที่ได้จะไม่เหมือนกับการฟังจากหู Full size แต่ก็ได้เงาๆ มาพอสมควรโดยเฉพาะขนาดของเนื้อเบสและรายละเอียดที่ดีมากๆ ที่เจ้าตัวน้อยนี้มีให้ หากใครจะมองหาหู IEM ที่แพงและเท่ห์คอดๆ ทุกเวลาที่สวมใส่ เจ้า UE11 นี่แหละครับคือหูตัวแรกและอาจจะเป็นตัวเดียวที่คุณต้องมองเลยหละ
สำหรับผมนั้นรู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้จ่ายตังค์ไปเพื่อแลกกับ IEM ของผมตัวนี้มา ที่พูดได้ว่าเป็น IEM ของผมก็เพราะว่าทำมาเพื่อให้ผมใส่แต่เพียงผู้เดียว สีและลายก็เป็นผมอีกที่เลือกแถมที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสียงที่ออกมาจากเจ้าตัวน้อยคู่นี้มันทำให้ผมฟังเพลงทุกเพลงจาก Playlist ของผมได้สนุกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ ครับ หากใครยังลังเลอยู่หลังจากที่อ่านรีวิวนี้แล้วก็รีบคลิกที่ www.ultimateears.com แล้วสั่งได้เลยครับผม หะหะหะ หรือจะฝากผมสั่งให้ก็ได้นาค่าคอมเดี๋ยวผมเบิกกับพี่ MAXXX77 เอง Laughing
ขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านที่ผมพล่ามมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม